ตอนที่ 191 ของที่ระลึกและการไปหยุดคนไว้ตอนเที่ยงคืน (2)
ทั้งสองคนเย็นชาต่อกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาไม่เคยเห็นเจ้านายโมโหขนาดนี้มาก่อน จึงก้าวถอยหลังไปก้าวนึงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นพวกเขาแต่ละคนถอยหลังไปหนึ่งก้าว มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าว “ชูอี สืออู่ พวกเจ้าทั้งสองออกไป!” สำหรับหนิงเซ่าชิงแล้วอาซานกับอาอู่ก็คือคนของเขา ทว่าชูอีกับสืออู่ไม่ใช่
สถานที่แห่งนี้ ตนเองอยู่ได้ แต่ชูอีกับสืออู่มิอาจอยู่ที่นี่
มีบางฉาก ที่ตนเองสามารถดูได้ แต่ชูอีกับสืออู่ดูไม่ได้โดยเด็ดขาด ผู้ชายที่น่าอึดอัดคนนี้ นางใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานาน ในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
ชูอีเหลือบมองสืออู่ที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นพลางส่ายหัว นางย่อมไม่วางใจที่จะให้คุณหนูอยู่ที่นี่
สืออู่ได้รับสัญญาณจากชูอี ก็ปาดน้ำตา จากนั้นก็เปิดปากพูดพร้อมๆ กับชูอี “คุณหนู…”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดขัดจังหวะการพูดของพวกนาง “ออกไปซะ! และปิดประตูด้วย “แม้ว่าสลักประตูจะพังไปแล้ว ทว่าประตูยังคงดีอยู่
ชูอีและสืออู่เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจแน่วแน่แล้ว จึงไม่เซ้าซี้อีก ดังนั้นพวกนางจึงถอยออกไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำ หลังจากปิดประตูแล้ว ก็รออยู่นอกประตู
สาวใช้ทั้งสองออกไปแล้ว หนิงเซ่าชิงเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ยอมไป ภายในร่างกายเหมือนถูกขูดไปด้วยน้ำแข็ง จึงพยายามใช้แรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง “เจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าไปเอง”
เขาอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพที่ไม่น่ามอง
ความเงียบสงัดปกคลุมห้องไปชั่วขณะ
ความเงียบนี้ทำมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกหายใจไม่ออก นางอดทนต่อความเจ็บปวดตรงบาดแผลที่อก กางแขนออก โอบเอวของเขาไว้ ความเย็นก็แผ่ซ่านออกมาเป็นระยะๆ ในใจรู้สึกเจ็บปวดมาก ในที่สุดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้นานแล้วก็ได้ไหลลงมา
หนิงเซ่าชิงตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นมิกล้าขยับ หนึ่งคือเดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีแรงอยู่แล้ว สองคือเกรงว่าถ้าเขาขยับมั่วเชียนเสวี่ยก็ขัดขืน จนทำให้บาดแผลของนางฉีกขาด
“ข้าขอร้องท่าน…” มั่วเชียนเสวี่ยสะอื้นไห้วิงวอน “ท่านอย่าทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากจะได้ไหม ข้ารู้หมดแล้ว ว่าท่านอยู่ในช่วงวิกฤติ พวกเราจะผ่านมันไปด้วยกันดีไหม”
“ข้าไม่สนความอ่อนแอเหล่านั้น” นึกถึงคืนวันที่ผ่านๆ มา น้ำตาของมั่วเชียนเสวี่ยก็หลั่งรินลงมาดั่งสายฝน “หากท่านยอมแพ้ ข้าก็จะดูแลท่านชั่วชีวิต หากท่านยากจน ข้าก็จะเลี้ยงดูท่านตลอดชีวิต”
อาซานและอาอู่น้ำตาซึม และหันไปทางอื่น ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเหตุใดเจ้านายถึงได้รักฮูหยินมากมายถึงเพียงนี้
หากมีสตรีคนไหนที่ดีกับพวกเขาเช่นนี้ จะให้พวกเขาตายพวกเขาก็เต็มใจ
“หากท่าน…ตายแล้ว ข้าก็จะตายพร้อมกับท่าน ไม่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นให้ท่านตลอดไป…”
ดวงตาของหนิงเซ่าชิงเป็นสีแดงก่ำไปแล้ว
“แต่ว่า พวกเราตกลงกันดีแล้ว หากว่ามีวันใด ที่ท่านได้ดี ข้าไม่อนุญาติให้ท่านมีเมียน้อยมาทำให้ข้าขุ่นเคืองใจ…”
“ไม่มีทาง…ไม่มีทางเด็ดขาด…” เขาจะทำให้นางขุ่นเคืองใจโดยมีผู้หญิงอื่นได้อย่างไร นางคือสมบัติล้ำค่าที่สวรรค์ประทานให้แก่เขา ขนาดปกป้องนางเขายังทำไม่ได้เลย!
