ตอนที่ 193 โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ลั่วเฉินใคร่ครวญ ปักกระบี่ลงพื้นดิน “เช่นนั้นมันเกี่ยวกับอะไร?”

ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างจริงจัง “ผลประโยชน์ เพียงเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ หากต้องอุทิศชีพสังเวยต่อสิ่งนี้ ข้าว่าไม่คู่ควร”

เรื่องความถูกต้องชอบธรรมนี้ นับเป็นเรื่องที่อธิบายออกมายากลำบาก ทั้งยังมีเส้นแบ่งที่รางเลือน หากท่านพลีชีพเพื่อชาติบ้านเมือง ตกตายเพื่อความคุณธรรมความภักดี นั่นเรียกว่า จงรักภักดี หากท่านตกตายเพื่อสหายและความเชื่อส่วนตัว นั่นเรียกว่า ความกล้าหาญ

ในสายตาของฉินจิ่วเกอ สงครามครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การล่าล้างสัตว์อสูรอันนองเลือด นานวันย่อมก่อให้เกิดมหันตภัย แท้ที่จริงไม่จำเป็นต้องมีพรรคโลหิตนภามาสุมไฟกระพือลมใส่ ไม่ว่าช้าเร็ววันหนึ่งวันใดสัตว์อสูรเหล่านี้ย่อมต้องรวมตัวกันก่อกบฏ

เรียวนิ้วราวหยกสลักของซ่งเล่อลูบลงบนปิ่นหยกที่มวยผมจนยุ่งเหยิง “วาจาของพี่ฉินข้าคล้ายฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่ว่าถูกหรือผิด ขอเพียงสัตว์อสูรเหล่านั้นวิ่งแล่นบุกเข้ามา ซ่งเล่อย่อมต้องชักกระบี่ประหารฆ่าสิ้น”

ฉินจิ่วเกอลังเลชั่วครู่ ยิ้มให้แก่ตนเอง ไม่กล่าวกระไรอีก เอาเถอะ วาจานี้ของมัน ถือว่าไม่ได้กล่าวออกมาก็แล้วกัน

ลั่วเฉินก้าวออกไป ยื่นมือออกตบลงบนบ่าของฉินจิ่วเกอ “ที่เจ้าพูดมาแม้ไม่ผิด แต่ว่าผดุงหลักแห่งฟ้า ฆ่าเจตนาของผู้คน ทว่าหลักแห่งฟ้าก็คือเจตนาของคน แล้วจะสามารถกำจัดล้างสิ้นได้อย่างไร?”

ฉินจิ่วเกอขบริมฝีปากอย่างขื่นขม สองมือซุกกลับคืนไปในชายแขนเสื้อ “ใช่แล้ว หลักแห่งฟ้าก็คือเจตนารมณ์ของคน แต่เจตนาคนมิใช่ว่าจะเป็นหลักแห่งฟ้าเสมอไป อย่างไรข้าก็คิดว่าหากทำเช่นนี้ ต้องติดกับดักของผู้อื่น”

“กับดัก?”

“ใช่ พวกเราล้างบางสัตว์อสูรเช่นนี้ เผ่าอสูรที่มหาแดนอุดรร้างไร้คงจะนั่งนิ่งดูดายอยู่ได้หรอก แต่ไม่เป็นไรหรอก จอมทัพอสูรผู้ถูกความเคียดแค้นบดบังนัยน์ตาย่อมต้องยกทัพมาเหยียบย่ำเมืองมนุษย์จนราพณาสูร ไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงพวกเรามนุษย์อสูรล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูไม่อยู่ร่วมฟ้ามาเนิ่นนานแล้ว”

