บทที่ 134 พวกเจ้ารับมือแบบหนึ่งต่อสามได้หรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

ทหารเหล่านั้นยังไม่เข้าใจความหมายของหลินเหรา มีเพียงแค่เจิ้งอันเท่านั้นที่เข้าใจ

เขามีสีหน้าจริงจังก่อนจะอธิบายให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายกองหลินพูดถูก ความผิดปกติของที่นี่คือเงียบสงัดเกินไป หากไม่มีผู้คนสัญจร อย่างน้อยจะต้องมีเสียงนกเสียงแมลงดังขึ้นอยู่บ้าง แต่นี่พวกเจ้าลองตั้งใจฟังสิ มีเสียงการเคลื่อนไหวสักนิดหรือไม่?”

ทุกคนต่างกลั้นใจ ผึ่งหูตั้งใจฟังครู่หนึ่ง บริเวณโดยรอบนอกจากเสียงลมแล้ว แม้แต่เสียงนกร้องก็ไม่มีวี่แวว

ใบหน้าของเหล่าทหารต่างแสดงความจริงจังออกมา

เจิ้งอันมองหลินเหราด้วยความชื่นชม ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำอย่างรวดเร็วว่า “ต้องขอบคุณสหายหลิน มิเช่นนั้นวันนี้เราต้องเกิดเรื่องเป็นแน่”

เมื่อครู่เขาสังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็อย่างที่เหล่าทหารพูด ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ตามหลักแล้วไม่มีทางที่พวกโจรจะมาซ่อนตัวเป็นแน่ อีกทั้งเจิ้งอันก็อธิบายด้วยหลักเหตุผลคลายความไม่สบายใจของตัวเองลงได้

หลินเหราไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยเตือนว่า “สัญชาตญาณบางครั้งคือความไวต่อความรู้สึก เราไม่อาจจะมองข้ามโดยเด็ดขาด”

ในใจของทุกคนต่างชื่นชมความระแวดระวังและความไวต่อความรู้สึกของหลินเหรา จึงเชื่อคำพูดของเขาโดยไม่แคลงใจแม้แต่น้อย

ทหารประจำหน่วยผู้หนึ่งเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “นายกองหลิน เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำอย่างไรต่อ?”

แววตาของหลินเหรานิ่งสงบ เขาเฝ้าสังเกตสถานการณ์บนถนนสายเล็กพลางวิเคราะห์ให้ทุกคนฟังว่า “หากมีคนตั้งใจวางกับดักบนเส้นทางนี้ในตอนที่เราออกจากชานเมือง จะต้องมีคนทราบเรื่องแน่นอน ที่ซ่อนตัวบนถนนเส้นนี้มีไม่น้อยนัก กองหินที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทางขวามือ ตรงกลางกำแพงทั้งสองฝั่ง สามารถซ่อนตัวได้มากสุดสามสิบคน”

เหล่าทหารประจำหน่วยต่างจับดาบที่อยู่ในมือแน่น สีหน้าเคร่งเครียด แม้แต่ลมหายใจก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลง

หากมีโจรภูเขาพุ่งออกมาจริง ๆ พวกเขาจะรับมืออย่างไร?

แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาเตรียมตัว หลินเหราก็พูดขึ้นว่า “แต่เส้นทางที่เราเดินทางมาเมื่อครู่ ได้ผ่านช่องแคบไปแล้ว หากเป้าหมายของคนที่ซ่อนตัวคือจับพวกเราให้หมดในคราวเดียว ที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดหรอกหรือ”

ภายในเวลาแค่สั้น ๆ หลินเหรากลับสามารถวิเคราะห์ได้มากมายถึงเพียงนี้ จนทำให้ความคิดของทุกคนไล่ตามไม่ทัน

เจิ้งอันขมวดคิ้วพลางถามขึ้น “ความหมายของสหายหลินก็คือ…?”

จากวิธีการพูดของหลินเหราก่อนหน้านั้น ศัตรูจะต้องมีจำนวนอย่างน้อยสามสิบคน แต่พวกเขากลับมีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ทุกคนมีศึกสงครามที่ต้องสู้ แต่จู่ ๆ หลินเหราก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทั้งยังล้มเลิกการวิเคราะห์เมื่อครู่ไปอย่างง่ายดาย

สรุปว่ามีโจรภูเขามาวางกับดักจริง ๆ หรือไม่?

หลินเหราไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไม่ใช่โจรภูเขา”

ทุกคนพากันตกตะลึง

ไม่ใช่โจรภูเขา?

สิ้นเสียงของเขาไม่นาน เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ฟังจากเสียงดูแล้วคล้ายกลับหญิงสาวผู้หนึ่ง

จากนั้นนางก็ส่งเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ “กรี๊ด ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

เสียงนั้นทั้งร้อนใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก คิดว่าคงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีตะโกนออกมา

บรรยากาศบนภูเขาเงียบสงบที่มีเพียงแค่เสียงลมที่พัดผ่านเมื่อครู่ พลันมีเสียงกีบม้า เสียงกรีดร้อง เสียงร้องตะโกน และเสียงข่มขู่อันโหดร้ายของบุรุษดังออกมา ระยะทางจากเสียงนั้นถึงตรงนี้ไม่ถือว่าใกล้นัก แต่กลับห่างจากพวกเขาเพียงแค่เส้นทางหินช่วงหนึ่งและป่าไม้แห่งหนึ่งกั้นไว้เท่านั้น

ทุกคนต่างพากันจับอาวุธประจำกายแน่น สีหน้าจริงจังและจดจ่อ รอคำสั่งของหลินเหราเพียงแค่คำเดียว ก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือแล้ว แต่กลับถูกหลินเหราห้ามไว้

“ช้าก่อน” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและมีพลัง ก่อนจะออกคำสั่งฉับไว “เซวียชาง หลิวติ้ง แบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่ม หลุ่มหนึ่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เฝ้าดูสถานการณ์ไว้ ที่เหลือถืออาวุธ และไปกับข้า”

เซวียชางและหลิวติ้งต่างก็ค่อนข้างปราดเปรื่อง จึงทิ้งพวกเขาไว้ที่เดิม เพื่อเป็นกองกำลังหนุนอีกแรง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากแยกตัวออกจากทั้งหกคนแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของหลินเหราและเจิ้งอันมีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น รวมกับพวกเขาก็มีจำนวนหกคน

เจิ้งอันไม่ได้สงสัยในคำสั่งของหลินเหราต่อหน้าคนภายนอก แต่ในระหว่างที่เดินตามเขาไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ กลับกระซิบข้างหูของหลินเหราเสียงต่ำว่า “เรามีจำนวนแค่ครึ่งเดียว เกรงว่าคงสู้โจรภูเขากลุ่มนั้นไม่ไหว”

เสียงของหลินเหรายังคงนิ่งสงบและมีพลัง เขาพูดกับทุกคนที่อยู่ด้านหลังว่า “ศัตรูของเราไม่ใช่โจรภูเขา จากนี้จงฟังคำสั่งของข้า ให้ลงมือทันทีเมื่อสบโอกาส หากมีจำนวนโจรมากเกินไป อย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด”

เหล่าทหารประจำหน่วยพากันตกตะลึงและไม่อาจเข้าใจได้ แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ พวกเขาไม่มีเวลามาตอบสนองต่อสิ่งอื่น ทำได้แค่ตามหลินเหราไปยังต้นตอของเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างว่องไวและเงียบที่สุด

พวกเขาเคลื่อนไหวโดยไร้เสียงใด แต่กลับว่องไว ไม่นานก็มาถึงป่าอีกด้านหนึ่ง

กระทั่งเห็นเด็กสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งพรวดพราดออกมาจากกลางป่า ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผงและน้ำตา วิ่งพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฮือ ๆ คุณหนู แม่นม…”

ดูเหมือนด้านหลังของนางจะมีเสียงกีบม้าไล่ตามมา หลินเหราส่งสัญญาณให้ทุกคนเข้าใกล้ พร้อมคุกเข่าย่อตัว

เมื่อเด็กสาวผู้นั้นวิ่งเข้ามาใกล้ หลินเหราจึงขยิบตาหนึ่งครั้ง ทหารประจำหน่วยที่อยู่ใกล้นางที่สุดพลันปรากฏตัว ปิดปากของนางและลากเข้ามายังที่ซ่อนตัวของทุกคน

“ชู่ อย่าส่งเสียง เราเป็นคนของจวนตรวจการเมืองชิงถง ไม่ใช่คนร้าย เป็นคนที่มาช่วยพวกเจ้า”

เด็กสาวผู้นั้นถูกคนควบคุมตัวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเกิดอาการตื่นตกใจ โชคดีที่ทหารคนนั้นปิดปากของนางไว้แน่น จึงไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมา

