—ณ แดนเมฆาสวรรค์—
ที่ตั้งค่ายหลักของชนเผ่าหมาน
ผู้เฒ่าฉีกำลังอยู่ในกระโจมของตนเอง กำลังวุ่นอยู่กับสูตรยาต่าง ๆ ที่เขาเพิ่งได้มา ฉับพลันเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น ก่อนที่น้ำเสียงหวาดกลัวของเด็กน้อยจะดังขึ้นมา “ท่านปู่! ท่านปู! ไม่นะ…..”
ผู้เฒ่าฉีเงยหน้าขึ้น มองไปยังเด็กน้อยที่กำลังหอบหายใจหนักอย่างไม่พอใจนัก “มีเรื่องอะไรเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนั้นได้?”
ชั่วอึดใจหนึ่งกว่าอาเยว่จะสงบสติอารมณ์ลงได้ ใบหน้านางซีดเซียวพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ ข้าไปหาชิงเฟยเมื่อเช้านี้ แต่ไม่พบใครในห้องเลย ข้าหาจนทั่วแต่ก็ยังไม่พบนาง ท่านคิดว่าจะมีคนพาตัวนางไปหรือไม่?”
ผู้เฒ่าฉีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ลืมสูตรยาล้ำค่าไปเสียสิ้น เขาโยนมันทิ้งแล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “หาทั่วแล้วหรือ? ได้ลองไปหาในที่ที่นางชอบไปหรือไม่?”
อาเยว่พยักหน้าตอบ “ข้าหาทุกที่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนตื่นนอนหมดแล้ว ข้าจึงไม่กล้าออกไปดู ไม่เช่นนั้นถึงพี่เฟยไม่ได้ถูกพาตัวไป แต่ข้าก็อาจทำเรื่องนางเปิดเผยได้กระมัง?
ผู้เฒ่าฉีเอ่ยเสียงเหยียด “อย่างน้อยเจ้าก็มีไหวพริบ”
หากเป็นเวลาอื่น อาเยว่ก็คงดีใจที่ได้รับคำชมไปแล้ว ทว่าตอนนี้นางกลับไม่อาจรู้สึกยินดีได้ ใบหน้าเล็กน่ารักของนางเต็มไปด้วยความกังวล “ ท่านปู่ ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี?”
ผู้เฒ่าฉีลูบเคราพลางเอ่ย “รออีกสักพัก หากอีกสองชั่วยามยังไม่กลับ ข้าจะใช้กระจกมองวิญญาณส่องดู”
กระจกมองวิญญาณเป็นสิ่งประดิษฐ์มีพลังวิเศษที่ทำให้ชนเผ่าหมานสามารถมองเห็นทั่วทั้งพื้นที่ของเผ่าตนเองได้ แม้แต่หนอนตัวเดียวก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาสอดรู้จากมันได้
ดังนั้นหากมีผู้บุกรุกแอบเข้ามาชิงเอามันไปได้ก็จะทำให้เผ่าตกอยู่ในอันตรายมาก ไม่ว่าพวกเขาจะซ่อนตนอยู่ที่ใด กระจกมองวิญญาณก็จะสามารถรู้เห็นที่อยู่ของพวกเขาได้ทั้งสิ้น ดังนั้นกระจกมองวิญญาณจึงมีความสำคัญต่อเผ่าอย่างยิ่ง นอกจากหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ใช้อีก หากใครคิดใช้กระจกมองวิญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกโบยหนึ่งวันเต็ม
ผู้เฒ่าฉีเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในเผ่า ดังนั้นจึงมีอำนาจ สามารถใช้กระจกมองวิญญาณได้
อาเยว่ถอนหายใจโล่งอก “เช่นนั้นข้าจะลองกลับไปหาแถว ๆ นี้ดูอีกครั้งเจ้าค่ะท่านปู่”
“ไปเถอะ” ผู้เฒ่าฉีกล่าวเสียงไม่ไยดีพร้อมกับโบกมือไล่
—————————
“มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะฟื้นคืนสติ!”
