คิดถึงความปลอดภัยของมนุษย์และการอยู่รอดของเมืองซวนอู่ อันหยางยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม “เอาล่ะ ถึงยามอู่*เมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้กัน”

ตอนนี้ก็เป็นยามซวี** แล้ว อันหยางรีบกลับเข้าห้อง จัดแจงตัวเองให้พร้อมรับศึก เพียงแค่คิด เลือดลมก็เดือดพล่าน ใจเต้นด้วยความวาดหวังรอคอย

อันติงหลันพอเห็นพี่ชายขึ้นห้องไปแล้ว ใจที่อยากก่อเรื่องก็เริ่มคันยิบ จนสุดท้ายก็ขโมยหมึกมา แล้วแต่งแต้มป้ายชื่อโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์เพิ่มเข้าไปอีกจุด

“ฮ่าฮ่า โรงเตี๊ยมสุนัข (犬间客栈 เฉวียน แปลว่าสุนัข) น่าสนใจ”

อันติงหลันโยนหมึกในมือทิ้งไป จากนั้นฮัมเพลงเบาๆ กระโดดโลดเต้นกลับห้องไปอย่างสบายใจ

ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าใกล้จะได้เวลาแล้ว จึงหยุดเล่านิทาน เปรยขึ้นว่า “ซ่งเล่อ เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้ แต่ข้าว่าเจ้าช่างตาถั่วจริงๆ เมื่อกี้ตอนข้าลงไปข้างล่าง ป้ายชื่อของที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์อย่างเจ้าว่าเลยสักนิด”

ซ่งเล่อเผยสีหน้าโง่งม หันตัวมา “เป็นไปได้ยังไง ตอนที่ข้าจองห้องพักทั้งสาม ยังเป็นโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์อยู่ชัดๆ เป็นความหมายของคนก้าวย่างบนโลกมนุษย์ ท่องเดินทางบนเส้นทางโลกียะ”

“ถึงได้บอกไงว่าเจ้าตาถั่ว โรงเตี๊ยมนี้ชื่อโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์ต่างหาก ไม่ใช่โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ของเจ้า ฟังแล้วเป็นอย่างไร ข้าว่าฮวงจุ้ยที่นี่เลวร้ายยิ่ง เห็นทีคงจะเป็นโรงเชือดมากกว่า”

ซ่งเล่อเริ่มเหงื่อแตก แต่น้ำเสียงกลับปลอดโปร่ง “พี่ฉิน ข้าว่าท่านคิดมากเกินไปหรือเปล่า ที่นี่คือโรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ชัดๆ”

“โลกมนุษย์บ้านเจ้าสิ ถ่ายทุกข์ต่างหาก ข้าว่าที่นี่ต้องมีเรื่องราวแน่ๆ ดีไม่ดีอาจเกิดหายนะนองเลือดขึ้นก็ได้” เพื่อการณ์นี้ ฉินจิ่วเกอถึงกับโป้ปดออกมาอย่างงดงาม

ลั่วเฉินที่อยู่ด้านข้าง ทนฟังต่อไปไม่ไหว ผลักประตูเปิดแล้วกล่าวว่า “ข้าจะลงไปดู”

ผ่านไปเจ็ดแปดลมหายใจ ลั่วเฉินก็กลับเข้ามาด้วยใบหน้างุนงง “แปลก แปลกจริงๆ”

ฉินจิ่วเกอเห็นท่าทีอีกฝ่ายก็ถอนใจโล่งอก “เห็นไหมเล่า เป็นโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์อย่างที่ข้าว่าเลยใช่มั้ย?บอกเจ้าแล้ว มีแต่โรงเตี๊ยมเชือดสังหารเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยมอย่างนี้ เจตนาเล่นไม่ซื่อชัดแจ้งยิ่ง”

“จริงหรือนี่?” ซ่งเล่อไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรดีแล้ว

ลั่วเฉินส่ายหน้า “ป้ายชื่อด้านนอกนั่น ไม่ใช่โรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์เช่นกัน”

“งั้นก็เป็นโลกมนุษย์น่ะสิ?” ซ่งเล่อเอ่ย รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะ

ใครจะคิดลั่วเฉินกลับขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ป้ายชื่อนั่น เขียนไว้ว่าโรงเตี๊ยมโลกสุนัข (犬间客栈) ”

“อ๋า?สุนัข?” ฉินจิ่วเกอแทบปากเป็นตะคริว เจ้าอ้วนน่าตาย ข้าสั่งให้เจ้าทำเรื่องง่ายๆ แค่นี้ อย่าบอกนะว่าแม้แต่ขีดกับจุดเจ้ายังแยกแยะไม่ออก?

