คุณหนูพานต้องไปแล้วหรือ?
หวังซีฟังแล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่ยังคงตอบรับคำเชิญของนางอย่างยินดี มารดาของคุณหนูพานเดินทางมาจิงเฉิง แม่ลูกได้พบหน้ากันอีกครั้งถือเป็นเรื่องน่ายินดี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคุณหนูพานต้องไปแล้ว พวกนางจึงมีเรื่องต้องคุยกันมากมาย เช่นจะย้ายออกยามใด ต้องช่วยอะไรหรือไม่ ย้ายไปอยู่ที่ไหน และงานแต่งกับตระกูลหลิวจะจัดขึ้นเมื่อไรเป็นต้น
แต่เดิมคุณหนูพานก็มาจิงเฉิงด้วยเรื่องดองกับตระกูลหลิว ฉะนั้นเรื่องออกเรือนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นางตอบคำถามของหวังซีและฉังเคอทีละข้อๆ ด้วยความขัดเขิน ทันใดนั้นมีเสียงอึกทึกหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก เสียงดังจนกลบบทสนทนาของพวกนางจนหมด
หวังซีขมวดคิ้ว ส่งไป๋กั่วไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไป๋กั่วกลับมารายงานว่า “ที่สวนหิมะงาม คุณหนูซือบอกว่าต้องการย้ายออกไป โหวฮูหยินได้รับคำสั่งจากท่านโหวมาช่วยคุณหนูซือย้ายบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มาด้วย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตานหมัวมัวที่ล่วงหน้าไปเก็บกวาดจวนตระกูลซือกลับมาบอกว่า จวนตระกูลซือถูกศาลต้าหลี่ปิดทางเอาไว้ ไม่อนุญาตให้คนเข้าอาศัยชั่วคราว บ่าวไพร่ที่เคยรับใช้อยู่ที่จวนตระกูลซือก็ถูกมัดแล้วพาตัวไปที่ศาลซุ่นเทียน รอศาลต้าหลี่ตัดสินโทษ หากคุณหนูซือย้ายออกไปในเวลานี้ คงไม่มีที่ให้พักแม้แต่ที่เดียว ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วเป็นลมหมดสติ สวนหิมะงามจึงวุ่นวายกันหมด โหวฮูหยินกำลังให้คนไปเชิญหมอหลวงมา ท่านโหวเองก็มาถึงแล้ว กำลังหารือกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี!”
รวดเร็วปานนี้เชียว?
เพิ่งจะได้ยินว่าตระกูลซือถูกคนฟ้องร้อง บ้านหลังใหญ่ของตระกูลซือในจิงเฉิงก็ถูกปิดทางเข้าแล้ว
หวังซี คุณหนูพานและฉังเคอต่างมองหน้ากัน
คุณหนูพานอดรู้สึกยินดีไม่ได้ กล่าวว่า “โชคดีที่ข้ากำลังจะย้ายออกไปแล้ว หาไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ครอบครัวพวกข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ คงมีแต่ทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแล้ว”
มิใช่ว่าช่วยไม่ได้หรอกกระมัง รองเสนาบดีหลิวเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามบน ทั้งยังเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น หากยินดีช่วยเหลือ เรื่องอื่นไม่กล้าเอ่ยถึง แต่ไปสืบข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาให้ย่อมเป็นไปได้
แต่เหตุใดตระกูลพานต้องช่วยตระกูลซือด้วยเล่า?
