บทที่ 176 คนพาลหยอกเอินหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของชิงอวี่โดยไม่รู้ตัว “นางงดงามมากจริง ๆ”

โหลวจวินเหยาหัวเราะเห็นด้วย “นางเป็นมากกว่านั้นมาก อาหลานเป็นโฉมสะคราญแห่งแดนเมฆาสวรรค์ บุรุษที่ชื่นชอบนางมีกว่าครึ่งแดนได้เลยกระมัง!”

ชิงอวี่ได้ยินก็อดทำเสียงจุปากไม่ได้ “ความงามนำพามาซึ่งความหายนะ”

โหลวจวินเหยาส่ายหัวถอนหายใจ “สตรีงามมักมีชะตาน่าสงสาร”

พริบตาต่อมาชิงอวี่ก็เปลี่ยนสีหน้า จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ ใครกันที่ต้องการกำจัดนางมากเช่นนี้?”

นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้โหลวจวินเหยาบอกไว้ว่าร่างวิญญาณของท่านแม่ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทั่งร่างกายยังไม่มีชิ้นดี ใครกันที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายได้ถึงขนาดนั้น?

เมื่อเห็นใบหน้านางเคร่งขรึมนัก โหลวจวินเหยาก็โค้งริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ยามเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะรู้ ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง”

ชั่วขณะหนึ่ง นัยน์ตานางส่องประกายวาบ ทว่านางก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

เขาพูดถูก แม้เขาจะบอกนางตอนนี้เลย แต่หากนางยังไร้พลังก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกไร้ค่า ทำให้รู้สึกไม่ดีกว่าเดิม

เห็นนางหน้าตาหดหู่ โหลวจวินเหยาก็ยื่นมือไปลูบหัวนาง เอ่ยปลอบโยนว่า “อย่าเพิ่งเสียกำลังใจไป เจ้าทำได้ดีมากแล้ว”

ชิงอวี่เงียบไป ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านช่วย… อย่ามาถูกหัวข้าจะได้หรือไม่?”

กรงเล็บอันชั่วร้ายของเขายังคงปักหลักอยู่บนหัว ไม่มีทีท่าจะขยับออก อีกทั้งยังเอ่ยปลอบแล้วลูบอีกครั้งหนึ่ง “ทำไมเล่า?”

ยังมีหน้ามาถามอีกว่าทำไม?

ชายหนุ่มสูงมากอย่างไม่น่ายุติธรรม ชิงอวี่เอื้อมได้สูงสุดก็ได้แค่ที่ไหล่เขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงลอบโจมตีนางได้ง่ายดายนัก

ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเสี่ยวเป่ยจึงดูเศร้าสร้อยไม่พอใจเท่าไรนักเวลานางยีหัวเขา กรรมตามสนองนางแล้วจริง ๆ

แล้ว… เจ้าคนผู้นี้ อยู่มาแค่สองร้อยกว่าปีแต่กลับทำตัวเป็นผู้อาวุโสไปได้!

อาจเพราะเด็กสาวเผยแววโกรธในดวงตามากเกินไป โหลวจวินเหยาจึงไม่คิดหยอกล้อนางอีก จากนั้นเขาก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “อยากไปพักที่หอเมฆาเคลื่อนสักสองสามวันหรือไม่? อยู่ที่นั่นแล้ว เจ้าจะได้คอยสังเกตอาการของอาหลานได้อย่างใกล้ชิดด้วย”

“ตอนนี้เลยหรือ?” ชิงอวี่กะพริบตาประหลาดใจ “ยังไม่ทันพ้นปีเลย เช่นนี้นับว่าเป็นการแอบออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่?”

โหลวจวินเหยามองเด็กสาวด้วยสายตาจนใจ “เจ้ามองดูในภาควิชาพิเศษเสียก่อน นอกจากเจ้าเด็กน้อยที่ไม่ค่อยมีตัวตนคนนั้นแล้ว เจ้าเห็นเงาคนอื่นหรือไม่? ”

เจ้าเด็กน้อยนั่น เขาคงจะหมายถึงซิงถง

โหลวจวินเหยาไม่ถูกกับเขาเท่าไหร่ ใครใช้ให้เขาเกือบทำชิงอวี่ได้รับบาดเจ็บกัน? แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวกระจ้อย แต่โหลวจวินเหยาก็ไม่อาจให้อภัยได้

พอได้ยินเขาว่ามาเช่นนั้น นางก็พบว่าไม่มีใครอื่นอยู่เลยจริง ๆ

แล้วเจ้าพวกนั้นมันกล้าหนีออกไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ?

