บทที่ 137 คนกลุ่มนี้ดูไม่เหมือนกับคนร้ายจริง ๆ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

หญิงชราชำเลืองมองใบหน้าอันงดงามของนางที่กำลังพรั่งพรูหยาดน้ำตาแห่งความคับข้องใจ

แม่นมเอ่ยปลอบใจหญิงสาวทันที “คุณหนูไม่ร้องนะเจ้าคะ เจ็บขาใช่หรือไม่? เดี๋ยวข้าน้อยบีบนวดให้คุณหนูก็ไม่เจ็บแล้ว…”

ตู้เหิงไฉนเลยจะร้องไห้เพราะเจ็บขา!

แต่แม่นมนั้นโง่เขลา ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณหนูรู้สึกดีขึ้นได้อย่างไร ทำได้แค่เดินลากขาที่แพลงของตนเข้าไปใกล้ข้างกายของตู้เหิงทีละก้าว ๆ ก่อนจะเริ่มนวดขาให้นาง

แต่เป็นเพราะแม่นมเองก็บาดเจ็บเช่นกัน จะโน้มตัวลงมาทีก็ลำบากนัก แต่ก็ยังยืนกรานจะนวดขาให้คุณหนูของตนเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป[1]

“คุณหนู ตอนนี้ยังเจ็บขาอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ขยับได้หรือไม่?”

ยามอยู่ในจวน ตู้เหิงมักจะได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเสมอ จึงไม่รู้สึกว่าแม่นมนั้นลำบากอย่างไร ทั้งยังไม่พอใจดินโคลนที่เปื้อนอยู่บนมือของนาง ทำให้เสื้อผ้าของตนเองเปรอะเปื้อนไปด้วย

แต่ถึงกระนั้นร่างกายของตัวเองก็สกปรกมอมแมมไปแล้ว จึงปล่อยเลยตามเลย

หญิงสาวอดกลั้นความรู้สึกไม่พอใจไว้ในใจ กระทั่งหญิงชรานวดขาให้นางจนเสร็จ

“ไม่เจ็บแล้ว แต่เท้ายังปวดอยู่”

คิ้วเรียวของนางขมวดเข้าหากัน พร้อมกับบ่นอุบอิบอย่างขุ่นเคือง

เมื่อแม่นมได้ยินดังนั้นก็รีบยกเท้าคู่นั้นของตู้เหิงขึ้นมาวางบนอ้อมแขนของตัวเอง และเริ่มบีบนวดให้นางทันที

หลังจากนั้นไม่นาน ตู้เหิงก็พูดขึ้นว่า “พอแล้ว แม่นม เจ้าพักผ่อนเถอะ…”

หญิงชราขยับตัวกำลังจะลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกวิงเวียนตาลายอย่างฉับพลันจึงรีบนั่งลงอีกครั้ง

ตู้เหิงกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ นางสนใจเพียงว่าร่างกายของตัวเองเปื้อนดินตรงไหนบ้าง ผมเผ้านั้นยุ่งเหยิงจนไม่เหลือสภาพดีหรือไม่เท่านั้น

เมื่อครู่ที่เจอะเจอกับบุรุษผู้นั้น สภาพเช่นนี้คงดูไม่ดีมากเป็นแน่?

กระทั่งได้ยินแม่นมถามขึ้นว่า “คุณหนู ให้ข้าน้อยหวีผมให้คุณหนูนะเจ้าคะ?”

ตู้เหิงได้ยินดังนั้น ก็รีบส่ายหน้าเอี้ยวตัวหลบทันที “ไม่ต้อง! เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

มือคู่นั้นของแม่นมสกปรกเลอะเทอะ แตะต้องเสื้อผ้าของนางไปแล้วก็ช่างเถอะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แตะต้องผมของนางไม่ได้เด็ดขาด!

