ตอนที่ 194 อักษรมนุษย์ยากขีดเขียน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“เปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยม?” เจ้าอ้วนน่าตายจำต้องถามย้ำให้แน่ใจ

ฉินจิ่วเกอหัวเราะ “ไม่ใช่ที่นี่เรียกว่าโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์หรอกรึ?เจ้าก็แค่เติมอักษรมนุษย์เพิ่มอีกขีด ที่เหลือก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”

“เยี่ยม ศิษย์พี่เชื่อมือข้าได้เลย รอจนฟ้ามืดดีแล้ว ข้าจะรีบไปจัดการ”

“ดี ถึงเวลาแล้วข้าจะบอกให้ศิษย์น้องเล็กและศิษย์น้องสามมาที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเพื่อฟังข้าเล่านิทาน เจ้าก็ไปเปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยมซะ ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างชั่วร้าย ก่อนจะกลืนหายไปกับความมืด เจ้าอ้วนน่าตายคลอนศีรษะไปมา ชื่นชมเลื่อมใสศิษย์พี่ของมันไม่หยุดปาก ไปมาไร้ร่องรอย ร้ายกาจยิ่ง

พอมาถึงห้องสวรรค์หมายเลขสอง อันติงหลันก็หย่อนก้นจุมปุ๊กลงบนเก้าอี้ด้วยมาดนายหญิงน้อย เฝ้ามองพี่ชายของนางที่กำลังสาละวนอยู่กับเครื่องเรือน จัดแจงถ้วยชา

“นี่ ทำไมท่านต้องใช้ศิษย์มากขนาดนั้นด้วย ท่านพี่กะเอามันให้ตายเลยรึไง?”

อันติงหลันยังคงขลาดกลัวต่อพฤติการณ์เย็บปักถักร้อยของฉินจิ่วเกอไม่หาย ได้ยินพี่ชายนางพาคนร่วมร้อยไปดักทำร้ายอีกฝ่าย อันติงหลันไม่รู้จะอยู่ข้างใครดี ฝ่ามือเปียกไปด้วยเหงื่อเย็น

ความเงียบโรยตัว ใบหน้าซื่อตรงของอันหยางปรากฏร่องรอยความขื่นขมแค้นใจ ตนเองไม่ต่างจากหาเรื่อง

ใส่ตัวแท้ๆ แม้ชอกช้ำแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ได้แต่โทษบิดาที่บอกกล่าวไม่ชัดเจน

อันติงหลันผินดวงหน้างามจิ้มลิ้มมา สันจมูกโด่งได้รูปสะท้อนกับแสงเทียน “ตกลงท่านพี่ทำอะไรกับมันกันแน่?”

อันหยางกล่าวอย่างหัวเสีย “น้องสาวที่เคารพ เจ้าถามข้ามาแปดร้อยรอบแล้วกระมัง ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ลงมือหนักหนาสาหัสปานนั้น รับรองว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นยังกินดีอยู่ดีได้ แต่ถ้าถามว่ากระดูกมันหักไปกี่ท่อนนั้น ข้าเองก็ตอบเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

ยิ่งฟังดวงหน้าขาวของนางก็ยิ่งซีดขาว อันติงหลันรู้ดีว่าพี่ชายของนางมือหนักขนาดไหน นางวาดภาพออกเลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะต้องกำลังนอนหยอดข้าวต้ม ได้แต่นอนทอดอาลัยมองฟ้าโดยที่ไม่อาจขยับตัวได้แน่

“ครั้งหน้าข้าไม่อนุญาตให้ท่านพี่ลงมืออีก เข้าใจหรือไม่?” อันติงหลันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ คนอะไร ไม่รู้จักยั้งมือเสียบ้าง

อันหยางพึมพำกับตัวเอง “เจ้านั่นเป็นน้องเขยข้าเสียอย่าง แล้วจะให้ลงมือกับมันได้หรือ”

“ท่านว่าอะไร?” อันติงหลันถามเสียงสะบัด

อันหยางสะดุ้งเฮือกรีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น ท่าทางเหมือนคนท้องผูก ไม่ปริปากส่งเสียงอีกเลย