“ไม่ได้การ ข้าจะลงไปดูสักหน่อย”

ตรงเตี๊ยมโลกสุนัข ถ้านี่ยังไม่ใช่ก่นด่าผู้คนแล้วอะไรจะใช่?ฉินจิ่วเกอพิโรธแล้ว กระทืบเท้าปึงปังเดินลงไปชั้นล่าง

พอถึงหน้าทางเข้า ฉินจิ่วเกอก็ต้องโง่งม มารดามันเถอะ ถึงกับเป็นดรงเตี๊ยมโลกสุนัขจริงๆ ทั้งฝีไม้ลายมือยังงดงามไร้ที่ติอีกต่างหาก

“เจ้าอ้วนน่าตาย ข้าบอกให้เจ้าเปลี่ยนเป็นถ่ายทุกข์ เจ้าทำดีมาก ถึงกับกล้าด่าข้าไปด้วย งั้นตัวเจ้าเป็นอะไร สุนัขไล่ทุ่งงั้นรึ?

ฉินจิ่วเกอเงยหน้าขึ้นอย่างหัวเสีย กวาดมองไปรอบๆ พบเห็นขวดหมึกหล่นอยู่ข้างทาง ฮ่า ไหนๆ ก็เรียกโลกสุนัขแล้ว ไยไม่สู้เปลี่ยนใหม่อีกสักรอบ ในเมื่อเจ้ามาไม้นี้งั้นข้าจะให้เจ้ารู้สึก ไม่แน่ลงแรงนิดเดียวผลที่ได้อาจเหนือความคาดหมายไปเลย

ดังนั้นฉินจิ่วเกอจึงจัดการลบจุดบนตัวอักษรออก จากนั้นเขียนขีดเพิ่มลงไปใต้คำว่าคน เป็นอันเสร็จสิ้น

“เหอเหอ โรงเตี๊ยมโลกมนุษย์ โรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์ โรงเตี๊ยมโลกสุนัขใดๆ ล้วนไม่อาจดุดันเท่าของข้าได้”

ฉินจิ่วเกอเขียนเสร็จก็หักพู่กันโยนขวดหมึกทิ้งไปไกลๆ ป้องกันว่าจะเกิดมีคนมาแต้มป้ายเปลี่ยนความหมายไปอีก จากนั้นก็เดินกระแทกเท้ากลับสู่ห้องพักสวรรค์หมายเลขหนึ่งบนชั้นสอง

พอกลับเข้ามา ซ่งเล่อก็ปรายตามองถาม “ตกลงเป็นโรงเตี๊ยมโลกสุนัข?”

ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า “ฟ้ามืดเกินไป ข้าเลยมองไม่ค่อยถนัด แต่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมโลกสุนัข อย่างไรก็ตาม ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว ข้าว่าเราควรย้ายไปอยู่ที่อื่นจะดีกว่า”

ซ่งเล่อเริ่มรำคาญใจ กล่าวอย่างงุนงง “ข้าไม่เข้าใจ มันก็แค่ชื่อไม่ใช่หรือ ไม่ว่าที่นี่จะใช้ชื่ออะไรแล้วเกี่ยวอะไรด้วย?ต่อให้เรียกโรงเตี๊ยมร่ำรวยเงินทอง วันนี้ข้าก็จะอยู่มันที่นี่แหละ”