หญิงชรารู้ว่าตู้เหิงมีกฎระเบียบมากมายมาตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อเห็นหญิงสาวหลบเลี่ยง จึงหลุบตามองต่ำและตำหนิตัวเอง “ไอ้หยา ข้าน้อยคงจะชราภาพเกินไป ดูแลคุณหนูได้ไม่ดีพอ … แม้แต่จะหนีเอาชีวิตรอด ก็ยังเป็นตัวถ่วง”

ตู้เหิงสนใจอยู่กับการจัดแจงตัวเอง ไม่แม้แต่จะปรายตามองหญิงชราผู้นั้นเลยสักเสี้ยว

กระทั่งได้ยินแม่นมรำพึงรำพันอยู่ข้างกายว่า “ครั้งนี้คุณหนูหนีออกจากบ้านนั้นเกินไปจริง ๆ … ตั้งแต่เด็กจนโต ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณหนูอยากทำ ไม่ว่าเรื่องใดฮูหยินเคยห้ามเสียที่ไหน? จู่ ๆ ก็อยากออกมาข้างนอกเพียงลำพัง ถึงอย่างไรก็ต้องพาองครักษ์มาด้วย ไม่เห็นจะต้องหาผู้คุ้มกันที่น่ารำคาญเหล่านี้เลยนี่เจ้าคะ! คนภายนอกไม่น่าไว้ใจ เกือบจะรังแกคุณหนู…”

เมื่อเห็นท่าทางน่ารำคาญของนางเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเกือบร้องไห้ ตู้เหิงจึงพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “แม่นมเจ้าหยุดพูดได้แล้ว”

การออกจากบ้านคราวนี้ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้ว ทั้งยังพาคนในจวนมาด้วยไฉนเลยจะไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้น?

แม่นมเห็นว่าหญิงสาวเริ่มหมดความอดทน จึงรีบสงบปากสงบคำทันที

นางดูแลคุณหนูมาตั้งแต่เด็กจนโต ตู้เหิงได้รับการปกป้องจากคนในครอบครัวมาโดยตลอด เติบโตอย่างไร้กังวลใด ๆ ปกติมักจะโปรดปรานการชมดอกไม้ ดื่มชา เดินหมากรุก และดีดฉิน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่จู่ ๆ คุณหนูก็เปลี่ยนไป นัยน์ตาฉายแววตาหดหู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มีหลายครั้งที่มีท่าทางเหมือนวันนี้ อารมณ์ฉุนเฉียวจนควบคุมไม่ได้

นางนั่งตัวตรงอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าดินโคลนที่เปื้อนบนชายกระโปรงนั้นมีไม่น้อย แต่นางกลับดูคล้ายกับไข่มุกใสที่แม้จะเปรอะเลอะฝุ่น ก็ยังเปล่งแสงแวววาว

เพียงแต่แสงที่ดูสดใสนั้นไม่ได้บริสุทธิ์มากสักเท่าไร

ตู้เหิงเงียบไปครู่หนึ่ง เพื่อข่มความคิดด้านลบที่ทะลักเข้ามาในใจฉับพลัน

นางมองไปทางแม่นมวูบหนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงที่อ่อนโยนออกมา “ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรกับข้าไม่ใช่หรือไร แม่นม เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย”

แม่นมชะโงกหน้ามองไปยังป่าไม้ที่ทั้งสองคนเพิ่งจะหนีออกมาเมื่อครู่ ก่อนจะพูดอย่างลังเลว่า “คุณหนูหรือว่า เราจะหนีกันดี… ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมาดีหรือมาร้าย ถ้าถึงตอนนั้นมันเห็นรูปโฉมงดงามของคุณหนู แล้วเกิดความคิดมุ่งร้ายขึ้นมา…”

แต่นางกลับเห็นตู้เหิงส่ายหน้าระรัวอย่างแน่วแน่ “พวกเขาคือคนของจวนตรวจการ ไม่ใช่คนร้าย”

แม่นมแสดงสีหน้าสงสัย “คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”

ตู้เหิงพลั้งปากพูดด้วยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ไม่พูดสิ่งใดอีก

แม่นมยังคงนั่งตรงนั้นอย่างไม่เป็นสุข กลับเห็นสีหน้าของคุณหนูสงบนิ่งราวกับกำลังรอใครบางคน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนทั้งห้ากลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากป่าอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ซึ่งเป็นคนที่ช่วยพวกนางเอาไว้เมื่อครู่

แม่นมสังเกตเห็นผู้นำของคนกลุ่มนั้นมีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา กลิ่นอายเงียบขรึม ใบหน้าก็ยังมีร่องรอยของความโหดเหี้ยมที่ไม่เคยจางหาย แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกกลัว หนำซ้ำยังทำให้ดูน่าเชื่อถือและศรัทธามากอีกด้วย

ช่วงเวลาที่ชายผู้นั้นปรากฏขึ้นในคลองจักษุของตู้เหิง แววตาของนางพลันเปล่งประกาย

“หลินเหรา….”

