ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงตะโกนโวยวายของทุกคน ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งได้ก้าวเท้าเดินขึ้นมาด้านหน้า กระชากผ้าคลุมบนใบหน้าของหญิงสาวออกอย่างฉับพลัน
ใบหน้าขาวเนียนที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตานั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบัง แม้กระทั่งดวงตาที่เอ่อคลอหยาดน้ำตาราวถูกชำระด้วยน้ำบริสุทธิ์คู่นั้นก็ชวนให้หลงใหล พาให้ผู้ที่อยู่โดยรอบเงียบปากลงทันใด
บางคนตกตะลึงจนถึงกับต้องสบถคำหยาบโลนออกมา
แม้แต่หัวหน้าของพวกมันที่เป็นผู้กระชากผ้าคลุมผืนนั้นออกก็ยังตะลึงลานจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้
หญิงสาวเมินหน้าไปทางอื่น ใช้แขนเสื้อที่เปื้อนดินทรายเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า และแสร้งพูดด้วยสีหน้าเย็นเยือก “บิดาข้าเป็นเจ้าอาลักษณ์หลวงในราชสำนัก ขอแค่พวกเจ้าไม่ทำร้ายข้าและแม่นม เขาจะต้องมอบของกำนัลเป็นเงินทองมากมายให้พวกเจ้าแน่นอน”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ลำคอระหงเนียนละเอียดดูบอบบางราวกับว่าแค่ออกแรงเบา ๆ ก็สามารถหักได้ทันที และไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ ใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวก็ได้หันไปยังทิศทางของหลินเหราและคนทั้งห้าพอดี
จู่ ๆ ก็มีเสียงคนผู้หนึ่งโพล่งขึ้นมา “แม่นางผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนัก….”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเย็นเยือกกวาดมองไปทางด้านหลัง คนที่พูดจึงเงียบปากทันควัน
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ชอบมาพากล เขาก็คงออกไปกระชากคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีมาสั่งสอนและลงโทษขั้นร้ายแรงไปแล้ว
เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังดวงตาพร่ามัวต่างได้สติกลับมา จากนั้นก็เริ่มรู้สึกอยากรู้อยากลอง และคอยพูดยุยงว่า “เงินทองจำนวนมากแล้วอย่างไร! พี่น้องของเราไม่ได้ขาดอาหารเสียหน่อย ขาดก็แต่สาวงามเท่านั้นแหละ อีกอย่าง ต่อให้เงินทองมากเพียงใด หากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วก็ต้องสู่ขอสะใภ้ที่ดีพร้อมอยู่ดี หัวหน้า ข้าว่าท่านเก็บคุณหนูขุนนางนางนี้ไว้ดีกว่า วันข้างหน้าเหล่าพี่น้องจะได้เสพสุขสมอุรากันหนำใจ หึๆๆ ….”
เมื่อได้ยินว่าจะเก็บสตรีนางนี้ไว้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
ใบหน้าของหญิงสาวพลันถอดสี ความเย็นชาที่สร้างเอาไว้ได้พังทลายลง ร่างกายบอบบางเริ่มสั่นเทิ้มเล็กน้อย
หญิงชราที่เงยหน้าขึ้นจากพื้น รู้สึกสิ้นหวังอยู่ในใจ พลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “สวรรค์! ใครก็ได้ช่วยคุณหนูของเราด้วย…”
เหล่าชายฉกรรจ์เมินเฉยกับเสียงร่ำไห้คร่ำครวญของหญิงชรา ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมายังใบหน้างดงามของหญิงสาวอย่างไม่วางตา พลางก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เก็บความชั่วร้ายบนใบหน้า และพูดกับหญิงสาวว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษโชคชะตาอันน่ารันทดของเจ้า ที่ต้องมาเจอพวกเรา ในเทือกเขาแถวชานเมืองที่กันดารแห่งนี้ ต่อให้เจ้าเรียกฟ้าฟ้าก็ไม่ตอบ เรียกดินดินก็ไม่ขาน ไม่สู้ตามข้าไป…. วันข้างหน้าก็ยังได้กินอิ่มหนำสำราญ”
หญิงสาวผู้นั้นเหมือนกับอยู่ในอาการกำลังหวาดกลัวจนผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนออกไป “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
เสียงนุ่มนวลไพเราะของนาง บัดนี้เจือไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือยิ่งทำให้น่าทะนุถนอมมากขึ้น
ชายฉกรรจ์เดินมาตรงหน้าของหญิงสาว ฝ่ามือที่คล้ายกับคีมเหล็กได้จับปลายคางของนางไว้ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่แหบพร่ายากจะทนฟังพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอีกงั้นหรือ? ถ้าเจ้ายังดื้อรั้นคิดหลบหนี….”