ฉินจิ่วเกอแยกแยะเรื่องราวในฐานะมุมมองของผู้อยู่นอกวง ตัวมันมาจากต่างโลก พรรคโลหิตนภายามนี้วางหมากอันยอดเยี่ยมออกมาตาหนึ่ง พวกมันมองออกถึงจุดอ่อนของธาตุแท้แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งยังรู้ว่าจะใช้จุดอ่อนที่เป็นความอัปลักษณ์แห่งชีวิตนั้น โจมตีทำลายจนบรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างไร

ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในอกของฉินจิ่วเกอกลับปรากฏเงาร่างงามงดยั่วยวนประดุจดั่งกุหลาบโดดเดี่ยวท่ามกลางหิมะน้ำแข็งเย็นของไป๋หลี่ชิงเฉิงขึ้น

สองหมากที่วางบนกระดานเมืองเทียนเอิน ล้วนเป็นฝีไม้ลายมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์นี้ กลับบังเอิญถูกตนเองพบเห็น น่าสนใจ น่าสนใจยิ่ง

“พี่ฉิน ท่านไฉนยิ้มออกมาได้ชั่วร้ายปานนั้น?”

ซ่งเล่อมองเห็นรอยยิ้มอันชั่วช้าน่ารังเกียจขั้นสุดของฉินจิ่วเกอต้องบังเกิดความหวาดผวาขึ้น ยามที่อันหยางกระตุ้นคนนับร้อยเข้ารุมใส่มันตอนนี้ก็แย้มยิ้มแบบนี้เอง ในความบ้าคลั่งเจือไว้ด้วยความพยาบาท ในความพยาบาทเจือไว้ด้วยดวงหน้าชั่วช้าอำมหิต ในดวงหน้าชั่วช้าอำมหิตยังมีความเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย

ฉินจิ่วเกอกำหมัดแน่นจนกระดูกลั่นกร๊อบ “ข้าคิดลงมือให้ลือลั่น หมากนี้เมื่อวางลงไป ดูซิว่าจะมีภูติผีปีศาจมากน้อยเท่าใดกระโจนออกมา!”

พยับเมฆม้วนหวนคลุมหมื่นลี้ ทะเลน้ำแข็งแผ่สยายนับร้อยพันจั้ง

เวลาผันผ่านจากเหมันต์สู่วสันต์ สรรพชีวิตกลับคืนสู่ชีวา ปีใหม่ใกล้มาถึง พรรคใหญ่ทั้งหลายรวมศิษย์ตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ การมาถึงของเทศกาลใหญ่กลับมิได้นำความรื่นรมย์มาให้ หากแต่ยิ่งเป็นการเพิ่มความระมัดระวังแก่วันที่จะมาถึง

คืนวันพระจันทร์เต็ม ไม่มีวัตถุธาตุมนุษย์ใดยังรั้งอยู่ในห้วงการอาละวาดของธาตุอสูร เมื่อรัศมีพลังนั้นแผ่อวลมาถึง ในค่ำคืนแห่งเทศกาลโคมไฟ สัตว์อสูรที่หมอบซุ่มในส่วนลึกของป่าเขาจะระเบิดทลายออกมา

ภูเขาจะถูกพลิกตลบ ผืนนาชอุ่มจะถูกเหยียบย่ำจนกลายเป็นผืนโคลนเละเทะ สัตว์อสูรนับหมื่นพันออกอาละวาดทำลายล้าง คลื่นสัตว์อสูรที่ผนึกรวมกันจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ประดุจดั่งทัพม้าควบถาโถมน้ำป่าท่วมซัดสาด

เวลานี้ยังห่างจากงานเทศกาลสามวัน ฉินจิ่วเกอนำพาศิษย์น้องเล็ก ร่วมทางกับลั่วเฉินและซ่งเล่อมาถึงเมืองซวนอู่ พลังฝีมือของศิษย์พรรคหลิงเซียวยังคงอ่อนด้อย มีเพียงศิษย์น้องสามหรงเคอเคอและเจ้าอ้วนน่าตายที่ได้เข้าเมือง

