ตอนที่ 190 ของที่ระลึกและการไปหยุดคนไว้ตอนเที่ยงคืน (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 190 ของที่ระลึกและการไปหยุดคนไว้ตอนเที่ยงคืน (1)

ในขณะที่กระวนกระวายใจ มั่วเชียนเสวี่ยก็พยายามลุกขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกดัง ฟืดด ทำให้เจ็บปวดที่หน้าอกขึ้นมาอีกครา

ชูอีที่เห็นว่าจู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นนั่ง ก็รีบเข้าไปช่วยพยุง “คุณหนูอย่าพยายามขยับตัวเจ้าค่ะ มีเรื่องอันใดใช้ให้พวกบ่าวไปทำก็พอ เพื่อระวังไม่ให้บาดแผลฉีกขาด”

มั่วเชียนเสวี่ยพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเอง พบว่าบาดเจ็บทางฝั่งซ้าย ตั้งแต่ช่วงอกลงมาจนถึงแขนล้วนเจ็บทั้งสิ้น พอออกแรงก็ยิ่งเจ็บเพิ่มยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงกดไปที่บาดแผลด้วยมือขวา พลางเหลือบมองไปที่ชูอีแล้วกล่าวสั่ง “พยุงข้าขึ้นมา”

ชูอียังอยากที่จะรั้งเอาไว้ แต่กลับต้องชะงักไปเพราะสายตาอันเย็นเยียบที่มั่วเชียนเสวี่ยมองมา จึงต้องพยักหน้าพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” ในขณะเดียวกันก็ช่วยพยุงมั่วเชียนเสวี่ยให้ลุกขึ้นมาจากเตียง

สืออู่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้านางพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ ให้บ่าวไปให้ก็ได้เจ้าค่ะ”

“ไปห้องตำรา” มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีอารมณ์ที่จะตอบอะไร จึงเดินอ้อมนางออกจากประตูไป สืออู่ทำได้เพียงเดินติดตามไปก็เท่านั้น

มาถึงหน้าประตูแล้ว สืออู่ก้าวเข้าไปเคาะประตูพลางบอกว่าฮูหยินมา ทว่าด้านในไร้ซึ่งเสียงใดๆ

เคาะอีกครั้ง ก็ไม่มีคนตอบรับ

เคาะอีกครั้ง!

หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในห้อง ริมฝีปากของเขาซีดขาว ร่างกายหนาวสั่นไปทั้งตัว พยายามโบกมือกับอาซานพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงดั่งเสียงยุง “บอกให้…นางไป”

นางได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาไม่อยากให้นางเป็นกังวลอีก และยิ่งไม่อยากให้นางต้องเป็นห่วงอีกด้วย

“เจ้านาย” แม้ว่าอาซานจะรู้สึกเศร้าใจ แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของหนิงเซ่าชิง เขาจึงกล่าวเสียงดังออกไป “ฮูหยินขอรับ เจ้านายพักผ่อนแล้ว ฮูหยินสุขภาพไม่ดี รีบไปพักผ่อนเถิดขอรับ

ไม่รู้ว่าเมื่อไรอิ่งซาถึงจะกลับมา พิษเย็นในร่ายกายนายท่านกำเริบขึ้นมาแล้ว เกรงว่าจะยื้อต่อไปได้อีกไม่นาน

“เปิดประตู” มั่วเชียนเสวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูแม้ว่าเสียงจะเบา แต่กลับทรงพลังมาก “หนิงเซ่าชิง หากท่านไม่เปิดประตู ข้าจะให้ชูอีและสืออู่พังประตูเข้าไป”

หนิงเซ่าชิงที่กำลังตัวสั่นอยู่พูดอะไรไม่ออก อาซานกำลังจะไปเปิดประตู ทว่าประตูกลับถูกสืออู่พังเข้ามาแล้ว

หนิงเซ่าชิงที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูที่ถูกพังเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าประตูรีบใช้สายตามองหาร่างของชายที่อยู่ในใจ ดวงตาของทั้งสองคนปะทะกันกลางอากาศ

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยซีดขาว ดวงตาของหนิงเซ่าชิงก็ฉายแววความเจ็บปวดออกมา มือข้างหนึ่งของนางห้อยอยู่ข้างลำตัว อีกข้างหนึ่งกุมไว้ที่อกข้างซ้าย ดูแล้วแม้ว่าบาดแผลจะไม่สาหัสนัก แต่จะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่