ขณะพูด เขาได้มองไปยังหญิงชราที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมออกมาพร้อมกับข่มขู่ว่า “สิ่งที่เรามีคือวิธีการทรมานคน ไม่รู้ว่าแม่นมที่จงรักภักดีต่อผู้เป็นนายของเจ้าผู้นี้จะทนรับได้หรือไม่”
สีหน้าของหญิงสาวพลันซีดเผือดลง จากมุมมองของหลินเหรา สามารถมองเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความพยายามเอาตัวรอดได้อย่างชัดเจน
เห็นเช่นนั้นแล้วทำให้คนอื่น ๆ ที่เดิมทีอยากพุ่งตัวเข้าไปช่วยเหลือทนไม่ไหวอีกต่อไป
ชายหนุ่มข้างกายเริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกันทีละคน กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะพุ่งตัวเข้าไปช่วยเหลือจนแทบอดใจไม่ไหว
หลินเหราจึงขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดก็ออกคำสั่ง “เดี๋ยวข้าจะหลอกล่อคนที่ออกคำสั่งผู้นั้น เจิ้งอันคิดหาทางช่วยแม่นางสองคนนั้นออกมา พวกเจ้าสามคนสกัดกั้นด้านหลัง จำไว้ พาคนออกมาได้แล้วหนีไป อย่าปะทะเด็ดขาด”
หลินเหราพูดอย่างรวบรัดฉับไวไม่รอให้ทุกคนตอบสิ่งใดกลับมา ก่อนตั้งท่าคล้ายกับเสือดาวที่พร้อมจู่โจม จากนั้นก็พุ่งตัวออกจากที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว
“บุก!”
นอกจากเจิ้งอันแล้ว ที่เหลือก็ลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน สกัดกั้นโจรที่ใกล้ที่สุดเหล่านั้น ต้องใช้เวลาเพียงสั้น ๆ ทำให้พวกเขาหมดหนทางสู้โดยเร็วที่สุด
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง ทุกคนจึงได้สติพร้อมตะโกนด้วยโทสะ “ใครกัน?”
หลินเหราเฉลียวฉลาดยิ่ง ถือโอกาสตอนที่สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องไปยังหญิงสาว ย่องเข้าไปยึดอาวุธที่เหล่าผู้คุ้มกันใช้ข้างตัวม้าทิ้งหมดสิ้น และฉวยเอาตะบองเขี้ยวหมาป่าติดมือมา จากนั้นก็เหวี่ยงใส่ร่างหัวหน้าโจรคนนั้น
เขาลงมือปราดเปรียวว่องไว แต่ผู้นำคนนั้นคือผู้ที่เคยเห็นฉากในสนามรบมานับไม่ถ้วน ในตอนที่ตะบองเขี้ยวหมาป่ากำลังฟาดลงมานั้น เขากลับหลบเลี่ยงได้ทันท่วงที
ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นเบิกกว้าง พลางตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้พวกชั่วช้า หลบซ่อนกันเก่งนัก?!”