“พี่ซ่งอย่างเหี้ยมหาญจริงๆ แต่ข้าแนะนำให้ท่านลงไปดูสักรอบเถอะ ยังดีที่ข้ายังพอมีทางออก ประมุขตระกูลม่อในเมืองซวนอู่เป็นสหายที่ดีของข้าเอง พวกเราสามารถไปขอค้างแรมที่นั่นได้ รับรองว่ามันไม่ปฏิเสธ”

“ก็ได้ ข้าจะลงไปดูว่าตกลงที่นี่เรียกว่าอะไรกันแน่!” กล่าวจบ ซ่งเล่อผู้ฮึกเหิมห้าวหาญก็เดินปึงปังลงไปที่ชั้นล่าง

ภายในห้องพักสวรรค์หมายเลขสอง เวลาก็ผ่านมาได้สักระยะแล้ว อันหยางที่เงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา ก็ได้ยินเสียงผู้คนสัญจรเข้าออกอยู่ตลอด บางครั้งยังถี่กระชั้น เหมือนมีมีดดาบห้อยแขวนอยู่เหนือศีรษะ

อันติงหลันกระเถิบเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถาม “ท่านพี่ ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข่าวที่เจ้าได้มาสมควรไม่ผิดพลาด” อันหยางกระซิบตอบ “ด้านนอกมีเงาการเคลื่อนไหวผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอด ทั้งไม่ใช่ของคนเพียงคนเดียว ตอนนี้ยังไม่ถึงยามห้าย*** แต่ผีสางก็เริ่มทยอยออกมากันแล้ว”

“เห็นไหมเล่า ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ ที่นี่มีสายลับของพรรคโลหิตนภาอยู่จริงๆ”

“อืม” อันหยางผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม มันเพียงแค่แนบหูฟังกับประตู ก็ได้ยินเสียงขวานเบิกทลายฟ้า ไม่ธรรมดาจริงๆ

“พอถึงเวลาปะทะ เจ้าห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด ไม่งั้นข้าอาจเสียสมาธิได้ วิธีของพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจพิสดารลึกล้ำ ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกมันหลุดรอดไปได้”

อันหยางคำนวณเวลา กว่าจะถึงยามอู่*** ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ตนยังต้องรออีกสักนิด พวกผู้ฝึกวิชาปีศาจเหล่านี้ เมื่อไหร่ที่เผยโฉม จำต้องรวบหัวรวบหางให้หมดทั้งก๊วน!

ใช้ศอกกระทุ้งไหล่อันหยางเบาๆ อันติงหลันทำท่าประดุจได้รับบุปผาของโฉมงามพิทักษ์เมือง “วางใจเถอะ ทุกอย่างต้องเรียบร้อย”

ณ ทางเข้าของโรงเตี๊ยม ซ่งเล่อยืนนิ่งอยู่หน้าแผ่นป้ายเป็นเวลานาน รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง เนื้อตัวเย็นเฉียบ กระทั่งเกิดเสียงดังทะลุความมืด ที่แท้ก็ถึงยามห้ายแล้ว

หลังตะเกียกตะกายกลับมาถึงห้องพักสวรรค์หมายเลขหนึ่งได้ ซ่งเล่อก็รีบบึ่งเข้าห้อง ปิดประตูตามหลังทันที “สวรรค์ ทำข้าตกใจแทบตายแล้ว ข้าว่าพวกเราออกจากที่นี่กันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ อยู่ไม่ได้แล้ว”

“ข้าขอบอกเจ้าอีกครั้ง ข้ารู้จักกับม่อฉวนซัวและม่อโหย่วเฉียนแห่งเมืองซวนอู่เป็นอย่างดี หากไปขออาศัยอยู่ที่นั่น รับรองว่าอุ่นใจหายห่วง”

ลั่วเฉินยังฉงนใจ ซ่งเล่อไม่ใช่พวกที่ชอบตีโพยตีพาย จึงต้องถามขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่ใช่บอกว่าต่อให้ที่นี่เรียกโรงเตี๊ยมร่ำรวยเงินทอง คืนนี้เจ้าก็จะอยู่ที่นี่หรอกหรือ ป้ายชื่อของที่นี่อย่างมากเขียนไว้ว่าโรงเตี๊ยมโลกสุนัขเท่านั้น ตกลงมันเรื่องอะไรกัน”