ในที่สุดหนิงเซ่าชิงก็หันกลับมา โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก มิอาจควบคุมอาการตัวสั่นนั้นได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ช่าง หากมีนรกอยู่เบื้องหน้าจริงๆ เช่นนั้น เขาก็จะพานางฝ่าฟันไปพร้อมๆ กัน! แต่การเคลื่อนไหวทำให้ความเย็นเพิ่มสูงขึ้น เขาไม่ทันที่จะสูญเสียการควบคุม วินาทีต่อมาหนิงเซ่าชิงก็หมดสติลงไป
“เซ่าชิง…” อ้อมกอดที่แน่นหนาของเขาได้คลายออก หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยจึงจมดิ่งลงไป รีบหันไปมองดูรอบๆ
อาซานและอาอู่ถูกมั่วเชียนเสวี่ยตะโกนร้องเรียก อาซานรีบยื่นมือไปตรวจลมหายใจ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก “เจ้านายหมดสติไปแล้วขอรับ”
คำรายงานของอาซานทำให้มั่วเขียนเสวี่ยสงบจิตสงบใจลงได้เล็กน้อย “ยังไม่รีบไปเอาผ้าห่มมาอีก” ทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมาหน่อยก็ยังดี
“ขอรับ” อาอู่รีบกระโจนออกจากห้องตำราไป แล้วนำพาห่มกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า มั่วเชียนเสวี่ยรีบลุกขึ้นนำมันมาห่อตัวหนิงเซ่าชิง
ศักยภาพของมนุษย์มีอยู่ไม่จำกัด เวลานี้ นางยังจะไปมีกะจิตกะใจสนใจความเจ็บปวดของตนเองได้อย่างไร และความเจ็บบนร่างกายที่ตนเองได้รับ จะไปเทียบเท่าความเจ็บปวดที่เหมือนมีดเฉือนหัวใจได้เช่นไร
ในเวลานี้ นางจำเป็นจะต้องใจเย็น! มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อาซาน หมอประหลาดคนนั้นเล่า ไม่ใช่ว่าไปเอายาหรอกหรือ เหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก”
“ยา…ถูกทำลายแล้ว สองสามวันที่แล้วหมอประหลาดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย” ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังความจริงอีกต่อไป “หากยังคงเป็นเช่นนี้ เกรงว่า…เกรงว่าจะมิอาจอดทนจนผ่านคืนนี้ไปได้”
มั่วเชียนเสวี่ยดวงตามืดหม่น เลือดลมในอกปั่นป่วน
“หรือว่าจะหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ”
“นอกเสียจากว่าจะพาตัวหมอประหลาดกลับมาได้”
“เช่นนั้นก็รีบไปตามหาเขาซะสิ…”
“พวกสายลับได้ออกไปตามหาทั่วแล้ว” น้ำเสียงของอาซานไร้ซึ่งเรี่ยวแรง “ขนาดอิ่งซาก็ออกไปตามหาแล้วด้วย…”
ประโยคหลัง ไม่ต้องพูดต่อ มั่วเชียนก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณแล้ว นี่คือสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างนั้นหรือ
ไม่นานนัก นางก็รู้สึกเกลียดชังตัวเองที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยสาบานเลยว่าหากผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้ นางจะไม่คิดใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไปวันๆ อีก นางต้องคิดถึงวิธีการที่จะทำให้นางกับเขาได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย
ไม่ถูกต้อง! เขาไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตาย
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองไปที่อาซาน “เซ่าชิงไม่มีแผนสำรองหรอกหรือ”
“เจ้านายเคยบอกไว้ว่า เพียงแค่ผ่านคืนนี้ไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น” อาซานตอบอย่างระวัง
สวรรค์รู้ หากปราณเย็นนั้นกำเริบ เพียงเวลาสั้นๆ ก็ยากที่ผ่านไปได้แล้ว แล้วจะผ่านคืนนี้ไปได้เยี่ยงไร หากอิ่งซาอยู่ เขามีทักษะล้ำลึก อาจจะระงับอาการไว้ได้ชั่วขณะ ทว่า ไม่กี่วันก่อนเขาก็ถูกเจ้านายส่งตัวออกไป…
เพียงแค่ผ่านคืนนี้ไปได้อย่างนั้นหรือ มั่วเชียนเสวี่ยคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับมีเสียงของชูอีดังลอยมาจากด้านนอก “คุณหนู ที่ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณชายถงขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจถงจื่อจิ้ง ตอบกลับออกไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า “ข้าไม่พบ!”
“เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก”
“ไล่เขาออกไป!” จะมีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าชีวิตของหนิงเซ่าชิงอย่างนั้นหรือ
ที่ด้านนอกมีเสียงลมฝนและเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้น ทำให้ใจของมั่วเชียนเสวี่ยโหวงเหวงอีกครั้ง ทั้งลมทั้งฝน เหตุใดถงจื่อจิ้งถึงได้ส่งคนมาในยามนี้ หรือว่า…
“ช้าก่อน” ชูอีกำลังจะไปขับไล่คนที่อยู่ด้านนอก เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยก็ดังลอยออกไปนอกห้อง นางเคยได้ยินถงจื่อจิ้งบอกว่าก่อนหน้านี้เฒ่าประหลาดได้ไปหาเขา
ในเวลานั้นนางเดาว่าเฒ่าประหลาดผู้นั้นก็คือหมอประหลาด จึงได้กล่าวกับเขาเล็กน้อยว่าหากพบเจอเฒ่าประหลาดอีกให้ส่งข่าวบอกนาง บัดนี้ความคิดของ ถงจื่อจิ้งกลับสู่สภาวะปกติแล้ว มาในเวลานี้ บางทีอาจมีข่าวคราวของเฒ่าประหลาดนั่นก็เป็นได้
ความหวังอันริบหรี่ผุดขึ้นในใจของมั่วเชียนเสวี่ย “ไปถามเขาว่ามีธุระอันใด แล้วรีบมารายงานข้า”
“เจ้าค่ะ” ชูอีรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ถงจั่นเห็นว่าเจ้านายของตนเองพูดอย่างระวังถ้อยคำ จึงควบม้าเร็วมาที่นี่
ใครจะรู้ว่าพอออกจากประตูมา ก็มีทั้งลมทั้งฝน เขาไม่กล้าหยุดพัก ตลอดทางต้องปะทะกับลมฝนที่สาดเข้าใส่ แต่กลับถูกองครักษ์ลับชุดดำสองคนขวางอยู่ด้านนอกตระกูลหนิง ตอนนี้ก็ได้แต่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าประตู
เห็นสาวใช้คนหนึ่งซึ่งดูไม่คุ้นหน้าเดินออกมาจากเรือนของตระกูลหนิง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เขาได้ส่งต่อคำพูดของเจ้านายให้กับชูอีนำไปรายงานที่ด้านใน
ชูอียืนอยู่ด้านนอกห้องตำรามาโดยตลอด แม้ว่าจะได้ยินเสียงข้างในห้องได้ไม่ชัดเจน แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้กูเหยียจะต้องพบหมออย่างด่วนที่สุด พอได้ยินที่ถงจั่นบอก จึงไม่กล้ารอช้าเลยสักนิด รีบกระโจนเข้าไปในห้องตำราแล้วรายงานเรื่องนี้ในทันที