ห้องข้างๆ หรือก็คือห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง ฉินจิ่วเกอกำลังนั่งอยู่บนเก้าดั่งพระราชา ด้านหน้าคือโต๊ะที่มีธูปจุดไว้ นอกจากเจ้าอ้วนน่าตาย ทุกคนที่ไม่มีอะไรให้ทำเลยมานั่งฟังนิทานกันหมดสิ้น

ศิษย์พี่ใหญ่เอนกายไปกับเก้าอี้ กล่าวเล่าเรื่องอย่างมีจังหวะจะโคน จนผู้รับฟังล้วนต้องเคลิบเคลิ้มไปตามๆ กัน

พริบตาราตรีก็มาถึง ศิษย์น้องเล็กกลับห้องไปนอน เจ้าอ้วนน่าตายค่อยแง้มประตูอย่างลับๆ ล่อๆ บนหน้าพันปิดไว้ด้วยผ้ารัดพุงสีแดงเตะตา ห่อเสียจนมิดชิดราวโจรย่องเบา ค่อยๆ ย่องดอดออกไปเงียบๆ

เดินเขย่งด้วยปลายเท้า ลมหายใจแผ่วสั้น เจ้าอ้วนน่าตายค่อยๆ เขย่งเก็งกอยมาจนถึงหน้าทางเข้าของโรงเตี๊ยม คลื่นสัตว์อสูรรุกใกล้ ทุกคนไม่มีกะใจจะมานั่งร้องเพลงร่ำสุราเสพสุขกัน พอมืดค่ำ เมืองซวนอู่จึงไม่มีแม้แต่สุนัขสักตัว

เจ้าอ้วนน่าตายล้วงเอาหมึกและพู่กันออกมา ใช้น้ำลายแต้มๆ กับผ้าอีกแถบหนึ่งจุ่มลงบนหมึก จากนั้นเริ่มขีดเขียนป้ายชื่อของโรงเตี๊ยมเสียใหม่

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เดิมทีชื่อโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ (人间客栈) ตามเจตนาเดิมของฉินจิ่วเกอ เจ้าอ้วนน่าตายจะต้องเติมขีดลงไปบนคำว่าคน 人 กลายเป็น โรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์ (大间客栈 ต้าเจียนเค่อจ้าน เสียงคล้ายกับต้าเปี้ยนเค่อจ้าน, ต้าเปี้ยนแปลว่าถ่ายหนัก)

พอเสร็จงาน เจ้าอ้วนน่าตายก็เก็บอุปกรณ์เครื่องมือลงไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เขย่งเก็งกอยกลับเข้าห้องดินหมายเลขหนึ่งของตัวเอง ห่มผ้าคลุมโปงเตรียมหลับเอาแรง เพราะอีกครึ่งราตรีให้หลัง ศิษย์พี่ใหญ่ก็จะพาเหล่าศิษย์น้องของมันออกไป เจ้าอ้วนน่าตายจำต้องฟื้นฟูพลังงานเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี

ส่วนห้องสวรรค์ ฉินจิ่วเกอกำลังเล่านิทานพิทักษ์ชาติบ้านเมืองอันเปี่ยมแรงบันดาลใจแก่ผู้ฟัง ในใจคำนวณว่าเจ้าอ้วนน่าตายสมควรเสร็จภารกิจ ดังนั้นฉินจิ่วเกอออกมาเคลื่อนไหว

เพิ่งออกจากห้องเดินมาตามโถงทางเดินของโรงเตี๊ยม เสียงแกร่กดังคราหนึ่ง ประตูก็เปิดออก

ติงหลันนั่งเบื่ออยู่ในห้องจนทนไม่ไหว ทั้งยังไม่อาจสงบใจนั่งฝึกฝีมือเช่นอันหยาง ดังนั้นรอจนฟ้ามืดค่ำ พริกเผ็ดน้อยกลายเป็นพริกโคตรเผ็ด ลอบเปิดประตูออกมารับลม

แค่รับลมแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อันติงหลันเพิ่งออกมา ก็มองเห็นฉินจิ่วเกอที่ท่าทางลับๆ ล่อๆ ที่พอดีมองมาเห็นนางเช่นกัน

ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว คิดฆ่าข้าให้ตายจริงๆ ใช่มั้ย!