คนที่เหลือส่วนใหญ่รับผิดชอบทำหน้าที่กวาดเก็บหลังสงคราม สงครามคลื่นสัตว์อสูรกวาดที่ราบนี้ กลั่นดวงธาตุไม่มาก ปราณสุริยันไม่น้อยเลย

เทศกาลงานเงียบงัน ภายในเมืองซวนอู่มีเพียงโคมสองดวงแขวนไว้ แถมยังขาดแหว่งรุ่งริ่ง เทียนข้างในก็หมดสิ้นไส้เทียน ถูกลมพายุแรงกรรโชกใส่ ส่งเสียงเอียดอาดยิ่งดูไปยิ่งเหี่ยวร้าง

บนถนนหนทางเกลื่อนกล่นไปด้วยคลื่นมนุษย์ ล้วนเป็นบรรดาผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายแยกย้ายเพื่อต่อต้านคลื่นสัตว์อสูร ยังมีคนจากหุบเขาเพลิงราชันและประตูหายนะ กล่าวไปประหลาดนัก เมืองซวนอู่กระจิดริดกลับมีสองพรรคใหญ่จากสี่พรรคส่งคนมาถึง นับว่าให้ความสำคัญไม่น้อย

ด้านหุบเขาเพลิงราชันมีอันหยางนำทัพศิษย์จำนวนไม่มาก หากแต่ทั้งหมดล้วนเป็นยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลขึ้นไป ประตูหายนะมีเฉียนหยุนนำทัพ ที่พลังฝีมือสูงส่งที่สุดย่อมเป็นอาวุโสมู่หยวนที่คุมเมืองซวนอู่ ยามนี้บรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นห้าแล้ว

นอกจากนั้น เฉียนหยุนนำพาศิษย์สายตรงมาด้วยไม่น้อย ล้วนเป็นมังกรในมวลมนุษย์ พิสุทธิ์ไพศาลทั้งสิ้น

ฉินจิ่วเกอลากจูงมือศิษย์น้องเล็กเดินเบียดเสียดไปตามถนนหนทาง มองไปทั่วสี่ทิศอย่างแตกตื่น “คนมากมายปานนี้ ไม่ต้องรอสัตว์อสูรมาถล่ม เมืองคงระเบิดตัวแตกเองไปก่อน”

“เพื่อต้านคลื่นสัตว์อสูร พรุ่งนี้สมาคมนักปรุงยาและสมาคมนักจัดวางค่ายกลเมืองซวนอู่จะผสานกำลังตั้งการประมูลขึ้น อยากไปดูหรือไม่?”

สมบัติโอสถวิเศษ ทักษะยุทธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวยกระดับความสามารถทางการต่อสู้ของผู้ฝึกตน ทั้งยังเป็นตัวช่วยยามคับขัน สมาคมนักปรุงยาและนักจัดวางค่ายกลครานี้โอบกอดความคิดที่ว่าฟันไม่มีริมฝีปากย่อมหนาวสั่น (หากอีกฝ่ายตกที่นั่งลำบาก ตนเองก็จะแย่ไปด้วย) หอบเอาสมบัติวัตถุวิเศษออกมาประมูลมากมาย เพื่อเป็นทรัพยากรช่วยเหลือแก่เหล่าผู้ฝึกตน

ก่อนงานเทศกาลมาถึง การจัดงานประมูลย่อมดึงดูดผู้คนมากหลาย ยังไงซะหากมีไพ่ตายมากขึ้น ยามออกรบก็ย่อมมีโอกาสรอดมากกว่า

“ดูสิ ยังไงก็ต้องไป” ฉินจิ่วเกอคิดว่ายังไงก็ไม่มีอะไรทำ ไปดูก็ไปดูสิ

“ข้าเลือกที่พักไว้แล้ว ยังดีที่ข้ารู้จักกับเจ้าของที่พัก ดังนั้นเก็บห้องไว้แก่พวกเรา มิเช่นนั้นคงได้นอนตากน้ำค้างกลางถนนแล้ว” ซ่งเล่อยกแผนที่ขึ้นมา มองทอดตาไปยังที่ไกล

เจ้าอ้วนน่าตายเฝ้าอยู่ข้างกายของหรงเคอเคอ คอยขับไล่ฝูงชนม้าลารอบข้าง “มีแค่สามห้อง แล้วพวกเราจะแบ่งกันอย่างไร?”