หรือว่ากฎสำนักมีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น? แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครรั้งอยู่ที่นี่อีก แล้วนางจะเคร่งครัดไปทำไมกันเล่า?

คิดได้ดังนั้น ชิงอวี่จึงพยักหน้า “ก็ได้”

อยู่ในสำนักละอองหมอกมาได้สองเดือน เมื่อไป๋จือเยี่ยนที่นางไม่ค่อยได้พบหน้าเห็นว่านางกำลังเดินเข้ามา ก็เผยรอยยิ้มจริงใจทันที “เสี่ยวชิงอวี่ ไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน เจ้าดูสูงขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย!”

ชิงอวี่ “…..”

นี่มันคำทักทายประเภทไหนกัน?

ไม่ใช่ว่าควรชมนางว่างดงามขึ้นอะไรแบบนี้หรือ? นายบ่าวคู่นี้ช่างน่าประหลาดโดยแท้

เห็นนางเมินเขาเช่นนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็ถูจมูกเขิน ๆ ครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าตนคงพูดอะไรผิดไป

“ไม่ต้องตกใจไป ข้าแค่หยอกไปอย่างนั้น เห็นเราไม่ได้พบหน้ากันนาง ข้ากลัวว่าจะไม่สนิทสนมกันก็เลยหยอกเจ้าเล่นดู” ไป๋จือเยี่ยนรีบบอก

ชิงอวี่ปรายตามองเขาสีหน้าเรียบเฉย “แล้วเราสนิทกันจนเรียกใกล้ชิดสนิทสนมกันได้แล้วหรือ?”

ไป๋จือเยี่ยนยิ้มค้างไป

ไหนเขาบอกว่าสตรีทั้งหลายไม่ชอบให้ยุ่งกับเรื่องหน้าตาไงเล่า? หรือแม่นางน้อยผู้นี้จะต่างจากคนอื่น ๆ พูดเรื่องความสูงแล้วหัวเสียแทน??

ไป๋จือเยี่ยนหันไปส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากโหลวจวินเหยา แต่พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ เขากำลังก้มลงมองชิงอวี่พลางเอ่ย “ขึ้นไปชั้นบนแล้วดูว่าชอบห้องไหน ชั้นสองกับชั้นสามมีห้องว่างเยอะนัก”

“ข้าไม่เรื่องมากหรอก อย่างไรก็ไม่กี่วันเท่านั้น” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ

“ไม่ได้ น้อยครั้งนักที่เจ้าจะมาพักที่หอเมฆาเคลื่อน ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ห้องที่ดีที่สุด ได้กินอาหารที่ดีที่สุด” ไป๋จือเยี่ยนรีบเอ่ยแย้ง ไม่รอให้นางตอบ เขาก็เรียกออกไปแล้ว “เหลียนจี”

ทันใดนั้นผู้ สตรีมีเสน่ห์เย้ายวนในชุดสีชมพูก็เดินเข้ามา

มุมปากของชิงอวี่ยกโค้งขึ้น “เหลียนเอ๋อร์ ไม่ได้พบกันนาน ”

นับตั้งแต่อาการของโหลวจวินเหยาดีขึ้น นาวก็ไม่เห็นเหลียนจีที่หอเมฆาเคลื่อนอีก ไม่รู้ว่านางถูกส่งไปที่ใด

พริบตาเดียว เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ชิงอวี่ยังแต่งตัวเช่นบุรุษ นางเข้ามาอุดหนุนหอเสาวคนธ์ที่เหลียนจีดูแลอยู่บ่อยครั้ง ชิงอวี่ที่ปลอมกายเป็นบุรุษในตอนนั้นน่ารักน่ามองนัก เหลียนจีมักจะคอยไปหยอกเย้าหยอกเอินนางอยู่เสมอ

ชิงอวี่เองก็ช่ำชองไม่น้อย หากเหลียนจีเป็นหญิงสาวใสซื่อช่างฝันเสียหน่อย นางก็อาจถูกอีกฝ่ายชิงใจไปจริง ๆ แล้วก็เป็นได้

เหลียนจีไม่เคยเห็นชิงอวี่ในชุดสตรีมาก่อน เมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยจากชิงอวี่ นางก็อดชะงักไปหน่อยไม่ได้ รู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ดูคุ้นตานัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่