ในขณะที่พูดนั้น ชายฉกรรจ์ก็คว้ามีดเล่มใหญ่ข้างตัวออกมา แล้วเข้าต่อสู่กับหลินเหราทันที
ผู้คุ้มกันที่เหลือไร้ซึ่งอาวุธชั่วคราว ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกเข้าสกัดในชั่วพริบตาเดียว แต่ด้วยจำนวนของพวกเขาที่มากกว่าจึงกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในที่สุดก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายล้อมคนของหลินเหราเอาไว้ได้
เมื่อเจิ้งอันเห็นดังนั้นก็รีบออกจากที่ซ่อนตัว แบกหญิงชราบนพื้นวิ่งไปยังทิศทางที่พวกเขาจากมา พลางพูดกับหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีอ่อนว่า “หนีเร็ว!”
หญิงสาวเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังหลินเหรา มองอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
เจิ้งอันหันกลับไป เห็นนางยังไม่วิ่งตามมาจึงทำได้แค่วิ่งย้อนกลับไป
จากนั้นก็กระชากข้อมือของหญิงสาว โดยไม่สนใจคำกล่าวที่ว่าบุรุษต้องทะนุถนอมสตรีไปชั่วขณะ ก่อนจะลากนางวิ่งไปข้างหน้า “มัวยืนมองอะไรอีกเล่า? รีบวิ่งสิ!”
รูปร่างที่แสนบอบบางของนาง ใช่ว่าจะวิ่งได้เร็วนัก ประกอบกับระดับความเร็วของเจิ้งอันที่เร็วกว่า ทำให้แทบจะลากนางไถลไปกับพื้นเลยทีเดียว
“คุณ… คุณชาย! ช้าหน่อย”
หญิงสาวหายใจกระหืดกระหอบ คำพูดที่เปล่งออกมาจึงล้วนติดขัดไม่ต่อเนื่อง
แม่นมที่ถูกเจิ้งอันแบกอยู่ก็ได้สติกลับมาในที่สุด หลังบังเกิดความปีติยินดีหลังรอดตายจากหายนะก็ชำเลืองไปเห็นคุณหนูของตนผู้เปี่ยมไปด้วยเลือดน้ำเงินอันสูงส่งผู้ที่ตนเคยดูแลเอาใจใส่เฝ้าประคบประหงมจนเติบใหญ่ต้องมาตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้ จึงพูดขึ้นอย่างปวดใจ “ใช่ ช้าหน่อย คุณหนูตามไม่ทันแล้ว!
คุณหนูของนางมีนามว่า ตู้เหิง เป็นบุตรีเจ้าอาลักษณ์หลวงในราชสำนัก ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีของตัวเองเป็นที่สุด
ประกอบกับที่ตู้เหิงต้องนั่งรถม้าออกนอกจวนตั้งแต่เด็กจนโต แม้แต่พื้นรองเท้าก็ไม่เคยแปดเปื้อนดินโคลนมาก่อน ต่อให้ต้องตาย ก็ไม่มีทางยอมวิ่งหนีป่าราบเช่นนี้เป็นแน่
แต่ก็ต้องจนปัญญาเมื่อถูกเจิ้งอันกระชากอย่างรุนแรง พละกำลังมหาศาลเกือบทำให้ข้อมือของตู้เหิงแทบหักเลยทีเดียว…
ไฉนเลยเจิ้งอันจะสนใจเรื่องเหล่านั้น เขาแค่อยากพาทั้งสองคนไปยังสถานที่ปลอดภัย และย้อนกลับมาช่วยเหลือสหายของตัวเอง
เมื่อเห็นคุณหนูของหญิงชราท่านนี้ยังรั้งท้ายอยู่ด้านหลัง เขาจึงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “หากไม่อยากตายก็วิ่งตามข้ามา!”