ฉินจิ่วเกอหัวเราะเหยียด “ง่ายมาก ข้ากับน้องเล็ก เจ้ากับศิษย์น้องสาม ที่เหลือคือซ่งเล่อกับลั่วเฉิน”

“ศิษย์พี่” หรงเคอเคอเม้มปาก สองมือประสานส่วนหน้าท้อง ท่วงท่าสูงศักดิ์ “สมควรเป็นข้าและฉิงอวี่หนึ่งห้อง จึงจะดีกว่า”

“ไม่ดีกระมัง ศิษย์น้องสี่ช่วงอกกว้างขวางดั่งปราการ ทรวงอกอันกว้างโตโอ่โถงเช่นนี้ ทั้งยังสูงใหญ่โอ่อ่า ใครนอนห้องเดียวกับมัน วันรุ่งขึ้นสงสัยกลายเป็นเนื้อบด”

ฉินจิ่วเกอมองดูเจ้าอ้วนน่าตาย เจ้าหมอนี่สองปีผ่านไปยังอ้วนใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ยามนี้สูงเก้าฉื่อกว้างเก้าฉื่อ ระดับชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุด ถือว่าพอใช้ได้ไม่ตกหล่น ยังสะพายขวานเบิกภูผาหนักร้อยจินอีกหนึ่งอัน

“ไม่งั้นเอาอย่างนี้ ข้ากับซ่งเล่อ ยังมีศิษย์น้องรวมกัน ส่วนพวกที่เหลือก็แบ่งกันเอาเอง” ฉินจิ่วเกอพูดจาอย่างไม่แยแส แบ่งส่วนของตนเองออกมาก่อน

โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ ชื่อดีจริงๆ คนอยู่ในโลกมนุษย์ ย่อมต้องพำนักที่โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์

ครั้งแรกที่พบซ่งเล่อในเมืองซวนอู่ มันเองก็พักที่โรงเตี๊ยมนี้อย่างสบายใจราวบ้านตนเอง เถ้าแก่ก็ยังเป็นคนเดิม หน้าตาท่าทางผอมซูบโซ ใบหน้าเต็มไปด้วยหลุมบ่อ เหมือนถูกคนเอากำปั้นทุบมายังไงยังงั้น

บริการอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง คนแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนซามูไรยุคปลายของญี่ปุ่น กำลังนำทางแขกเหรื่อทั้งหลายไปยังห้องหมายเลขฟ้าที่จองไว้

ฉินจิ่วเกอนั่งเบื่ออยู่ในห้องก็ท่องอ่านคำกลอนรักชาติพิทักษ์บ้านเมืองออกมาอีกนิดหน่อย แสดงออกถึงจุดยืนแห่งความรักความชังของตนเองอย่างชัดแจ้งจนซ่งเล่อปลาบปลื้มประโลมใจ ต้องลงมาชั้นล่างสั่งอาหารให้แก่พี่ฉินสักหน่อย

ฉินจิ่วเกอลงมาชั้นล่าง มายืนอยู่ตรงโต๊ะต้อนรับ ในใจคิดว่าเมื่อซ่งเล่อคิดเลี้ยงแขก มันเองก็ไม่เกรงอกเกรงใจแล้ว แทบจะปีนข้ามเคาน์เตอร์ไปสั่งอาหาร ใครจะคาดว่าอยู่ดีๆ ความซวยก็ร่วงหล่นลงจากฟ้า คนผู้หนึ่งเดินส่ายอาดๆ เข้ามาในร้าน