ชิงอวี่แอบหัวเราะในใจ ในหัวพลันมีความคิดชั่วร้ายวาบผ่าน นางเมินชายหนุ่มทั้งสองคนไปเชยคางเหลียนจี ท่วงท่าเป็นธรรมชาติยิ่ง

โหลวจวินเหยากับไป๋จือเยี่ยนชะงักไป ไม่คิดว่านางจะกระทำการเช่นนั้น

ร่างนางสูงเพรียว สูงกว่าเหลียนจีอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเหลียนจีจึงต้องเงยหน้ามองนาง ภาพเช่นนี้คือคนพาลหยอกเอินหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง เหลียนจีชะงักจนนิ่งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ยิ่งทำให้นางดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก

“เหลียนเอ๋อร์ใจร้ายจริง ไม่ได้พบกันนานหน่อยแต่กลับลืมข้าสิ้นแล้ว ดูท่าคำพูดหวานหูพวกนั้นที่บอกว่าจะแต่งให้ข้าคนเดียวล้วนเป็นคำลวงสินะ” นางพูดจบ ก็ทำสีหน้าราวกับเจ็บปวดร้าวลึก ถอนหายใจยาวออกมา

เหลียนจีตกใจจนตาแทบถลน

นี่… ท่าทางการพูดอันแสนคุ้นหู ทั้งยังใบหน้างดงามเย้ายวนที่เศร้าสร้อยเช่นนี้… หรือว่าจะเป็น…

“คุณชายชิง?” เหลียนจีกระซิบขึ้นไม่แน่ใจนัก

ตามที่คาดไว้ เด็กสาวยิ่งกดยิ้มลึกขึ้น “ถูกต้อง!”

“เป็นสตรีงั้นหรือ?”

เหลียนจีได้สติ รีบปัดมือชิงอวี่ออก นัยน์ตางามจดจ้องไปที่เด็กสาวตรงหน้าอย่างมองประเมิน มองไล่จากหัวจรดเท้า ราวกับพยายามจะตรวจสอบบางอย่าง จากนั้นก็มองไปยังหน้าอกที่ยื่นออกมาครู่หนึ่ง พลันยอมรับความจริงในใจอยู่เงียบ ๆ

อาจเพราะเหลียนจีมีใบหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด โหลวจวินเหยาจึงเริ่มสนใจขึ้นมา เขาเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ? ดูท่าระหว่างเจ้าจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น?”

ชิงอวี่ยิ้มตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ครั้งข้าแต่งเป็นบุรุษตอนนั้นข้าดูอ่อนโยนและหล่อเหลาเกินไป ใครเห็นเป็นต้องยอมมอบใจให้ เหลียนเอ๋อร์เองมองข้าคราแรกก็ใจสั่นสะท้านจนประกาศว่าจะให้เพียงข้าเท่านั้น”

เหลียนจียังคงเงียบ “…..”

นางกำลังสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษปลอมเป็นสตรีหรือไม่

เจ้าคนพาลที่เอ่ยคำลวงตาไม่กะพริบอย่างเขาจะเป็นแม่นางน้อยอ้อนแอ้นบอบบางไปได้อย่างไร?

แล้วเมื่อครู่ใช้คำว่าอะไรนะ? ใจสั่นสะท้านจนประกาศว่าจะให้เพียงเขาเท่านั้น?!

เพ้ย! ช่างน่ารังเกียจไร้ยางอายนัก! เขาเคยเข้ามาเกี้ยวมาหยอกเอินนางตลอด นางก็แค่เล่นไปตามน้ำเพราะคิดว่าอีกฝ่ายดูน่าสนใจดีก็เท่านั้น!

ได้ยินเช่นนั้น โหลวจวินเหยายิ่งดูสนใจ มองไปที่เหลียนจีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหลียนจีชอบบุรุษเช่นนี้เองหรือ?”

เหลียนจีรู้สึกอับอายมากจนอยากขุดหลุมฝังตัวเองเสียตรงนั้น ใบหน้านายท่านน่ากลัวเกินไปแล้ว เห็นแล้วนางจึงรีบพูดตะกุกตะกักอธิบายตน “นายท่าน นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด… ”

ล้อกันเล่นเป็นแน่! คนคนนี้เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายท่านไว้! ไม่ว่าใครกระทั่งพวกคนระดับสูงในแคว้นมารก็ยังต้องให้ความเคารพ! อีกทั้งนางยังเป็นสตรี แต่ถึงเป็นบุรุษจริง ๆ นางก็ไม่กล้าคิดอะไรกับอีกฝ่ายหรอก!