ขณะพูดก็ยังไม่แม้แต่จะปรายตามองหญิงสาวผู้บอบบางที่ดูเหมือนจะขาดอากาศหายใจตายอย่างไรอย่างนั้น เขาทำแค่ก้มหน้าก้มตากระชากนางวิ่งต่อไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่านานเพียงใดที่ตู้เหิงรู้สึกว่าหัวใจและปอดของตัวเองล้วนบีบคั้นจนเหนื่อยหอบ ชายผู้นั้นจึงปล่อยข้อมือตน
หญิงสาวทรุดตัวลงกลับพื้น แม้แต่ภาพลักษณ์ที่สำคัญที่สุดก็ไม่สนใจอีกต่อไป
เจิ้งอันยังพูดขึ้นด้วยความร้อนใจว่า “พวกเจ้าซ่อนตัวไว้ดี ๆ อย่าส่งเสียงเด็ดขาด ข้าจะไปดูพวกเขาสักหน่อย”
ขณะพูด ชายหนุ่มก็ได้วิ่งกลับไปอย่างรวดเร็วดุจลมกระโชกแรง และไม่เหลียวมองนางแต่อย่างใด
แม่นมถูกวางลงอย่างเบามือ โดยไม่มีร่างกายส่วนใดกระแทกลงพื้น ไม่มีแม้แต่รอยถลอก
แต่เมื่อนางชำเลืองไปเห็นท่าทางจนตรอกของคุณหนูของตน จึงพูดขึ้นด้วยความปวดใจว่า “คนหยาบช้าเหล่านี้ ต่างไม่เข้าใจคำว่าบุรุษต้องรู้จักรักหยกถนอมบุปผากันเลยหรือไร…. ทิ้งข้าน้อยโดยไม่สนใจได้ แต่ต้องให้ความสนใจคุณหนูสิ!”
หากจะพูดถึงการอบรมสั่งสอน ตระกูลของนางเลี้ยงดูเอาอกเอาใจตนมาจนเติบใหญ่ ไม่เคยต้องตกระกำลำบากมาตั้งแต่เด็ก
นอกจากท่านพ่อที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดในตระกูลแล้ว ทั้งหมดต่างต้องศึกษาร่ำเรียนสอบเข้าขุนนางตามระดับ หากกล่าวว่าเป็นครอบครัวขุนนางที่สืบทอดมากันมาหลายชั่วอายุคนก็ไม่เกินไปนัก
ในใจของตู้เหิงรู้สึกโกรธเคืองยิ่ง ในอดีตชาติหญิงสาวสูญเสียจวนเจ้าอาลักษณ์หลวงไป คราวจบชีวิตตัวเองในคุก ทุกอย่างต่างสงบสุข
กล่าวได้ว่า สองอดีตชาติรวมกันก็ยังไม่จนตรอกอับจนหนทางและน่าอับอายเช่นในชาตินี้เลย
นางนั่งเหยียดขาทั้งสองข้างอยู่บนพื้น รู้สึกเหมือนว่าขาทั้งสองข้างไม่ใช่ของตนอีกแล้ว แม้แต่ขยับก็ทำไม่ได้
“แม่นม ข้าเจ็บขา….”
ขอบตาของนางแดงก่ำ
หญิงชราผู้นี้เป็นแม่นมของตู้เหิง ดูแลนางมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ย่อมรู้นิสัยใจคอของคุณหนูของตนเป็นอย่างดี สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคือภาพลักษณ์ของตัวเองที่ได้รับความเสื่อมเสีย…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณหนูโฉมสะคราญผู้นี้ถ้าเป็นนางเอกนิยายเรื่องต้นฉบับจริงก็อย่ามาคู่กับพี่เหราเลยค่ะ ดูสภาพแล้วอย่าว่าแต่ถึงมือพี่เหราเลย ขนาดโดนเจิ้งอันลากก็แทบจะเปราะหักคามือแล้ว พี่เหราแข็งกระด้างยิ่งกว่าเจิ้งอันเยอะ อาซูเหมาะกับพี่เหรามากกว่าน่ะผู้แปลว่า
มีแววว่านางจะได้คู่กับเจิ้งอันแทนนะคะเนี่ย รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
ไหหม่า(海馬)