ใครจะคาด อันติงหลันเมื่อเห็นฉินจิ่วเกอกลับไม่ได้เข้ามาคิดบัญชี ทั้งมิได้ระเบิดอารมณ์ หากกลับค่อยๆ ปิดประตูลง ก้าวเดินมาด้วยฝีเท้ารู้สึกผิด

“ซ่งเล่อ ท่านไม่เป็นไรกระมัง?” อันติงหลันเอ่ยถาม น้ำเสียงรู้สึกผิดบาป

ฉินจิ่วเกอสะดุ้งเฮือก พร้อมกันนั้นเอ่ยตอบว่า “มิผิด ข้าก็คือซ่งเล่อ ติงหลัน ท่านติดค้างข้า อีกนิดเดียวข้าก็แทบสิ้นชีพแล้ว”

อันติงหลันร้อนรนจนกระทืบเท้า “ไม่เกี่ยวกับข้า เป็นพี่ชายข้าทำเองทั้งนั้น มาให้ข้าดูซิว่าเจ้าถูกตีตรงไหนบ้าง”

ฉินจิ่วเกอปั้นหน้าเคร่งเครียดสุดกำลัง ฝ่ามืออันหนักแน่นทั้งสองวางประทับลงบนสองบ่าของอันติงหลัน “ไม่เป็นไรติงหลัน แค่บาดเจ็บเล็กน้อย สำหรับข้าแล้ว ในฐานะที่เราเป็นเผ่ามนุษย์ด้วยกัน ข้าซ่งเล่อล้วนไม่ถือสา”

“งั้นเจ้า เจ้าไฉนมาโผล่อยู่ที่นี่?แล้วก็ดูไปไม่เห็นเหมือนคนรับบาดเจ็บเลย” อันติงหลันรู้สึกว่าดวงหน้าของฉินจิ่วเกอโน้มเข้าใกล้ดวงหน้าของตนเองเหลือเกิน ลมหายใจร้อนระอุ จมูกแทบจะแนบชิดกับนางอยู่แล้ว

“ที่เจ็บปวดก็คือภายในใจของข้า แต่ละหมัดของพี่ชายเจ้า ทุบทลายลงใส่กระดูกสันหลังของข้าอย่างสาหัส มันต้องการให้ข้าลืมเลือนเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้”

พูดจบ ฉินจิ่วเกอก็ดันตัวอันติงหลันเข้ากับกำแพงอย่างไม่ให้ตั้งตัว

ปง!

ฉินจิ่วเกอคลายมือออก เปลี่ยนมาพิงไว้กับกำแพง โอบล้อมนางไว้อย่างแน่นหนา

“ติงหลัน ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะมีภารกิจสำคัญระดับชาติให้กระทำ จำไว้ว่า ตอนนี้ข้าเปลี่ยนไปใช้ชื่อฉินจิ่วเกอแล้ว คนที่หล่อที่สุดในห้องตรงนั้นคือศิษย์น้องข้าเอง คนกันเองทั้งนั้น ส่วนเจ้าคนที่หน้าฟกช้ำดำเขียวนั่น ตอนนี้มันเรียกซ่งเล่อ ข้าจำต้องปกปิดฐานะตัวเองไว้ก่อน”

อันติงหลันจ้องมองฉินจิ่วเกอที่เคลื่อนใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ เพราะความสูงของอีกฝ่าย จึงทำให้มุมนี้เป็นมุมสี่สิบห้าองศาพอดี ยิ่งขับเน้นความคมคายของใบหน้ามังกรนั้นให้ดูเคร่งขรึมเหี้ยมหาญขึ้นไปอีก

ลมหายใจแผ่วที่รินรดใกล้ อวลกลิ่นหอมส้มจางๆ

“เพราะเหตุใด?”

ฝ่ามือขวาของฉินจิ่วเกอทาบลงบนกำแพง ฝ่ามือซ้ายลูบคาง “เพราะพรรคโลหิตนภากระตุ้นคลื่นสัตว์อสูร คิดวางแผนก่อความวุ่นวายแก่เผ่ามนุษย์ ข้ามีเจตนาแฝงเข้าสู่พรรคโลหิตนภา คืนนี้คนของพวกมันจะมาเจอพวกเราที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง”

องค์กรปีศาจแห่งทวีปฉงหลิงคือสิ่งที่แสนจะน่าหวาดหวั่นในสายตาของอันติงหลัน นางร้อนรนจนหน้าเผือดซีด “เจ้าบอกว่า คืนนี้พรรคโลหิตนภา จะส่งคนมาพบพวกเจ้า?”