น้ำเสียงร่วงโรยแก่ชราดังก้องขึ้นในห้องโถงขนาดใหญ่ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาว
บนเตียงน้ำแข็งที่ปล่อยไอเย็นยะเยือกออกมา มีชายคนหนึ่งนอนเอนร่างอยู่ด้านบน
เขาสวมชุดคลุมยาวสีแสงจันทร์ดูหรูหรา รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง สองมือผสานกันอยู่ที่หน้าท้อง ผิวเขาเนียนสวยเป็นพิเศษ ไอเย็นจากเตียงน้ำแข็งห่อหุ้มล้อมกายเขาเป็นไอเย็นชั้นหนึ่ง
มองไปที่ใบหน้านั้นแล้ว แม้มันจะทั้งซีดเซียวและอ่อนแอนัก แต่ก็เป็นใบหน้างามไร้ที่ติที่หาได้ยากยิ่ง
ใช้คำว่างามไร้ที่ติอธิบายบุรุษคนหนึ่งอาจฟังดูคล้ายสตรีไปเสียหน่อย แต่บุรุษผู้นี้ก็งดงามกว่าสตรีมีเสน่ห์เย้ายวนใจนับพันจริง ๆ หากแต่ก็ไม่ได้ดูอ้อนแอ้นจนคล้ายสตรีเกินไป กลับดูสมดุลกำลังพอเหมาะ
แม้เปลือกตาจะปิดสนิท ไม่ควรจะรู้สึกได้ถึงแรงข่มขู่ใด แต่ในโลกหล้านี้ก็ยังมีผู้ที่ทำให้คนมองรู้สึกราวกับไม่อาจเอื้อมถึง ราวกับเป็นเทพเซียนบนแท่นบูชา อดทำให้ใจรู้สึกเกรงกลัวไม่ได้
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมยืนอยู่หน้าเตียงน้ำแข็ง ใบหน้าเหี่ยวย่นแต้มรอยกังวลขณะมองชายหนุ่มที่กำลังหลับสนิท “ผ่านมาก็ร้อยปีเต็มแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อนพอแล้ว เจ้าไม่คิดจะลืมตาตื่นขึ้นอีกจริง ๆ หรือ?”
ชายชราอีกสองคนด้านหลังยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว ใบหน้าเคร่งขรึมพอ ๆ กัน เผยกลิ่นอายหดหู่สิ้นหวัง
ชายวัยกลางคนกระซิบคำพูดแผ่วเบาอีกหลายคำ คล้ายกับจะทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตได้ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ด้วยหวังว่าชายหนุ่มจะตื่นในไม่ช้า แต่บุรุษบนเตียงน้ำแข็งก็ยังไร้การตอบสนอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น ยกเท้าขึ้นเตะมุมเตียงน้ำแข็ง ตัวเตียงคล้ายจะสั่นจากแรงเตะ
เสียงตะโกนของเขาแทบแหบพร่าไปสิ้น “ตื่นได้แล้ว! เจ้าหมายความว่าอย่างไรทิ้งเอาภาระทั้งหมดมาให้ข้าเช่นนี้? คิดว่าทำเป็นหลับอยู่ที่นี่แล้วจะไม่ต้องใส่ใจอะไรอีกงั้นหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเจ้ายังไม่ตื่นขึ้นมา ข้าจะให้ทั้งชนเผ่าหมานไว้อาลัยให้เจ้า จากนั้นข้าจะทำให้ชื่อชนเผ่าหมานหายไปจากใต้หล้านี้! ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะทำให้สตรีที่เจ้าหลงรัก คนที่เจ้ารักยิ่งกว่าใคร ข้าจะทำให้นางทรมานเสียยิ่งกว่าตาย! เจ้าใส่ใจนางมากไม่ใช่หรือ? ข้าจะพานางมาที่นี่ มานั่งต่อหน้าเจ้า จะใช้การทรมานที่มีทั้งหมดลงทัณฑ์นาง ให้เจ้าได้รู้สึกเจ็บปวดทรมานจนคิดอยากตาย!”