ท่าทางของนางดูไม่ลังเลเล็กน้อย ปากยังคงพึมพำ ไม่นานก็เผยรอยยิ้มที่ซับซ้อนออกมาคล้ายกับถวิลหา ทั้งยังเต็มไปด้วยความหดหู่

หลินเหราและคนอื่น ๆ เคยมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างยากลำบากมาแล้วคราหนึ่ง ตามตัวจึงเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่ไม่น้อย สามรุมหนึ่ง ไฉนเลยจะสู้ได้ง่ายดายเพียงนั้น?

เมื่อเจิ้งอันพาพวกเขาเดินทางมายังสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว จึงเอ่ยถามหลินเหราด้วยสีหน้ากังวลว่า “สหายหลิน บาดแผลบนร่างกายหนักหนาหรือไม่?”

ทหารประจำหน่วยผู้น้อยข้างกายผู้หนึ่งรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เขาอดกลั้นความละอายใจไว้ คิดอยากเข้าไปประคองหลินเหรา “นายกองหลินได้รับบาดเจ็บ เพื่อขวางมีดเล่มนั้นให้ข้า…”

หลินเหราหลบเลี่ยงมือของเขาที่ยื่นมาประคองตน ทำให้ไหล่มีเลือดไหลทะลักออกมา แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉยไม่เผยความรู้สึกใด “แผลเล็กน้อย ไม่ต้องทำเช่นนี้”

เขาฉีกเสื้อออกแล้วใช้ผ้าพันแขนที่ได้รับบาดเจ็บอย่างชำนาญ แล้วค่อยมัดปมอีกครั้ง

เจิ้งอันและคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน ยิ่งทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อหลินเหราเพิ่มขึ้น

กระทั่งเขาพันบาดแผลเสร็จ เจิ้งอันจึงพาทุกคนเดินไปยังทิศทางของตู้เหิงและแม่นม “ข้าซ่อนทั้งสองคนที่ช่วยชีวิตได้ไว้ที่มุมเขา…”

หลินเหราไม่ได้เดินขึ้นหน้าไปหากแต่คอยมองไปยังป่าด้านหลังอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครตามมา จึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ทุกคนเดินได้

ตู้เหิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังหินก้อนใหญ่เห็นไหล่ของหลินเหราที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน นัยน์ตาของหญิงสาวก็พลันฉายแววกระวนกระวายใจ คล้ายกับเสียใจอยู่ในที

เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินขึ้นหน้ามาทีละก้าว จึงสั่งให้ตัวเองสงบลงเก็บความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นเอาไว้

เจิ้งอันหาที่ซ่อนตัวให้แก่สตรีทั้งสองได้อย่างชาญฉลาด ทั้งห้าคนอยู่ในจุดบอดมองไม่เห็นพวกตู้เหิง แต่ทั้งสองคนกลับเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของทั้งห้าคนนั้นอย่างชัดเจน

“แม่นาง แม่นม เรามาแล้ว”

ด้วยความระมัดระวัง เจิ้งอันจึงส่งเสียงเตือน

แม่นมมีสีหน้าระแวดระวัง ตู้เหิงกลับโน้มตัวไปด้านหน้า นิ้วมือเรียวยาวกำหมัดแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งตัวเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย

จนใบหน้ารูปงามอ่อนเยาว์ของหลินเหราปรากฏอยู่ในสายตา เมื่อดวงตาที่เย็นยะเยือกจ้องมองมายังใบหน้าของนาง ตู้เหิงสัมผัสได้ว่า หัวใจที่แห้งเหี่ยวของตัวเองก็พลันมีชีวิตอีกครั้ง มันเต้นเร็วรัวราวกับเสียงกลอง กระตุ้นให้นางเดินไปข้างหน้า