ซ่งเล่อใช้มือปิดอวัยวะส่วนล่าง ขาหนีบเข้าหากัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง “ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่พอข้าลงไปดู มารดามันเถอะ ที่นี่เรียกโรงเตี๊ยมโลกสุนัขตรงไหนกัน”

“งั้นเรียกอะไร?” ฉินจิ่วเกอถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ มันก็แค่จรดพู่กันลงไปให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น

ซ่งเล่อกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย ลอบมองโถงทางเดินมืดมิดผ่านช่องว่างตรงประตู “บนป้ายชื่อเขียนไว้ว่าโรงเตี๊ยมขันที (太间客栈 ไท่เจียน พ้องเสียงกับคำว่า ไท้เจี้ยน แปลว่าขันที) ชัดๆ!”

ตุบ!

ลั่วเฉินร่วงลงกับพื้น ยกมือกุมบั้นท้าย ฉินจิ่วเกอพอได้ฟัง แม้มันจะเป็นคนเขียนเอง แต่ก็ยังต้องสะดุ้งเฮือก เม้มปากแน่นไม่กล้าพูดอะไร

อันหยางที่อยู่ห้องข้างๆ เอาหูแนบกับกำแพง ไม่กล้าแผ่จิตสัมผัสออก กลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้

ขันที?หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณลับของค่ำคืนนี้ ช่างแยบยลจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ รสนิยมหยาบโลนยิ่ง

“อะไร ลั่วเฉินตะลึงงัน ค่ำคืนนี้ช่างแปลกพิสดารเกินไปแล้ว ไฉนถึงได้มีกลิ่นอายเร้นลับพิศวงไปทั่วทุกที่เลยเล่า

ฉินจิ่วเกอลอบหัวเราะ “ข้าก็บอกพวกเจ้าแล้ว ที่นี่อยู่ไม่ได้ พวกเจ้าได้ยินชื่อนี้แล้วยังคิดว่าพวกเราสมควรอยู่ต่อหรือเปล่าล่ะ?”

ลั่วเฉินและซ่งเล่อส่ายหน้าพร้อมกันโดยอัตโนมัติ ล้อกันเล่น เรื่องนี้มีความสุขชั่วชีวิตของพวกมันเป็นเดิมพัน แล้วจะไม่ให้กลัวได้อย่างไร

ฉินจิ่วเกอตบโต๊ะ “เช่นนั้นมัวทำอะไรกันอยู่ รีบเก็บข้าวเก็บของแล้วไปจากที่นี่กันได้แล้ว”

ลั่วเฉินเอ่ยเตือน “ต้องเรียกพวกศิษย์น้องหญิงหรือไม่?”

“เพ้ย กุลสตรีไม่ชอบให้ใครมารบกวนตอนพวกนางกำลังหลับใหล อีกอย่าง โรงเตี๊ยมแห่งนี้ชัดเจนว่าเพ่งเป้ามาที่พวกเรา อย่าไปสนใจพวกนางเลย”

“งั้นศิษย์น้องสี่เล่า?”

“มันตัวอ้วนใจกว้างขวาง ย่อมไม่มีเงามารร้ายแผ้วพาน”

ฉินจิ่วเกอลอบสาปส่งเจ้าอ้วนน่าตายในใจ เรื่องเล็กๆ แค่นี้เจ้ายังทำไม่สำเร็จ รอเจ้ามาถึงห้องแล้วเห็นทุกอย่างว่างเปล่าก่อนเถอะ สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว

กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง เวลาก็ถึงยามอู่ในที่สุด

ก็อง ก็อง ก็อง!