ฉินจิ่วเกอหัวร่อ มุมปากขยับยก ปลายนิ้วหยาบกระด้างบางเบาเกลี่ยพวงแก้มขาวของอันติงหลันเบาๆ “อย่ากลัวไปเลย ข้าจะปกป้องเจ้าเอง หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองไปดูด้วยตาของเจ้าเองได้ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเรียบร้อยแล้ว นั่นคือสัญญาณลับระหว่างข้ากับพวกมัน”

“แต่เจ้าห้ามป้วนเปี้ยนอยู่เด็ดขาด!” ฉินจิ่วเกอทำท่าราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ข่มขู่สร้างความหวาดกลัว “คนที่พรรคโลหิตนภาส่งมาได้มาถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว เจ้าห้ามทำให้มันตื่นตัวเด็ดขาด คืนนี้พวกเราจะล่อมันออกมา แล้วล้วงเอาข้อมูลจากมัน”

“ชะ เช่นนั้นเจ้าเองก็ต้องระวังด้วย” อันติงหลันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างที่คิดไว้

“วางใจได้ เพื่อเจ้า ข้าจะระวังตัวให้ดี ตอนนี้เจ้าก็เชื่อฟังแล้วข้ากลับเข้าห้องไปก่อน จำไว้ว่าอย่าออกมาเพ่นพ่านเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจทำให้พวกมันตื่นตัวได้”

พวงแก้มของอันติงหลันขึ้นสีชมพูระเรื่องามงด “ลามปามใหญ่แล้ว ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

ฉินจิ่วเกอเกลี่ยผมหน้าม้าที่ระรุ่ยอยู่เบาๆ รังสีความหล่อเหลาเด่นพุ่ง “เรื่องครั้งก่อนเป็นข้าทำผิดต่อเจ้า แต่ก็ขอให้เจ้าปิดเป็นความลับไว้ก่อน พอจบเรื่องนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมเมืองซวนอู่สักครา”

“ได้ รับปากแล้วนะ” อันติงหลันผลักฉินจิ่วเกอไปให้พ้นตัว จากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าห้องหมายเลขสอง

พอผลักประตูเข้ามา นางก็พุ่งเข้าไปเขย่าตัวอันหยางที่กำลังปิดตาเข้าฌานอยู่ “นี่นี่ ท่านพี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

อันหยางเบิกตา ทั้งยังคร้านที่จะปิดลง “ที่นี่จะมีเรื่องใหญ่อะไร หรือว่าเจ้าเผาโรงเตี๊ยมวอดไปแล้วกันล่ะ?”

“อะไรกัน ข้าจะบอกให้ คืนนี้จะมีพรรคโลหิตนภาแทรกซึมเข้ามา” อันติงหลันขบคิดใคร่ครวญ ที่จริงเรื่องพบปะนี้ไม่ปลอดภัยเท่าใด สมควรล้อมจับคนของพรรคโลหิตนภามาทั้งเป็น จากนั้นเค้นถามเรื่องราวน่าจะง่ายดายกว่ามาก

ผู้ฝึกวิชาปีศาจล้วนบ้าคลั่ง ย่อมต้องใช้วิธีการอันบ้าคลั่งมาจัดการ ฉินจิ่วเกอมองอุปนิสัยของนางมารร้ายผิดไป ตอนแรกบอกนางรักษาความลับ ไม่ทันเท่าใดก็พ่นออกไปหมดสิ้นแล้ว

ยังดีที่เรื่องนี้เป็นมันกุขึ้นทั้งนั้น หากเป็นคนของพรรคโลหิตนภาลอบสืบเสาะมาจริง คืนนี้คงจบสิ้นแล้ว

ฉินจิ่วเกอย่องเบากลับเข้าห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง มันตัดสินใจแล้ว คืนนี้ยังไงก็ต้องต้อนทุกคนออกจากโรงเตี๊ยมไป สถานที่นี้ฮวงจุ้ยปีศาจ ออกประตูทีเจอเจ้าหนี้ที จะให้ทนนอนพักอยู่ทั้งคืนได้ยังไง