หลังจากที่ตู้เหิงลาโลกไปเมื่ออดีตชาติ กลับไม่ได้เกิดใหม่ทันใดแต่กลายมาเป็นภูติป่าผู้โดดเดี่ยว

หญิงสาวมองไปยังบุรุษผู้คัดค้านพระราชโองการ ก่อร่างสร้างสุสานให้แก่ครอบครัวของนางผู้นี้

พระราชวังมีเทพทวารบาล[2] ตู้เหิงจึงเข้าไปไม่ได้และไม่อาจแก้แค้นได้ นางจึงไปหาหลินเหรา ณ จวนท่านแม่ทัพ แรกเริ่มเพียงแค่อยากขอบคุณเขา แต่เมื่อเห็นเงาที่ดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างนั้นทำให้นางรู้สึกปวดใจ อยากจะทำความเข้าใจชายผู้นั้น

ดังนั้นนางจึงอยู่ข้างกายเขา อยู่ในจวนท่านแม่ทัพ รับรู้ทุกเรื่องราวของเขา…

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบทสวดดังขึ้นข้างหู ทำให้ตู้เหิงรู้สึกปวดแปลบในศีรษะ เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองเกิดใหม่แล้ว…

น้ำเสียงทุ้มต่ำของหลินเหราได้ดังขึ้น “ท่านทั้งสอง ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่?”

ตู้เหิงพลันได้สติ หญิงสาวเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าน้อยไม่บาดเจ็บ บาดแผลของท่านแม่ทัพหนักหนาหรือไม่เจ้าคะ?”

น้ำเสียงหวานดั่งนกขมิ้นที่ขับขานอยู่ในหุบเขา นุ่มนวลและแฝงไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน

หลินเหรากลับนิ่งเหมือนท่อนไม้ นอกจากส่ายหัวอย่างเย็นชาแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดอีก

สถานการณ์ตกอยู่ในความอึดอัดทันใด แม้แต่เจิ้งอันบุรุษผู้หยาบกร้านคนนี้ ก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล

ตู้เหิงหลุบสายตามองต่ำอย่างเศร้าสลด จนเวลาผ่านไปก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “บุญคุณที่ท่านแม่ทัพช่วยชีวิตในวันนี้ ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก… ข้าขอไม่อ้อมค้อม อันตรายที่พบเจอในวันนี้ ต้องขอบพระคุณทุกท่าน หากไม่ใช่เพราะพวกท่านมาได้ทันเวลา เกรงว่า… ”

ขณะที่พูดน้ำเสียงของนางก็กลืนหายไป น้ำตาไหลพรากออกมา

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้นต่างทนไม่ได้ เจิ้งอันจึงได้พูดปลอบใจอยู่ข้างกาย “แม่นาง ในตอนที่เห็นเจ้าตกอยู่ในอันตราย พวกเราต่างเข้าช่วยอย่างไม่ยี่หระต่อความตาย ตอนนี้เราหลุดพ้นจากหายนะแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว”

ตอนนั้นเองก็มีทหารประจำหน่วยที่อายุไม่มากนักคิดจะปรับเปลี่ยนบรรยากาศได้เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหยุดร้องไห้เถอะ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาหมดแล้ว…”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประโยคนี้ แม่นมที่อยู่ด้านหลังของตู้เหิงก็แสดงสีหน้าเหยเกออกมา คิดในใจว่า ‘จะปลอบสาวทั้งทีก็ทำไม่เป็น แต่ก็นะ คนกลุ่มนี้ไม่เหมือนกับคนร้ายจริง ๆ นั่นแหละ’

[1] หนึ่งก้านธูปคือเวลาเพียง 15 นาที สักช่วงขณะหนึ่ง

[2] เทพทวารบาล คือเทพพิทักษ์ประตู

สารจากผู้แปล

อย่านะคุณหนูตู้เหิง ฉันจะไม่ยอมให้เธอได้คู่กับพี่เหราในชาตินี้หรอก แค่นิสัยก็ไม่ผ่านอย่างแรง แถมพี่เหราเขามีอาซูอยู่แล้วด้วย

ไหหม่า(海馬)