เมื่อเฉินจิ่นเห็นว่าสองคนที่ขี่ม้านั้นไม่สังเกตเห็นพวกเขา จึงหันกลับไปพูดกับคนที่อยู่ข้างกายเบา ๆ ว่า “อย่าร้องนะ เราจะไปกันก่อน เจ้าวางใจเถอะ คุณหนูและแม่นมของเจ้าจะไม่เป็นอะไร”
เด็กสาวข่มความกลัวไว้ ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นออกมาสองครั้ง บีบบังคับให้ตัวเองสงบลง
ในใจของเฉินจิ่นอดเป็นห่วงหลินเหราและเจิ้งอันไม่ได้ กลัวว่าพวกเขาทั้งห้าคนจะเกิดอันตราย จึงคิดจะรีบพาเด็กสาวไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยเร็ว ก่อนจะถามนางว่า “เดินได้หรือไม่?
เด็กสาวผู้นั้นวิ่งหนีจนรองเท้าหลุดหาย ชีวิตที่ร่ำรวยและมีเกียรตินั้น ไม่เคยต้องวิ่งในระยะทางที่ไกลถึงเพียงนี้ ส่งผลให้ฝ่าเจ็บเท้าอย่างมาก
แต่นางก็ยังมีนิสัยดื้อรั้นไม่เบา ปาดน้ำตาก่อนพูดว่า “เดิน เดินได้เจ้าค่ะ!”
เฉินจิ่นพยักหน้า เขาขยับตัวเล็กน้อยแต่กลับพบว่าแขนเสื้อของตัวเองนั้นยังถูกเด็กสาวดึงรั้งเอาไว้
เขารู้สึกไม่สบายตัว จึงพูดเสียงต่ำว่า “เจ้าปล่อยข้าก่อน แล้วเดินตามหลังข้ามา”
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่อยากปล่อยมือ แต่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ นางกลัวว่าจะยั่วโมโหคนที่คอยปกป้องตนเองเข้า จึงทำได้แค่ดึงมือกลับอย่างไม่เต็มใจ
แต่ชั่วพริบตาที่นางปล่อยมือ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นก็มีหยาดน้ำตารื้นทันที
เมื่อเฉินจิ่นเห็นดังนั้น จึงรีบพูดขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าดึงไว้ก็ได้ แต่หยุดร้องได้แล้ว”
เด็กสาวยื่นมือออกไปและคว้าแขนเสื้อที่ถูกนางดึงรั้งจนเกิดเป็นรอยยับนั้นไว้แน่น
เฉินจิ่นถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขารู้ว่านางกลัวจึงทำได้แค่พูดปลอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เอาล่ะ อย่ากลัวไปเลย สองคนนั้นไปไกลแล้ว เราตามอยู่ด้านหลังของพวกเขา ไม่มีทางถูกจับได้หรอก”
เด็กสาวสะบัดความกลัวและความท้อแท้สิ้นหวังเมื่อครู่ออกไป พึ่งพาอาศัยเฉินจิ่นมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจจนทิ้งตัวเองเอาไว้ผู้เดียวจึงทำได้แค่กลั้นน้ำตา “พี่ใหญ่เฉิน ข้า… ข้าไม่กลัว ข้าจะเดินตามท่านอย่างว่าง่าย”
เมื่อครู่นางได้ยินแล้ว คนที่มีท่าทางเหมือนผู้บังคับบัญชาเรียกเขาว่าเฉินจิ่น นางจึงถือวิสาสะเรียกเขาว่าพี่ใหญ่เฉิน
เฉินจิ่นเป็นคนใจกว้าง จึงไม่ได้คิดให้มากความ เพียงแต่คิดว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่สร้างความยุ่งยากให้เขาก็ดีมากแล้ว เขาไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นในตอนนี้ และมุ่งหน้าตามสองคนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าไปอย่างระมัดระวัง พานางตรงไปยังทิศทางของเซวี่ยชางและหลิวติ้งอยู่ทันที
อีกด้านหนึ่ง เจิ้งอันและพรรคพวกต่างเดินตามหลินเหราตรงเข้าไปในป่าลึก
ในต้นฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้บนต้นไม้ไม่ค่อยหนาแน่นนัก ทำให้พวกเขายากที่จะซ่อนตัวได้ หลินเหราจึงหักใจที่จะซ่อนตัว พาทุกคนเดินไปยังทิศทางของเสียงขอความช่วยเหลือโดยตรง ซึ่งระหว่างทางไม่พบเจออุปสรรคแต่อย่างใด
เพียงแต่เสียงร้องตะโกนและเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดของหญิงสาวที่ได้ยินนั้นทำให้เป็นกังวลไม่น้อย
เจิ้งอันร้อนใจอย่างมาก เขาไม่ชอบเรื่องที่ผู้มีอำนาจข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นที่สุด ตอนนี้แทบอยากจะติดปีกบินเข้าไปช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดโดยเร็ว
ฝีเท้าของเขาเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรีบร้อน แต่กลับได้ยินหลินเหราเอ่ยเตือนว่า “ลดความเร็วลงหน่อย อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ทหารประจำหน่วยที่ทั้งสองคนพาติดตัวมาต่างก็ยังอ่อนวัย ล้วนจมอยู่ในความคิดว่าจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างไร ทำให้เพิกเฉยต่อจำนวนของศัตรู
อายุของเจิ้งอันก็ยังไม่มากนัก ทำได้แค่เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ช่วยคนสำคัญกว่า ไฉนเลยจะต้องสนใจเรื่องนั้น….”