เมื่อเด็กสาวเห็นทุกคนล้วนแต่งกายเต็มยศเหมือนกัน ทั้งได้ยินคำอธิบายของทหารผู้นั้น ร่างกายที่กำลังดิ้นเร่า ๆ ก็ค่อย ๆ สงบนิ่ง

ทหารประจำหน่วยรู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นที่ฝ่ามือ จึงรู้ทันทีว่านางกำลังร้องไห้โดยไม่มีเสียง ในใจจึงทนไม่ได้ เอ่ยกับนางเสียงต่ำว่า “จะไม่ส่งเสียงใช่หรือไม่? ข้าจะได้ปล่อยเจ้า”

เด็กสาวผู้นั้นพยักหน้า จึงถูกปล่อยอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

นางมีอายุเพียงสิบสามถึงสิบสี่ปีเท่านั้น วิ่งมาด้วยรองเท้าเพียงข้างเดียว ผมที่เดิมถูกเกล้าเป็นมวยทั้งสองข้างก็ต่างปล่อยสยายยุ่งเหยิงไม่เหลือทรง

ดวงตาของนางพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าก็สกปรกจนแยกรูปโฉมเดิมไม่ออก นางผู้มีท่าทางเหมือนจมน้ำได้ดึงแขนเสื้อของคนข้างกาย และพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณหนู คุณหนูของข้า … แล้วก็แม่นม ช่วยพวกเขาด้วย รีบไปช่วยพวกเขาเร็วเข้า!”

เสียงร้องไห้ของเด็กสาวผู้นี้แผ่วเบามาก เพราะรู้แน่ชัดว่าตัวเองไม่อาจสร้างความยุ่งยากให้กับคนเหล่านี้ได้ ประกอบกับที่ซ่อนตัวของทุกคนนั้นห่างจากโจรที่ขี่ม้าเหล่านั้นไม่กี่ลี้ ช่างใกล้มากจริง ๆ

หลินเหราสังเกตเห็นร่างของคนสองคนที่ไล่ตามออกมาจากในป่า พลางเอ่ยถามเด็กสาวที่ร้องไห้จนหมดสภาพผู้นั้นว่า “พวกโจรมาจากไหน? แล้วมีจำนวนกี่คน? สหายของเจ้าอยู่ในมือของพวกโจรกี่คน?”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงนิ่งสงบที่น่าเชื่อถือ ใบหน้าที่ดูพึ่งพาได้ของหลินเหรา เด็กสาวก็พลันหาที่พักพิงทางใจได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่มีกะจิตกะใจจะร้องไห้ รีบพูดทันทีว่า “พวกเขา พวกเขาเป็นคนของหน่วยคุ้มกันของฉางเฟิง มีผู้คุ้มกันทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน คุณหนูของข้า และแม่นม ต่างก็ตกอยู่ในมือของพวกเขา! คนขับเกวียนหนีไปแล้ว… เหลือเพียงเราสามคน คุณหนูให้ข้าไปตามคนมาช่วย…”

นางเอ่ยกระท่อนกระแท่น ทว่าหลินเหรากลับได้รับข้อมูลสำคัญจากนางไม่น้อย

หลินเหราตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ออกคำสั่งทันทีว่า “เฉินจิ่น เจ้าพานางไปสมทบกับเซวียชางและพรรคพวก คิดหาทางพาจับสองคนนี้ไว้ ที่เหลือตามข้ามา”

คนที่พุ่งตัวออกไปลากเด็กสาวเข้ามาเมื่อครู่นั้นคือเฉินจิ่น เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ก็รีบพยักหน้า “นายกองหลิน พี่ใหญ่เจิ้ง พวกท่านโปรดระวังตัวด้วย!”

หลังจากที่ทั้งห้าคนจากไป เฉินจิ่นได้ยื่นหน้าออกมาสังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าโจรสองคนนั้นกำลังค้นหาอยู่ในทิศทางที่พวกเขาเพิ่งจากมา ก็พลันตื่นเต้นในใจ

อย่างนี้ก็หวานหมูเขาและเซวียชางสิ

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปราบโจรกลุ่มนี้ให้ได้นะคะพี่เหรา เอาใจช่วยค่ะ แล้วก็ระวังกลลวงด้วย เผื่อสาวน้อยคนนี้เป็นนางนกต่อที่โจรส่งมา

ไหหม่า(海馬)