ภายในห้องพักหมายเลขสอง อันหยางที่ยามนี้สีหน้าไม่เชื่อถือเลยสักนิดใช้มือวางโปะลงบนศีรษะของผู้เป็นน้องสาวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ถึงได้เอ่ยวาจาไร้สาระแบบนี้ออกมา ต่อให้มีผู้ฝึกวิชาปีศาจปะปนเข้ามาในเมืองซวนอู่จริง พวกมันก็ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างเหนียวแน่น มีหรือที่เจ้าจะระแคะระคายร่องรอยของพวกมันได้”

อันติงหลันโมโห ผลักมืออันหยางออกจากหัว “พูดกับท่านไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าพวกเราลองออกไปที่หน้าโรงเตี๊ยมแล้วดูว่าป้ายชื่อถูกเปลี่ยนจริงหรือไม่ ข้าสืบมาได้ว่าโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์แทน แล้วไส้ศึกของพรรคโลหิตนภาคนนั้นก็จะเผยตัวออกมา”

อันหยางไม่อาจรับมือกับนางได้ จึงต้องตามก้นนางออกไปด้วยความระอา ไม่นานก็มาถึงหน้าที่เกิดเหตุ

“ปะ เป็นโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์จริงๆ” อันหยางถูตาอย่างไม่อยากเชื่อ ตอนเข้ามาคือโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์อยู่ชัดๆ ไฉนเพียงพริบตาก็กลายเป็นถ่ายทุกข์ไปเสียแล้ว

“ไม่ใช่เจ้าทำจริงๆ?” อันหยางรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของเมืองซวนอู่ มิอาจไม่สั่นสะท้านทั่วร่าง รู้สึกเหมือนภาระอันยิ่งใหญ่หล่นใส่สองบ่า

อันติงหลันปรายตามองอย่างพอใจ กระโปรงโบกสะบัดไปบนพื้นอย่างได้ใจ “แน่นอนว่าไม่ใช่ข้าทำ เชื่อแล้วหรือไม่?”

อันหยางลูบใบหน้า ยืนยันว่าจากโรงเตี๊ยมมนุษย์กลายเป็นโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์ หากมิใช่น้องสาวของตนเองเล่นละครตบตาจริงๆ การเชื่อไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่เชื่อ ไม่แน่ว่าอาจมีสายลับของพรรคโลหิตนภาเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้วก็ได้

“รู้มั้ยว่าอีกฝ่ายอยู่ห้องไหน?” สุภาพบุรุษอายุเยาว์ ไม่มีใครไม่มีเลือดพิทักษ์แผ่นดิน โลหิตระอุอุ่นคิดรบราฆ่าฟัน อันหยางรีบร้อนซักไซ้อย่างลืมตัว

อันติงหลันส่ายหน้า กลัวว่าจะเปิดเผยฐานะหลายหลากของฉินจิ่วเกอออกไป นางจะต้องปกป้องอัจฉริยะผู้นี้ไว้ให้ดี

“ข้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ห้องไหน ที่นี่มีคนเข้าพักร่วมร้อย ทันทีที่แหวกหญ้าจนงูตื่น อีกฝ่ายก็คงเตลิดหายไปแล้ว”

อันหยางเดินกลับไปกลับมาอยู่ใต้ป้ายชื่อใหม่เอี่ยมอ่องของโรงเตี๊ยม “เจ้าพูดถูก ไส้ศึกของพรรคโลหิตนภาผู้นั้นจะต้องรู้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน เราจะต้องจับตัวคนผู้นี้ให้ได้ แต่ไม่อาจทำโฉ่งฉ่างไป”

อันติงหลันก็เองตื่นเต้นจนเลือดร้อนรุ่ม “ข่าวลับที่ข้าได้มา กลางดึกคืนนี้ ไส้ศึกคนนั้นจะมาที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง เพื่อพบปะกับสหายที่มาจากสังคมมืดของเผ่ามนุษย์ ท่านก็ดักซุ่มแล้วหาโอกาสจับตัวดีหรือไม่?”

อันหยางในฐานะมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นสามนับว่ามีกำลังให้พอกวัดแกว่ง ภารกิจจับสายลับนี้จึงย่อมเหลือบ่ากว่าแรง