ก่อนหน้านี้เขายังมีท่วงท่าสง่างามสูงส่ง แต่ตอนนี้กลับคล้ายคนสิ้นสติที่ใกล้ทรุดลงเต็มทน เบิกตาแดงก่ำกว้าง ตะโกนสุดเสียง น้ำตารื้นขอบขึ้นมา
เขาคือหัวหน้าเผ่าของชนเผ่าหมาน เป็นชายที่ดูแล้วน่าจะอายุราวสี่สิบปีเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง เขามีชีวิตมาหกร้อยปีแล้ว นับว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งแดนเมฆาสวรรค์ได้เลยทีเดียว ที่ไม่มีใครคาดคิดคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งนั้นก็มีอายุพอ ๆ กับหัวหน้าเผ่า อีกทั้งจริง ๆ แล้วยังแก่กว่าหลายเดือนด้วยซ้ำ
ที่ทั้งสองคนดูมีอายุแตกต่างกันมากเช่นนี้ เป็นเพราะกฎชีวิตแห่งแดนเมฆาสวรรค์ เมื่อคนบนแดนบำเพ็ญถึงขั้น ร่างกายก็จะไม่แก่ตัวลงอีก ไร้ความเปลี่ยนแปลงใดอีกต่อไปไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
ชายบนเตียงน้ำแข็งนั้นบรรลุพลังบำเพ็ญตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น อายุได้เพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ร้อยปี เขาก็ยังมีรูปร่างกำยำแข็งแกร่งราวกับคนอายุยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น
คนทั้งสองเป็นสหายสนิทกันมาก ผ่านเป็นผ่านตายกันมาเยอะนัก ไว้ใจกันมากจนสามารถฝากชีวิตไว้ให้กันและกันได้ พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่อายุยี่สิบต้น ๆ มิตรภาพของเขายังแข็งแกร่งเช่นแต่ก่อน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหายที่หาได้ยากยิ่งในแดนเมฆาสวรรค์
หลายร้อยปีผ่านไปในพริบตา นอกจากผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครรู้อีกว่าหัวหน้าเผ่าในปัจจุบันไม่ใช่หัวหน้าเผ่าตัวจริง
หลังจากหัวหน้าเผ่าหายตัวไปหลายปี เขาก็กลับมา แต่กลับนอนนิ่งไม่ไหวติงมาร้อยปี ไม่ลืมตาตื่นเสียที หลังจากเกิดเรื่องนั้น หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันจึงสร้างแหวนหยกโลหิตที่จะมอบให้กับผู้สืบทอดเท่านั้นขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้ใครอื่นคัดค้านการขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า และเพื่อทำให้ฐานะหัวหน้าเผ่าของเขามั่นคงยิ่งขึ้น
หลายปีผ่านไป พวกเขาก็ชินตากับหัวหน้าเผ่าคนใหม่จนลืมคนเก่าไปเสียสิ้น มีเพียงผู้อาวุโสไม่กี่คนที่ยังจำได้ หัวหน้าเผ่าคนเดิมนั้นเป็นชายหนุ่มสบาย ๆ ไร้กังวล เป็นหัวหน้าแหกคอกที่ไม่ค่อยจะจัดการงานในเผ่ามากนัก เป็นเจ้าหนุ่มที่ทำให้คนอื่น ๆ ในเผ่าต้องปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง
แต่ใครจะไปคิดว่าการเดินทางออกจากเผ่าเพียงครั้งเดียวของเขา เจ้าตัวจะได้พบสตรีผู้หนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยสิ้นเชิง
จากคนที่ดูเหมือนเด็กไม่มีวันโต เปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มที่พึ่งพาได้ กลายเป็นบุรุษที่สามารถกำสวรรค์กว่าครึ่งไว้ในมือได้ในชั่วข้ามคืน เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนั้นมีอิทธิพลกับเขามากขนาดไหน
แม้จะเป็นเรื่องดีที่หัวหน้าเผ่ามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่การที่เขานอนนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้เป็นเวลากว่าร้อยปีก็เป็นเพราะสตรีนางนั้นเช่นกัน
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนตะคอกเสียงคล้ายคนสิ้นสติ ผู้อาวุโสที่สองคนด้านหลังก็อดถอนใจเศร้าสร้อยไม่ได้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเรานัก!
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ยามที่ชายวัยกลางคนบอกว่าจะลากตัวสตรีผู้นั้นมาทรมาน ชายบนเตียงน้ำแข็งที่เงียบนิ่งมานานกลับนิ้วมือกระตุกราวกับคล้ายจะระบายความโกรธในหัวใจ
ทว่ามันเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ขยับกายอีก ราวกับเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
ในขณะที่ชายวัยกลางคนยังคงปลดปล่อยความโกรธไม่หยุด สีหน้าก็พลันชะงักค้าง ส่งสายตาดุร้ายไปที่ประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน “ใครอยู่ข้างนอก!?”
ชายสูงอายุสองคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงจากชายวัยกลางคนที่ดังสนั่นดั่งสายฟ้าฟาด ใบหน้าเคล้าไอสังหาร “นั่นไม่ใช่กลิ่นอายของคนเผ่าเรา ใครกันที่มีอำนาจ สามารถลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้? ติดตามผู้บุกรุกไป อย่าให้มันได้มีชีวิตรอด!”