ระหว่างญาติพี่น้องก็ต้องมีการไปมาหาสู่ มีใกล้ชิดมีเหินห่าง
หวังซีเข้าใจดี กล่าวว่า “หรือว่า พวกเราอย่าเพิ่งรวมตัวกันเลยดีกว่า รอเจ้าย้ายไปบ้านใหม่ อย่างไรพวกข้าก็ต้องไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่แล้ว มิสู้พวกเราค่อยรวมตัวกันตอนที่พวกข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้า พวกข้าเองก็จะได้ถือโอกาสไปดูบ้านใหม่ของเจ้าด้วย”
คุณหนูพานเองก็รู้สึกว่าเรื่องย้ายบ้านของนางนั้นย้ายออกเร็วได้แต่จะช้าไม่ได้ จึงพยักหน้ารับคำแล้วรีบกลับไปหารือเรื่องย้ายบ้านก่อนกำหนดกับคนข้างกายที่สวนร่มวสันต์
พานหมัวมัวคนข้างกายโหวฮูหยินเร่งเข้ามาหา เห็นคุณหนูพานเก็บข้าวของเกือบเสร็จแล้วก็สงบใจขึ้นมาก รีบกล่าวว่า “โหวฮูหยินบอกว่าให้ท่านออกจากจวนวันนี้เลยเจ้าค่ะ อย่าเพิ่งพิถีพิถันเรื่องเป็นวันมงคลหรือไม่ สลัดความเกี่ยวข้องกับตระกูลซือได้ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลหลิว ใต้เท้าหลิวเองก็หาใช่คนใจกว้างอะไร หากฮูหยินผู้เฒ่าขอร้องมาถึงท่านจริงๆ มีแต่จะทำให้ท่านลำบากใจเท่านั้น”
คุณหนูพานได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว คิดว่าตอนนี้จวนหย่งเฉิงโหวกำลังวุ่นวาย จึงไม่อยากรบกวนจวนหย่งเฉิงโหว นางแจ้งพี่ชายให้ทราบคำหนึ่ง จากนั้นไปเรียกรถม้าที่เชื่อถือได้ตามถนนมาเองโดยตรง แล้วก็เริ่มขนของออกไปทันที
หวังซีกับฉังเคอได้รับข่าวแล้วรู้สึกว่าออกจากจวนอย่างรีบร้อนเช่นนี้อย่างไรก็คงไม่ค่อยสะดวกนัก จึงพาคนมาช่วยและนำอาหารมาให้ คุณหนูพานซาบซึ้งใจเหลือจะกล่าว ตอนจากไปยังเขียนที่อยู่บ้านใหม่ฉบับหนึ่งให้ทั้งสองคน จับมือหวังซีกับฉังเคอเอาไว้กำชับกับพวกนางไม่หยุดว่าถึงเวลาต้องไปเล่นที่บ้านนางด้วย
ทั้งสองคนรับปากยิ้มๆ ได้เจอกับคุณชายพานที่มารับน้องสาวที่หน้าประตู
คุณชายพานมองหวังซีที่งดงามประหนึ่งบุปผาล้ำค่าแล้วดวงตาเป็นประกาย รอจนรับน้องสาวขึ้นรถม้ามาแล้ว อดถามไม่ได้ว่า “สตรีที่สวมชุดสีแดงเมื่อครู่เป็นใครหรือ ใช่คุณหนูสกุลหวังท่านนั้นหรือเปล่า”
หลังจากมาถึงจิงเฉิงเขาก็เรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาหลวง ไม่ค่อยได้มาจวนหย่งเฉิงโหวเท่าไรนัก อีกทั้งชายหญิงมีระยะห่าง จึงไม่เคยเจอหวังซีมาก่อน
คุณหนูพานพยักหน้า
คุณชายพานกล่าว “นางหมั้นหมายหรือยัง”
“ยัง!” คุณหนูพานตอบ มองพี่ชายของตัวเองอย่างระแวดระวัง
พี่ชายของนางหมั้นหมายแล้ว
คุณชายพานตีศีรษะของน้องสาวตัวเองแรงๆ ฝ่ามือหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเห็นว่านางกับเจ้าเข้ากันได้ดี อีกทั้งหน้าตาก็งดงาม ข้ามีสหายร่วมชั้นผู้หนึ่งเป็นคนไม่เลวเลย ทั้งยังไม่ได้หมั้นหมาย จึงคิดว่าอาจช่วยเป็นพ่อสื่อให้เขาสักครั้งหนึ่งได้ก็เท่านั้น”
คุณหนูพานรีบกล่าว “เจ้าอย่าพูดเหลวไหลไปเชียว ครอบครัวคุณหนูหวังเป็นคหบดีร่ำรวยของสู่จง ย่อมไม่เห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตา เจ้าอย่ากลายเป็นว่าเป็นพ่อสื่อไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามกลายเป็นศัตรูแทนก็แล้วกัน”
คุณชายพานได้ยินแล้วก็ยิ่งสนใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ลองจับคู่ดูแล้ว สหายร่วมชั้นของข้าผู้นี้ก็ไม่แย่ อย่างไรก็ไม่ทำให้คุณหนูหวังลำบากอย่างแน่นอน เจ้ารอไปก่อน ข้าไปหยั่งเชิงดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