“เถ้าแก่ ขอห้องสะอาดเอี่ยมสองห้องให้เราด้วย” ฉินจิ่วเกอหูกระดิก รู้สึกว่าเสียงนี้ช่างฟังคุ้นหูนัก

พอหันหน้าไปดู กลับต้องสะดุ้งจนเหงื่อซึม รีบคว้าหนังสือบัญชีบนโต๊ะมาปิดหน้าเอาไว้แทบไม่ทัน เผยให้เห็นเพียงดวงตาโสมมสองดวงเท่านั้น

มารดามันเถอะ แม่นางพริกแกงอันติงหลันนั่นถึงกับมาโผล่อยู่นี่ ด้านหลังนาง ยังมีบุรุษท่าทางทรงพลังติดตามมา ในมือถือทวนทองคำ ลักษณะเหมือนผู้คุ้มกัน คงจะไม่ใช่อันหยางหรอกนะ

ศัตรูมักพานพบอย่างไม่อาจเลี่ยง หากพวกมันพบเห็นซ่งเล่อละก็ เช่นนั้นคงน่าดูแล้ว เชื่อว่าซ่งเล่อหลังจากที่เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว จะต้องจับฉินจิ่วเกอที่มันคอยเรียกพี่ฉินๆ อยู่ปาวๆ นี้มาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นด้วยน้ำตาที่ชุ่มหน้า

“ไอหยา ที่แท้เป็นอัจฉริยะจากหุบเขาเพลิงราชันนี่เอง แต่ข้าละอายใจจริงๆ เผอิญว่าตอนนี้โรงเตี๊ยมเราเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น” เถ้าแก่รีบค้อมตัวลงอีกหลายส่วน กล่าวด้วยท่าทีราวกับจะประจบ

ได้ยินดังนั้นอันติงหลันก็มุ่นคิ้วลงทันที “เป็นห้องไหน?”

“ห้องสวรรค์หมายเลขสอง” เถ้าแก่ตอบอย่างคล่องแคล่ว

ฉินจิ่วเกอแทบจะมุดหายไปกับซอกโต๊ะ อีกนิดเดียวศีรษะก็จะจมหายไปกับพสุธาแล้ว สวรรค์ หากแม่นางพริกแกงนี่อาศัยอยู่ห้องติดกันกับตนละก็ คงได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ มันอยู่อย่างนี้ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี

แล้วนี่จะทำอย่างไรดี ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าต้องรักบรรดาศิษย์น้องของมัน แต่รักยิ่งกว่าคือตัวมันเอง ไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตมัน จำต้องเบี่ยงความสนใจซ่งเล่อไปทางอื่น

จับจ้องอันติงหลันเดินอาดๆ ขึ้นชั้นสองไป ฉินจิ่วเกอที่ใช้สมุดบัญชีอำพรางโฉม โชคดีไม่ถูกพบเห็น

พอเห็นสองพี่น้องนั่นเดินจากไปไกลแล้ว ฉินจิ่วเกอถึงค่อยเป่าปากโล่งอกออกมาได้ จากนั้นรีบแจ้นไปที่ห้องพักของเจ้าอ้วนน่าตาย ห้องดินหมายเลขหนึ่ง

เจ้าอ้วนน่าตายนอนห้องนี้เพียงลำพัง มันถอดชุดคลุมตัวหนาออกแล้ว เผยให้เห็นผ้ารัดพุงสีแดงจ๋ากับท้องโตๆ ราวลูกแตงโมของมัน เจ้าอ้วนน่าตายตัดสินใจกับตัวเองว่าถึงเวลาลดน้ำหนักเสียที ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“นั่นท่านหรือ ศิษย์พี่หญิง?” เจ้าอ้วนน่าตายมองผ่านซอกประตูออกไป