หากไม่ใช่เพราะในช่วงเวลาวิกฤตินั้น เขาเอียงดาบ และดึงพลังทั้งหมดกลับมา เกรงว่าดาบนั้นคงจะเอาชีวิตของมั่วเชียนเสวี่ยไปแล้ว

ผลลัพธ์เช่นนั้น เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่า พลังที่เวียนวนที่กลับย้อนมายังร่างกายนั้นมันได้พุ่งเข้าไปเปิดปราณเย็นที่เขากับอิ่งซารวมพลังกันผนึกเอาไว้ ไม่อย่างนั้น พิษเย็นของเขาจะกำเริบขึ้นมาก่อนได้อย่างไร

ครั้งนี้ที่กำเริบขึ้นมานั้นไม่ธรรมดา ขนาดเขาปลุกเร้าพลังปราณขึ้นมาก็ไม่เป็นผล หากไม่ใช่เพราะว่าเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วรีบอุ้มนางกลับออกมาจากป่าอย่างห้าวหาญ อาซานและอาอู่ก็รวมพลังกันถ่ายทอดพลังปราณให้เขาอย่างช้าๆ ไม่แน่ว่า ร่างที่นางเห็นในตอนนี้อาจจะเป็นปะติมากรรมน้ำแข็งก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้รู้เสียใจภายหลัง

หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ยังคงดึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดนั้นกลับมา เขาเพียงเกลียดที่ดึงพลังกลับมาช้าไปเสียหน่อย สุดท้ายมันจึงทำร้ายนางจนได้

เมื่อเห็นริมฝีปากของหนิงเซ่าชิงซีดขาว ใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เป็นสุข พิษเย็นนั้นกำเริบขึ้นมาก่อนกำหนดอีกแล้ว!

ในคืนนั้นที่นางแอบฟังเขากับอิ่งซาพูดคุยกัน ความหมายในคำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในหู

คืนนั้นหนิงเซ่าชิงโอบกอดพลาง จูบซับน้ำตาของนาง ทว่านางก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เป็นเพราะไม่กล้าถาม นางกลัวว่าจะได้ยินข่าวร้ายจากปากของเขา

ความซีดขาวที่ปะทะกับสายตาของหนิงเซ่าชิงนั้นทำให้เขาหลบสายตาที่เป็นทุกข์ พลางกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ “เจ้าออกไปซะ!”

มีเพียงการไล่นางไปเท่านั้น ถึงจะทำให้นางมองไม่เห็นตัวของเขาที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ ไม่ให้นางเห็นเขาในสภาพที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เช่นนี้ และฉากที่ไม่อาจควบคุมตนเองได้

คำพูดนั้นมันช่างโหดร้าย…

เขาหวังว่า ในใจของนาง เขาจะยังคงสง่างาม และสุขุมอยู่เสมอ แม้ว่าจะโมโห งุ่มง่าม ทว่าภาพเหล่านั้นยังคงงดงามมิเคยเปลี่ยน

มั่วเชียนเสวี่ยเพิกเฉยต่อท่าทีเกลียดชังที่เขาจงใจแสดงออกมา ก้าวไปข้างหน้าแล้วนั่งอยู่ที่ข้างๆ เตียง จ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงสะอื้นไห้เล็กน้อย “ข้าไม่ไป!”

ความเย็นในร่างกายจู่ๆ ก็จู่โจมขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว หนิงเซ่าชิงกัดฟันแน่น ใช้ความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในกายทั้งหมดพยายามทำให้ร่างกายไม่สั่นพลางกล่าวอย่างเหยียดหยาม “บัดนี้เจ้าก็เป็นคนที่มีฐานะแล้ว เมื่อครู่นี้ยังไปขวางดาบให้ผู้อื่นอยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงยังอยู่ที่นี่อีก รีบกลับไปเป็นบุตรีของกั๋วกงที่เมืองหลวงเถิด…”

คำพูดนี้ฟังดูโหดร้ายและไม่น่าฟัง นั่นก็เพียงเพื่อให้นางรีบออกไปเร็วๆ

ยาที่หมอประหลาดไปเอาถูกทำลายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมีแผนสำรอง ทว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ไม่เคยเตรียมรับมือกับพิษที่กำเริบขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ หากตนเองผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ ให้นางตัดใจไปเสียยังดีกว่า