คุณหนูพานรู้สึกไม่เหมาะสมนัก แต่ก็โน้มน้าวคุณชายพานไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจว่ารอตอนที่หวังซีมาเป็นแขกที่บ้านค่อยเตือนนางสักประโยคหนึ่ง หากสหายร่วมชั้นของพี่ชายนางท่านนี้เป็นคนไม่เลวจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สองพี่น้องต่างคนต่างอยู่กับความคิดของตัวเองไปตลอดทางที่เดินทางไปบ้านเช่าแห่งใหม่ กว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะฟื้นขึ้นมาและนึกถึงตระกูลฝั่งสามีของคุณหนูพานก็ถึงเวลาจุดโคมไฟยามเย็น คุณหนูพานย้ายออกไปเรียบร้อยแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนตัวสั่น เรียกโหวฮูหยินเข้ามาต่อว่า “เจ้ามันคนใจดำ กลัวพวกข้าไปหาประโยชน์จากเจ้า หากมิใช่พวกข้า ตระกูลพานของพวกเจ้าจะมีวันนี้ได้หรือ ไม่แปลกที่ตอนนั้นตระกูลพวกเจ้าตกต่ำแล้วไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยสักคน ที่แท้ก็เพราะเป็นคนไร้ความละอายนี่เอง…”
ด่าตอกหน้าไปหนึ่งคำรบ ทั้งยังด่าต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย ด่าจนโหวฮูหยินหน้าแดงก่ำ อยากกระโดดน้ำตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด เป็นนายหญิงสามที่คิดว่าตอนเกิดเรื่องงานแต่งของฉังเคอโหวฮูหยินเคยยื่นมือมาช่วยเหลือไว้ นางจึงออกไปช่วยห้าม
นางยกเม็ดบัวต้มน้ำตาลกรวดใส่รังนกถ้วยหนึ่งเข้ามานั่งข้างเตียงฮูหยินผู้เฒ่า กระซิบกล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านแม่สงบใจลงก่อน เรื่องที่คุณหนูพานย้ายบ้านนั้นนางกำหนดวันไว้นานแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าวันย้ายบ้านของคุณหนูพานจะตรงกับวันนี้พอดี ถึงได้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้น พานฮูหยินยังตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาคารวะท่านในอีกสองสามวันนี้อยู่เลย ท่านต่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ จะให้พานฮูหยินเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ท่านอายุมาก โกรธมากๆ ไม่ได้แล้ว กินขนมหวานสักหน่อยก่อน มีเรื่องอะไร ค่อยนั่งลงมาคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ดีๆ ดีกว่า พี่สะใภ้ใหญ่อยู่กับท่านมานานหลายปีมีตอนไหนบ้างที่นางพูดคำว่า ‘ไม่’ ต่อหน้าท่าน?”
กล่าวจบ ยังส่งสายตาให้ซือหมัวมัวครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกให้ซือหมัวมัวช่วยโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าด้วยอีกแรง
ซือหมัวมัวกลับตกใจจนเบื้อใบ้ไปแล้ว
นางกำลังคิดอยู่ในใจว่า ตระกูลซือนั้นถือเป็นตระกูลที่ดีเป็นลำดับต้นๆ เดินทางมาได้อย่างราบรื่นไม่เคยประสบกับปัญหามาก่อน ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนเรือลำใหญ่พลิกคว่ำ ทำเอานางไม่รู้จะทำอย่างไรดี
โชคดีที่นางตามฮูหยินผู้เฒ่ามาที่จ่วนหย่งเฉิงโหว จวนหย่งเฉิงโหวยังแข็งแกร่งปลอดภัยดี นางถึงได้สติคืนกลับมา กล่าวโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่ค่อยได้ใจความนัก
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงคำที่บอกว่า พานฮูหยินยังตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาคารวะท่าน ประโยคนั้นขึ้นมา รู้สึกว่าไม่อาจบีบคั้นโหวฮูหยินมากเกินไป ในที่สุดความโกรธก็คลายลง กล่าวกับโหวฮูหยินประโยคหนึ่งอย่างไม่กระตือรือร้นแต่ก็ไม่เย็นชาว่า “ข้าโกรธจนเลอะเลือนไป” ถือเป็นการขอโทษแล้ว แต่ในใจของโหวฮูหยินกลับเย็นชา รู้สึกว่าแม่สามีกับสะใภ้อย่างไรก็คือแม่สามีกับสะใภ้ ต่อให้ดีเพียงใดก็หาใช่แม่ลูกแท้ๆ ความขุ่นเคืองที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าจึงเบาบางลงเล็กน้อย