นาฬิกาตีบอกเวลาสามที ความเงียบกังวานทั่วท้องถนนโล่งแจ้ง

ยามอู่ไอสังหารแผ่ปกคลุม ความเย็นยะเยียบชำแรกถ้วนทั่ว

ผลักประตูเปิดออกอย่างเบามือ ฉินจิ่วเกอสอดส่ายสายตาดูโถงทางเดินอันมืดมิดอย่างระแวดระวัง เมื่อแน่ใจว่าปลอดคน ถึงค่อยกวักมือเรียกซ่งเล่อและลั่วเฉินให้ตามมายิกๆ ต่างคนต่างหอบหิ้วสัมภาระน้อยใหญ่แตกต่างกันไป

เขย่งเท้าย่องลงจากชั้นบน ฉินจิ่วเกอค่อยถอนใจออกมาได้ ชายหนุ่มเดินลัดเลาะโต๊ะเก้าอี้ ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่ให้ได้เร็วที่สุด

เรื่องนี้ช่างน่าเห็นใจเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนัก จากโรงแรมโลกมนุษย์ดีๆ เจ้าอ้วนน่าตายผู้สามานย์ก็มาเปลี่ยนให้เป็นโรงเตี๊ยมถ่ายทุกข์ ถ่ายทุกข์นั้นช่างเถิด แต่ไม่นานก็ถูกไทแรนโนซอรัสเพศเมียมาเปลี่ยนให้เป็นโรงเตี๊ยมโลกสุนัข

โรงเตี๊ยมโลกสุนัขนั้นช่างเถิด อย่างมากก็บังเกิดความเคลือบแคลงต่อบุคลิกลักษณะของผู้ฝึกตนที่เข้าพักอยู่ในโรงแรมหลายร้อยชีวิตเท่านั้น

แต่เป็นเพราะตัวสารเลวที่เรียกตัวเองว่าสุภาพบุรุษคนหนึ่ง กลับเปลี่ยนชื่อโรงเตี๊ยมให้เป็นโรงเตี๊ยมขันที ชื่อนี้ นับว่าเหลือรับจริงๆ คาดว่าเหล่าบุรุษที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ต่อไปคงจะมีเงามืดประทับอยู่ ไม่อาจได้รับความรักอีกเลยตลอดชีวิต

ในตอนที่ฉินจิ่วเกอพาศิษย์น้องและสหายออกจากห้องพักสวรรค์หมายเลขหนึ่ง เจ้าอ้วนน่าตายเองก็มุดออกจากห้องพักของมันเหมือนกัน ตามการนัดแนะระหว่างมันและศิษย์พี่ใหญ่ ช่วงเวลานี้คือเวลาฟ้ามืด ลมพัดกรรโชก ไฟร้อนรุ่มแผดผลาญ

เจ้าอ้วนน่าตายสวมผ้ารัดพุงสีแดงปิดหน้าตา อำพรางใบหน้าอ้วนๆ ของมันไว้ แต่ไม่อาจปกปิดน้ำลายที่ยืดหกตลอดเวลานั้นได้ หลังใช้หลังมือผลักประตูปิดเบาๆ เจ้าอ้วนน่าตายที่เป็นเหมือนป้อมปราการยักษ์ก็เคลื่อนตัวมาถึงห้องสวรรค์ได้ในที่สุด

อันหยางที่อยู่ในห้อง ยังคงนับนิ้วคำนวณเวลา เมื่อครู่พอถึงยามห้าย ด้านนอกพลันแว่วเสียงผีคร่ำผีครวญ เงากระบี่ดาบแวววับ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา อันหยางไม่อาจแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงเฝ้ารอให้ถึงเวลาอย่างอดทน ไม่กล้าแผ่สัมผัสเทวะออกไป

ตอนที่ฉินจิ่วเกอและพรรคพวกลงไปถึงชั้นล่างแล้ว ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าอ้วนน่าตายกำลังพุ่งตัวมาจากทางตะวันออกของชั้นสอง

เจ้าอ้วนน่าตายในสภาพโจรย่องเบา เนื้อตัวกางเกงรองเท้าล้วนเป็นสีดำ มีแต่ศีรษะที่รัดพันไว้ด้วยผ้ารัดพุงสีแดงลายเป็ดน้ำป๋อมแป๋ม มองผ่านๆ เหมือนอสูรบวมแดงที่พุ่งตัดความมืดมาด้วยความเร็วสูง