“เจ้าคนเลว…” นี่เป็นคำหยาบคำแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดออกมา นางกล่าวเสียงดังจนกระเทือนไปถึงแผลที่อก รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้อาซานอาอู่ ชูอีและสืออู่ตกตะลึงจนแน่นิ่งไปในทันที ในสายตาของพวกนาง บางครั้งมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้ใช้คำสวยหรูอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับใช้คำที่หยาบคาย

คนทั้งสี่ช่วยพยุงเจ้านายของตนเอง อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่หนิงเซ่าชิงด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ปะทะสายตากันอย่างนี้ หนิงเซ่าชิงรู้สึกจุกในลำคอ ทว่าใจเขาหนักแน่น ใบหน้าที่เย็นชาเบือนหนีไปทางอื่นไม่มองหน้านางอีก นางโกรธและต่อว่าตนเองแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปสิ กลับไปที่ห้อง ถึงแม้จะอารมณ์เสีย อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถนอนพักผ่อนได้ ไม่แน่ว่าอาจจะหลับฝันดี

มั่วเชียนเสวี่ยโกรธ และไม่พอใจแล้วจริงๆ

แต่แค่นี้จะทำให้นางไปได้อย่างไร! คิดว่านางเป็นตัวอะไร นางไม่มีหัวใจไร้ซึ่งมโนธรรมอย่างนั้นหรือ ที่แท้ เขาก็มองนางเป็นคนเช่นนี้

มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ที่นางรู้สึกท้อแท้ ทว่าวินาทีต่อมา แรงดื้อรั้นก็พลุ่งพล่านขึ้นมา

ไม่ว่าเขาจะมองว่านางเป็นคนเช่นไร นางก็จะทำในสิ่งที่นางต้องการ นางไม่ไป ถึงตายก็ไม่ไป!

ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นางก็จะเดินเคียงข้างเขาไป ร้องไห้ก็ดี หัวเราะก็ดี เพียงให้นางได้อยู่เคียงข้างเขาก็พอ

เขาอย่าได้คิดที่จะผลักไสนางออกไป! ฝันไปเถอะ! มั่วเชียนเสวี่ยมั่นคงในความคิดของตนเอง กลับมาใจเย็นลง “วันนี้ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่ อยากให้ข้าไป ท่านก็ต้องตีข้าให้ตาย”

พูดจบ ก็ค่อยๆ ผลิยิ้มออกมา “มันก็แค่พิษเย็นกำเริบมิใช่หรือ มีอะไรหนักหนาสาหัสหรืออย่างไร ถ้าต้องตายพวกเราก็ต้องตายด้วยกัน ถ้าต้องเจ็บพวกเราก็ต้องเจ็บด้วยกัน!”

นางพูดอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม สี่คนที่อยู่ด้านข้างกลับฟังออกถึงความเศร้า พวกเขาล้วนอยากจะร้องไห้ออกมา

อาซานตาแดง จึงกล่าวปลอบโยนมั่วเชียนเสวี่ย จริงๆ ก็เพื่ออธิบายให้เจ้านายฟัง “พิษเย็นในกายเจ้านายกำเริบแล้ว ฮูหยินได้โปรดกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิด ที่นี่มีอาซานกับอาอู่คอยดูแลอยู่แล้วขอรับ”

ชูอีก็ก้าวเข้าไปพยุงมั่วเชียนเสวี่ยพลางกล่าวเบาๆ “คุณหนู พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ!”

ริมฝีปากของกูเหยียบางครั้งก็ม่วง บางครั้งก็ขาว เพียงมองแวบเดียว นางก็ดูออกแล้วว่ากูเหยียได้รับพิษ ทั้งยังร้ายแรงมาก คุณหนูก็ได้รับบาดเจ็บ หากอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ไม่แน่ว่า ความตื่นตระหนกนี้ จะไปทำให้รอยแผลฉีกขาดอีก…

สืออู่เป็นหญิงสาวที่อ่อนไหวง่าย ตอนนี้นางรู้สึกซาบซึ้งใจจนร้องไห้กระซิกๆ

มั่วเชียนเสวี่ยปัดมือของชูอีที่เข้ามาพยุงออก ใช้สายตาอันเย็บเยียบกวาดมองไปตั้งแต่อาซานจนถึงชูอี จากนั้นก็กวาดตามองจากชูอีจนถึงอาซานอีกครั้ง