เมื่อกลับไปนางก็พรั่งพรูกับหย่งเฉิงโหวว่า “ข้าทำเพื่อผู้ใดเล่า? ก็ทำเพื่อจวนหย่งเฉิงโหวของพวกเราทั้งสิ้น ถึงแม้ตระกูลหลิวจะเป็นญาติที่มาเกี่ยวดองด้วย แต่หลานสาวของข้ายังไม่ได้แต่งเข้าไป สายสัมพันธ์ยังเบาบาง พวกเราเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกตระกูลซือลากเข้าไปติดร่างแหด้วยหรือไม่ เมื่อถึงวันที่ต้องใช้สายสัมพันธ์ มิใช่ว่าต้องเก็บเอาไว้ให้พวกเราใช้เองหรอกหรือ หากมอบให้ตระกูลซือใช้ไปในเวลานี้แล้ว อนาคตเวลาที่พวกเราอยากไปขอให้ผู้อื่นช่วยเหลืออีกจะทำอย่างไร”
สองวันนี้หย่งเฉิงโหวเห็นคนเข้าออกราชสำนักมากมายมหาศาล เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น กลัวว่าจวนหย่งเฉิงโหวจะพลิกคว่ำ คว้าเชือกสักเส้นได้ก็คว้าเชือก คว้าฟางข้าวได้ก็คว้าฟางข้าว ไม่ขุ่นแค้นที่ตระกูลซือทำให้เขาลำบากไปด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังคิดจะให้ช่วยตระกูลซืออีก อย่าแม้แต่จะคิดเลย
ด้วยเหตุนี้พอเขาได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มเย็นพลางกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ด้านฮูหยินของญาติผู้พี่ก็ไม่ต้องรับเข้าบ้าน บอกไปว่าฮูหยินผู้ไม่สบาย ช่วงนี้จึงไม่รับแขก”
โหวฮูหยินสงบใจลงได้ มุมปากแต้มยิ้มพลางถามว่า “เช่นนั้นคุณหนูซือเล่า? คงไม่อาจให้ย้ายออก หาไม่แล้วพวกเราจะกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว ยังมีเรื่องงานแต่งของคุณหนูซืออีก ต่อให้เป็นพระราชโองการจากวังหลวง แต่เจิ้นกั๋วกงก็มิได้กินหญ้า ไม่รู้ว่าจะยังเป็นไปได้หรือไม่…”
หย่งเฉิงโหวเองก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ เขาถามขึ้นว่า “เจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่”
โหวฮูหยินครุ่นคิด กล่าวว่า “ให้คุณหนูซือไปดูแลอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าดีหรือไม่ ตอนที่นางเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็พักอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่หรือ นางจะได้อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าด้วยพอดี”
ทั้งสองคนต่างเข้าใจความหมายของคำว่า ‘อยู่เป็นเพื่อน’ นั้นดี
หย่งเฉิงโหวเห็นด้วย
เรื่องนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามนั้น โหวฮูหยินออกหน้าไปล่อหลอกให้ซือจูไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าสักสองสามวัน ฉวยโอกาสนั้นขนหีบสัมภาระของซือจูไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าด้วย กว่าซือจูจะรู้ตัว โหวฮูหยินก็ให้สตรีร่างสูงใหญ่กำยำไปจับตาดูพวกนางเอาไว้แล้ว ยังกล่าวด้วยว่า “คุณหนูหวังเป็นคนออกเงินค่าซ่อมบำรุงสวนหิมะงาม ก่อนหน้านี้วางแผนเอาไว้ว่าจะติดตั้งท่อนำความร้อนของเรือนหลักให้ครบถ้วน แต่เพราะคุณหนูมาถึงก่อน และคุณหนูหวังเองก็ถูกใจทัศนียภาพของสวนร่มหลิว ถึงได้หยุดติดตั้งไปก่อน นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หากยังไม่ติดตั้งท่อนำความร้อนอีกเกรงว่าคงไม่ทันการ คุณหนูมาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าสักสองสามวัน จะได้ให้คนงานมาติดตั้งท่อนำความร้อนด้วยพอดี”
ซือจูโกรธจนไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่