เหลียนจีพลันหันมองไป๋จือเยี่ยนด้วยสายตาเว้าวอน

นางเป็นหนึ่งในลูกน้องของไป๋จือเยี่ยน เขาย่อมไม่ปล่อยนางจมน้ำโดยไม่ช่วยเหลือเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเสียงดังออกมาแล้วพยายามไกล่เกลี่ย “เอาล่ะ อย่าแกล้งเหลียนจีอีกต่อไปเลย ปล่อยให้นางพาแม่นางน้อยขึ้นไปพักผ่อนในห้องเถอะ!”

“อืม” ชิงอวี่พยักหน้ายิ้ม ๆ

จากนั้นเหลียนจีจึงเดินนำชิงอวี่ขึ้นไปด้านบน ท่าทางกระวนกระวายนัก

จนกระทั่งคนทั้งสองเดินลับสายตาไป โหลวจวินเหยาจึงหุบยิ้มบนหน้า “มีอะไร?”

ไป๋จือเยี่ยนถอนหายใจ “เราพบตำแหน่งแล้ว”

“ที่ไหน?” โหลวจวินเหยาถาม

“ชนเผ่าหมาน”

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง “นางไปที่นั่นได้อย่างไร?”

“ก่อนหน้านี้เราจับกลิ่นอายนางได้ที่พื้นที่เขตนอกชนเผ่าหมาน ทว่าด้านในโกลาหลเกินไป คนของเราไม่อาจแทรกซึมเข้าไปได้” ไป๋จือเยี่ยนตอบ

เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของโหลวจวินเหยา ไป๋จือเยี่ยนก็เอ่ยเบา ๆ อย่างมั่นใจว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ชนเผ่าหมานมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะทำอะไรนางหรอก”

โหลวจวินเหยาส่งเสียงหัวเราะหยัน “คนตายไปแล้ว ยังมีอดีตให้พูดถึงอีกหรือ?”

“เจ้าบอกว่าเขายังไม่ตายนี่?” ไป๋จือเยี่ยนถามพลางขมวดคิ้วฉงน

โหลวจวินเหยายิ่งเหยียดยิ้มดูถูกมากขึ้น “ถึงไม่ตาย แต่ปกป้องสตรีของตนไม่ได้ก็ไม่ต่างจากตายหรอก”

ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุก ต้องพูดแรงขนาดนั้นเลยหรือ? นี่เจ้ากำลังพูดถึงผู้อาวุโสอยู่นะ ต้องทำให้เขาดูไร้ค่าขนาดนั้นเชียว?

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร?” ไป๋จือเยี่ยนมองไปยังชั้นบน นัยน์ตาซ่อนความนัย “หรือว่าเจ้ากำลังพยายามเบี่ยงความสนใจยัยหนู? เจ้าจะไม่บอกนางหรือ?”

“อืม มันยังไม่ถึงเวลา” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงจริงจัง “จับตามองเผ่าหมานต่อไป ข้าจะเดินทางกลับแดนเมฆาสวรรค์ในภายหลัง”

ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเย้า “เจ้าเป็นห่วงแม่นางน้อยมากเลยงั้นสิ? ถ้าอยากกลับก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่นี่ ข้าจะคอยดูแลให้เอง รับรองได้ว่าไม่มีใครกล้ารังแกนางได้”

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้นสักนิด นางไม่ถูกคนอื่นรังแกก็ดีแล้ว” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ

ไป๋จือเยี่ยนยิ่งมีใบหน้าชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ “ดูน้ำเสียงที่เจ้าใช้สิ ทำไมข้ารู้สึกว่าระหว่างพวกเจ้า… มันเริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ?”

หากแต่บนใบหน้าโหลวจวินเหยาไร้แววขัน ดวงตาสีม่วงน่ามองเจอด้วยแววทะมึน “ข้าจะไม่จากไปไหนสักระยะ หลิงซูไปที่ตระกูลเฟิ่งแห่งแดนธาราขาวเพื่อตรวจสอบเรื่องเฟิ่งเทียนเหิงแล้ว ข้ารู้สึกว่าต่อไปคนคนนี้จะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่ ควรรีบฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อาจใช้วิชาเชิดหุ่นกำจัดเขาทิ้งเสีย!”