พูดจบ เงาร่างสีดำหลายเงาก็ปรากฏขึ้นโดยเร็ว จากนั้นก็กระโจนผ่านประตูที่ปิดสนิทไปราวกับเป็นเพียงควันกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
จากนั้นชายวัยกลางคนก็เปิดประตูเดินออกไป ปู่อาวุโสอีกสองคนเองก็รีบตั้งสติแล้วเดินตามเขาไปเช่นกัน
สัมผัสของหัวหน้าเผ่าเฉียบคมจนน่าผวาจริง ๆ มีคนแอบเข้ามา พวกเขายังไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่นิด ทว่าเงาดำพวกนั้นมันอะไรกัน? ดูเหมือนเงาร่างเหล่านั้นมีพลังลึกล้ำเกินหยั่งนัก หัวหน้าเผ่าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!
คนทั้งหมดพากันเดินออกไป ถูกผู้บุกรุกดึงความสนใจไปจนหมด ประตูถูกเปิดออกและปิดลงอย่างแน่นหนาในที่สุด หากแต่หลายอึดใจผ่านไป มันกลับถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมาให้ได้ยิน
‘ตึก ๆ’
ห้องนี้ใหญ่เกินไปจริง ๆ แม้จะเคลื่อนกายแผ่วเบานัก แต่เสียงก็ดังก้อง ได้ยินชัดเจน
เงาร่างบางสีแดงขยับกายตรงไปยังเตียงน้ำแข็งทีละก้าว
ทุกย่างก้าวราวกับเหยียบย่ำอยู่ในหัวใจนาง ใบหน้างดงามไร้ที่ติของชิงหลานเฟยนั้นสงบนิ่ง นัยน์ตาว่างเปล่าอยู่เล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากนางก็เปิดออก “เป็นท่าน… ท่านเป็นคนที่เรียกหาข้าอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
ในความฝัน นางมักจะได้ยินเสียงบุรุษอันอ่อนโยนอยู่เสมอ คอยเรียกหานางด้วยความรักความห่วงใยอยู่ข้างหู เรียกนางว่าเฟยเอ๋อร์
ทุกสิ่งอย่างในสถานที่แห่งนี้ดูคุ้นตานางนัก ราวกับนางเคยมาเหยียบที่นี่มาก่อน ทว่านางกลับจำไม่ได้ สิ่งเดียวที่นางจำได้คือเสียงที่เพรียกหาในใจนาง นำทางนางมายังที่นี่ มายังสถานที่นี้ มาหาเขา
พริบตาเดียว นางก็มายืนอยู่ข้างเตียงน้ำแข็ง นัยน์ตานางจ้องมองใบหน้างดงามของชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ นางคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ ไม่ทันรู้ตัว นางก็นั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือไปไล้ใบหน้านั้นแล้ว
ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านนิ้วส่งตรงเข้าถึงกระดูกในร่างยามนางสัมผัสใบหน้านั้น ที่ปลายนิ้วพลันมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น โชคดีที่นางดึงมือกลับมาทันเวลา รีบเรียกพลังวิญญาณมาละลายน้ำแข็งที่ปลายนิ้ว ไม่เช่นนั้นร่างทั้งร่างนางคงแข็งไปแล้ว
ไม่รู้เลยว่าบนเตียงน้ำแข็งนั่นหนาวเหน็บมากถึงเพียงไหน
เขานอนนิ่งเช่นนี้ หรือว่าจะไม่สบายหรือ?
ไม่งั้นด้วยความเย็นขนาดนี้ ร่างกายเขาจะทนได้อย่างไร นอนราบอยู่บนเตียงน้ำแข็งอันหนาวเหน็บไม่ไหวติงเช่นนี้ได้?
ชิงหลานเฟยขมวดคิ้วท่าทางโกรธ วิญญาณของนางยังไม่สมบูรณ์นัก ทำให้สตินึกคิดของนางยังไร้เดียงสา บริสุทธิ์ราวกับเด็กคนหนึ่ง นางยืนจ้องหนาชายหนุ่มดูบื้อใบ้เป็นเวลานาน สูญเสียทุกความรู้สึกไปชั่วขณะ
นางพบว่าชายหนุ่มดูคุ้นตามากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเขาเป็นคนที่นางสนิทสนมด้วยมาก ๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
นางเพิ่งจะนึกออกได้เรื่องหนึ่ง ในหัวพลันรู้สึกเหมือนมีเข็มนับไม่ถ้วนแทงเข้าร่างมา ความเจ็บปวดแสนสาหัสส่งผลให้นางทรุดตัวลงกับพื้น ก้มลงกอดร่างตนเองแล้วส่งเสียงร้องแผ่วเบา