ทหารประจำหน่วยที่เด็กกว่าผู้หนึ่งพูดต่อว่า “ใช่! ชีวิตคนสำคัญกว่าสิ่งใด เราจะต้องเร่งความเร็ว!”
คิ้วเรียวได้รูปของหลินเหราขมวดเข้าหากัน บรรยากาศรอบร่างกายของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไป สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “อีกฝ่ายเป็นคนของหน่วยคุ้มกัน ประสบการณ์โชกโชน การเจอกันตัวต่อตัวไม่เป็นผลดีต่อลูกน้องเราแน่ กำจัดเจ้าสองตัวที่ไล่ล่าได้ แต่พวกเขายังเหลืออีกสิบห้าคน…”
เขาชำเลืองไปมองทั้งสี่คน และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หรือพวกเจ้าจะสู้แบบสามต่อหนึ่งล่ะ?”
บางทีอาจเป็นเพราะสีหน้าที่ดูเย็นเยือกเกินไปของหลินเหรา ไม่ก็เพราะคำพูดที่ดูมีน้ำหนักของเขา ทำให้ทุกคนดูราวกับโดนน้ำเย็นสาดใส่อย่างไรอย่างนั้น ไฟโทสะที่สุมอยู่ในใจจึงดับมอดลง
ทหารประจำหน่วยที่พุ่งขึ้นหน้าด้วยความร้อนใจเหมือนกับเจิ้งอันเมื่อครู่ได้แสดงสีหน้าเหยเกออกมาและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เจิ้งอันมองไปรอบ ๆ ในพวกเขาห้า นอกจากหลินเหราที่สามารถสู้รบได้ และเขาที่เคยฝึกฝนมาหลายปีแล้ว ที่เหลือก็เป็นเพียงแจกันประดับที่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้แต่เลือดก็ไม่เคยเห็น
เขารู้ว่าหลินเหรานั้นหวังดีกับพวกพ้องเสมอ จึงสงบลงได้ในที่สุด
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ของการวู่วาม เจิ้งอันก็อดรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งร่างไม่ได้
“สหายหลินพูดถูก” เจิ้งอันเกลียดความมุทะลุของตัวเองที่สุด เวลานี้จึงขมวดคิ้วแน่น พยายามครุ่นคิดว่าจะรับมืออย่างไรโดยเร็วอยู่ในใจ “เรามีแค่ห้าคน ไม่มีทางปะทะตัวต่อตัวกับอีกฝ่ายได้แน่…”
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของทุกคนยังไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงที่หนักแน่นของหลินเหราดังขึ้นมาจากด้านหน้า เพื่อเติมยาใจให้แก่พวกเขา “เราแค่ต้องหาโอกาสในการช่วยคนให้ได้ หากเฉินจิ่น เซวียชางและคนอื่น ๆ ไม่เกิดเรื่อง จับไอ้เจ้าสองคนที่ขี่ม้าเมื่อครู่ได้ ถึงตอนนั้นก็ค่อยปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดของหลินเหรานั้นไม่ธรรมดาเลย ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องอาศัยความสามารถในการรับมือและความปราดเปรื่องของตัวเอง ถึงจะสามารถพลิกเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้
ถึงอย่างไรเขา เจิ้งอันและคนอื่น ๆ มีเวลาในการทำความรู้จักกันสั้นนัก ความเข้าใจกันและกันจึงมีไม่มากพอ หลินเหราจึงออกคำสั่งอีกสองสามอย่างว่า “จำไว้ว่าอย่าทำการใดโดยพลการเด็ดขาด ถึงตอนนั้นให้ทำตามคำชี้แนะของข้า ดึงความสนใจของอีกฝ่ายไว้ รอโอกาสประจวบเหมาะก็ค่อยรุดเข้าไปช่วยเหลือคน”
ทหารที่ติดตามเขามาเหล่านี้ต่างก็มีทักษะการต่อสู้ในระหว่างการฝึกค่อนข้างสูง หลินเหรารู้ความสามารถของแต่ละคนดี แค่ปกป้องคนและล่าถอย ไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันก็มากพอแล้ว
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็รีบพยักหน้าและพูดว่า “นายกองหลินวางใจเถอะ เราจะจำไว้อย่างดี”
ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในที่เกิดเหตุ มีชายฉกรรจ์จำนวนกว่าสิบคนกำลังล้อมรอบคนสองคนไว้
“หนี? ไม่น่าจะหนีไปได้เร็วเพียงนั้นมั้ง? พวกเจ้าสองคนวิ่งตามไปดูสิ?”
ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่คล้ายผู้นำเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ดวงตาคู่เล็กบนใบหน้าอวบอิ่มนั้นฉายแววตาโหดร้าย
หญิงสาวที่มีผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าผู้หนึ่ง กำลังยืนปกป้องอยู่ด้านหน้าแม่นมคนหนึ่ง
ดูเหมือนหญิงชราจะได้รับบาดเจ็บ ยืนแทบไม่ไหวทำได้แค่ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง “คุณหนู คุณหนู ข้าน้อยไร้ความสามารถเอง คุณหนูเลยต้องบาดเจ็บ…”
ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ล้วนได้ยินทุกถ้อยคำ คนที่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือมาโดยตลอดเมื่อครู่ เป็นหญิงชราที่ร้องไห้จนแทบสิ้นแรงผู้นี้
แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันสดใสของหญิงสาวคลุมหน้าผู้นั้น เห็นได้ชัดว่านางตกอยู่ในอาการหวาดกลัวมาก แต่กลับต้องแกล้งปลอบใจหญิงชราราวกับไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แม่นมวางใจเถอะ เราจะไม่เป็นอะไร”
หัวหน้าชายฉกรรจ์กระตุกยิ้มชั่วร้ายให้หญิงชรา “ได้ยินแล้วหรือไม่? คุณหนูผู้งดงามหยาดเยิ้มนางนี้ตกลงจะตามเราไปแล้ว! พวกเจ้ายังไม่รีบพาตัวไปอีก?”
จู่ ๆ ไม่รู้ว่าหญิงชราผู้นั้นไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด เห็นได้ชัดว่าแม้แต่จะลุกสู้ก็ยังทำไม่ได้ แต่กลับหยัดตัวขึ้นหน้าอย่างรุนแรง กระชากข้อมือของชายฉกรรจ์คนนั้น คล้ายกับแม่สิงโตที่ปกป้องลูกน้อย พลางตะโกนด้วยความโกรธว่า “เหลวไหล! ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าไม่มีวันยอมให้โจรใจดำอำมหิตเฉกเช่นพวกเจ้าทำแผนการชั่วช้าสำเร็จหรอก คุณหนูของข้าเป็นถึงบุตรีเจ้าอาลักษณ์หลวงในราชสำนัก หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ปลายผมของนาง วันข้างหน้าจะต้องโดนลงโทษด้วยวิธีห้าม้าแยกร่าง [1] กระดูกกระจายนับหมื่นชิ้น!”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นสะบัดมือออก ทำให้หญิงชราจึงถูกเหวี่ยงจนล้มไปอีกด้านอย่างแรง ร่างกายกระแทกลงไปในโคลน ส่วนใบหน้าด้านข้างไถลไปบนหน้าดินจนเลือดซิบ
น้ำเสียงของหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมพลันเปลี่ยนไป ตะโกนร้องด้วยความตกใจ “แม่นม! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
หญิงชรารู้สึกเวียนหัว สายตาเริ่มพร่ามัว แต่กลับยังคว้ามือของหญิงสาวไว้ จากนั้นก็พูดปลอบโยนนาง “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ข้าน้อยไม่เป็นอะไร….”
หญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาที่พยายามข่มกลั้นเอาพลั่งพรูออกมา นางจับมือของหญิงชราไว้แน่น
ทุกคนที่อยู่โดยรอบพากันหัวเราะ ฮ่า ฮ่า อย่างมีความสุข กระทั่งมีคนเสนอความคิดให้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้น “หัวหน้า ดูสิ รูปร่างของคุณหนูที่เก็บตัวอยู่ในรถม้าทั้งวันนั้นไม่เลวเชียว… ดูเอวที่บอบบางร่างน้อยนั่นสิ หึ หึ! แต่ใบหน้านั้นถูกปิดด้วยผ้าคลุมอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร!”
คนที่อยู่ข้างกายจึงได้พูดคล้อยตามว่า “หัวหน้า! กระชากไอ้สิ่งที่ขวางหูขวางตาบนหน้านางออกที ให้สหายของเราได้ยลโฉมแม่สาวน้อยผู้นี้หน่อยว่ามีหน้าตาเช่นไร!”
[1] ห้าม้าแยกร่าง – วิธีทรมานหรือประหารนักโทษสมัยโบราณ ใช้เชือก 5 เส้นผูกตามรยางค์ 5 ส่วนบนร่างกาย ได้แก่ ศีรษะกับแขนและขาทั้งสองข้างไว้กับม้า 5 ตัว ก่อนทำการดึงหรือเฆี่ยนให้ม้าตกใจวิ่งเตลิดไปคนละทาง แรงกระชากที่เกิดขึ้นจะแยกร่างนักโทษออกเป็นชิ้น ๆ
สารจากผู้แปล
พี่เหราบุกช่วยเหลือคนให้ได้นะ
เห็นบรรยายคุณหนูว่างดงามแบบนี้ นี่จะเป็นนางเอกของนิยายตามเส้นเรื่องเดิมหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)