แต่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ท่านหวงของตระกูลซือท่านนั้นก็หาตัวไม่เจอ ไม่รู้ว่าหนีไปแล้วหรือกลับไปที่อวี๋หลิน หากนางไม่ทำตามที่จวนหย่งเฉิงโหวจัดเตรียมไว้แล้วจะทำอะไรได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวบุตรชายจะไล่ซือจูออกไป บัดนี้ซือจูมาอยู่ข้างๆ ตัวเองได้ นางรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี จึงอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน
กลับเป็นเวินจงว่าที่สามีของฉังเคอ เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องกับตระกูลซือก็แอบส่งบ่าวชายคนสนิทมาถามไถ่นายท่านสาม ถามว่ามีอะไรที่เขาพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่
นายท่านสามทั้งพึงพอใจในความมีน้ำใจและตรงไปตรงมาของว่าที่บุตรเขยผู้นี้ ทั้งกลัวว่าว่าที่บุตรเขยจะไม่รู้จักหนักเบาแล้วให้ความช่วยเหลือจริงๆ รีบเรียกเวินจงมาหา เล่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลให้เขาฟังอย่างอ้อมๆ สุดท้ายยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าเป็นรุ่นเด็ก อย่างไรก็หมุนไปไม่ถึงคราวของเจ้าต้องออกหน้า หากมีคนไปหาเจ้า เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ ให้ผลักทุกอย่างมาที่ข้า”
เวินจงพยักหน้าหงึกๆ เมื่อกลับถึงที่ทำการก็ได้รับข่าวว่าเฉินลั่วได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาของกองพลทองคำทั้งสี่กองพลเพียงคนเดียว
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาปากอ้าตาค้าง
สหายร่วมที่ทำงานข้างกายเขากลับกล่าวขึ้นอย่างอิจฉาว่า “หนึ่งคนสั่งการได้ทั้งสี่กองพล! ปีนี้เขายังไม่ได้เข้าพิธีสวมกวนเลยนี่นา! ช่างสมกับที่ว่าเอาคนเทียบคนก็มีแต่ทำให้คนโมโห เอาของเทียบของก็มีแต่หล่นหายไปทั่วทุกที่นั่นจริงๆ!”
เวินเจิงหัวเราะแต่ไม่ได้วิจารณ์อะไร
ตอนนี้คนของกองพลขนนกต่างกำลังกังวลใจกันว่าฮ่องเต้จะจัดการกับพวกเขาอย่างไร
แม้นกล่าวว่าพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งโดยดูจากตราพยัคฆ์ และคำสั่งนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่ แต่กลายเป็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้เป็นคนส่งตราพยัคฆ์นั้นมา เกิดการละเมิดข้อห้ามครั้งใหญ่ ทว่าเวินจงไม่ได้กังวลเท่าไรนัก เขาเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่งในกองพลขนนกเท่านั้น และมีเจียงชวนป๋อเป็นขุนเขาให้พึ่ง เขาคิดว่าตนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เขาฟังคำนินทาอยู่ข้างๆ อีกครู่หนึ่ง
ประเดี๋ยวทุกคนก็พูดว่าเฉินลั่วมีวาสนาดี นอกจากได้เกิดเป็นหลานชายของฮ่องเต้แล้ว บัดนี้ยังช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่เอาไว้อีก ขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นต่างพูดกันว่าเขาจงรักภักดี เป็นตัวอย่างขุนนางของคนรุ่นใหม่ ประเดี๋ยวก็พูดว่าเฉินลั่วต้องได้สืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่ออย่างแน่นอน “ว่าที่ภรรยาของเฉินอิงคือหญิงสาวจากตระกูลซือ บุตรสาวของขุนนางต้องโทษจะเป็นซื่อจื่อฮูหยินได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเจิ้นกั๋วกงจะทำลายงานแต่ง แต่งานแต่งนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮาเป็นผู้พระราชทานให้ จัดการไม่ง่ายเลย!”
…………………………………………………………………….