เจ้าอ้วนน่าตายผู้ปราดเปรียวมาถึงเขตห้องสวรรค์ เลขห้องเคลื่อนผ่านตาไปแถวแล้วแถวเล่า นับไปนับมาก็เริ่มหูอื้อตาลาย

อันหยางที่เอาหูแนบกับประตูสองมือกำทวนคู่ใจไว้แน่น เข่าของมันแนบชิดติดบานประตู ปิดตาเม้มปาก ผนึกลมหายใจ อันติงหลันเองก็เคร่งขรึมจริงจัง นางยืนอยู่ด้านหลังพี่ชาย พลาอำนาจเร่งเร้าขึ้นทุกขณะจิต

ภายในห้องพักสวรรค์หมายเลขสาม ตอนนี้มีคนชุดดำสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างลับๆ คนที่ตัวเตี้ยกว่าส่งมอบแผนผังเมืองซวนอู่ให้กับอีกคน

ในนั้นมีเขียนไว้ทั้งแก่นแกนค่ายกลของเมืองซวนอู่ คลังเก็บทรัพยากรต่างๆ หรือแม้แต่มาตรการป้องกันของแต่ละประตูเมือง

ด้วยสิ่งนี้ เพียงชักนำคลื่นสัตว์อสูรสะเทือนฟ้าสะท้านดินมาได้ ย่อมเพียงพอที่จะบดขยี้ทำลายล้างเมืองซวนอู่ได้ในพริบตา ถือเป็นของสำคัญชนิดคอขาดบาดตายเลยทีเดียว!

————————————

*ยามอู่ 23:00-01:00

**ยามซวี 19:00-21:00

***ยามห้าย 21:00-23:00

ว่าด้วยชื่อโรงเตี๊ยม

ผู้เขียนเล่นคำจากตัวอักษร 人 ในภาษาจีน

โรงเตี๊ยมเดิมชื่อว่า 人间客栈 , 人 แปลว่ามนุษย์

เมื่อฉินจิ่วเกอใช้เจ้าอ้วนน่าตายไปเพิ่มขีดหนึ่งขีด เจ้าอ้วนน่าตายขีดขวางเข้าไป จาก 人 กลายเป็น 大 แปลว่าใหญ่

ดังนั้น โรงเตี๊ยมกว้างขวาง (大间客栈) จึงถูกอันติงหลันเพิ่มจุดไปอีกจุดหนึ่ง กลายเป็น 犬间客栈 ซึ่งหมายถึงสุนัข ดังนั้นฉินจิ่วเกอเมื่อเห็นชื่อโรงเตี๊ยมที่ถูกเปลี่ยนจึงคิดว่าเจ้าอ้วนแอบแดกดันตนเองเป็นสุนัข จึงด่าเจ้าอ้วนเป็นสุนัขไล่ทุ่ง (จริงๆในบริบทภาษาจีน ฉินจิ่วเกอพูดว่า แล้วแกเป็นสุนัขไล่แกะหรือไง)

ฉินจิ่วเกอผู้ร้ายกาจของเรา เลยเติมจุดลงไปที่ด้านล่าง จากโรงเตี๊ยมสุนัข (犬间客栈) กลายเป็นโรงเตี๊ยมขันที (太ไท่ 间เจียน 客เค่อ 栈จ้าน ,ออกเสียงคล้าย 太ไท่ 监เจี้ยน = ขันที) สร้างความร้อนรนจนแม้แต่ซ่งเล่อผู้เหี้ยมหาญยังไม่กล้าค้างคืนอยู่ต่อไป ต้องรีบแหกขี้ตาออกจากโรงเตี๊ยมทั้งกลางดึกกลางดื่นนั่นเอง

อนึ่ง ฝากติดตามและเข้าไปพูดคุยเรื่องศิษย์พี่ใหญ่ฯได้ในแฟนเพจเฟสบุ๊ค เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ ของคณะผู้แปลได้ ตอนนี้จะเริ่มพยายามอัพสม่ำเสมอ ผู้แปลก็อาจจะมีคุยเรื่องมุกต่างๆ หรืออธิบายศัพท์ในตอนตามที่ได้ค้นคว้ามา ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้นะ

“>