“นี่ข้าเอง รีบเปิดประตูเร็วเข้า” น้ำเสียงกระซิบกระซาบของฉินจิ่วเกอตอบกลับมา กลัวว่าจะถูกได้ยินเข้า

แต่เจ้าอ้วนน่าตายกลับไม่ยินยอมเปิดประตูให้ กล่าวอย่างเอียงอาย “ศิษย์พี่ มีอันใดท่านเชิญพูดตรงนี้ได้เลย แต่อย่าได้เข้ามาเป็นอันขาด ข้ากลัวว่าเกิดศิษย์พี่มาเห็นเข้า นางอาจเข้าใจผิดก็ได้”

ฉินจิ่วเกอหรี่ตามองผ้ารัดพุงสีแดงของเจ้าอ้วน บนนั้นมีลูกเป็ดน้ำว่ายป๋อมแป๋มอยู่สองตัว ดูๆ ไป เจ้าอ้วนน่าตายก็คล้ายเป็นโฮโมผู้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการล้ำลึกอยู่เหมือนกัน

“น้องสาวเจ้าสิ เจ้าคิดว่าข้าอยากเข้าไปมากหรือไง?เจ้าเอาหูมานี่ ข้ามีเรื่องใหญ่ต้องการคุยกับเจ้า”

เห็นศิษย์พี่ใหญ่จริงจังขนาดนี้ สงสัยต้องเป็นเรื่องใหญ่เท่าฮ่องเต้ฝากกำพร้า*อะไรเทือกนั้นเลยทีเดียว เจ้าอ้วนน่าตายรีบเอาหน้าบานๆ ของมันมาใกล้ “ศิษย์พี่เชิญท่านว่ามาได้เลย”

“เจ้าอยากมีเวลาอยู่กันตามลำพังกับศิษย์น้องสามหรือไม่?”

“อยาก ข้าต้องอยากอยู่แล้ว” เจ้าอ้วนน่าตายตื่นเต้นจนไขมันกระเพื่อม หางหมูของมันแทบกระดิกไหว

ฉินจิ่วเกอพยักหน้า “ดี ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งที่พวกข้าอยู่ ห้องกว้างขวาง แถมยังกั้นเสียงได้ดี เหมาะที่เจ้าจะนำไปใช้ที่สุด หลังจากข้าชี้แนะเจ้าเสร็จสรรพ ข้าจะหาข้ออ้างพาซ่งเล่อและศิษย์น้องออกไป ถึงตอนนั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็จะเป็นของเจ้า”

“ศิษย์พี่ใหญ่เชิญรับสั่งมาได ้ ศิษย์น้องพร้อมยอมตายเพื่อท่าน!” พอได้ยินว่าจะทำอะไรก็ได้ นัยน์ตาหยีเล็กของเจ้าอ้วนก็ถ่างโตเหมือนระฆังสองใบ ริมฝีปากเล็กจู๋พลันขยายกว้าง ลักษณะเหมือนพวกปัญญาอ่อนที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือเต็มพิกัด

ฉินจิ่วเกอกระซิบเสียงเบา “รอจนมืดค่ำ เจ้าก็ไปเปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยมเสียใหม่ เช่นนั้นข้าก็จะสามารถบอกพวกมันได้ว่าที่นี่ชื่อไม่เป็นมงคล ไม่สู้พวกเราย้ายไปอยู่ที่อื่นกันดีกว่า ถึงตอนนั้นที่นี่ก็จะกลายเป็นของเจ้า เจ้าอยากทำอะไรก็สุดแต่ใจเจ้าเลย ฮี่ฮี่ฮี่”

______________________

*ฮ่องเต้ฝากกำพร้า ฮ่องเต้ก่อนตายต้องนำรัชทายาทกำพร้าของตนฝากฝังต่อขุนนางใหญ่เพื่อพิทักษ์ว่าที่ราชัน