ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 134 คุณชาย

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 134 คุณชาย

“บัดซบ!”

“บัดซบ!”

“บัดซบ!”

เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังสามครั้ง ทุกครั้งจะโกรธขึ้นเรื่อยๆ และจะดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย กระทั่งข้ามผ่านอากาศ ทำให้คนเยื่อแก้วหูสั่นสะเทือนเบาๆ

น่าเสียดายที่ตัวอยู่ในค่ายกลลวงตา เปล่งเสียงตะโกนดังเพียงใดก็ยากจะดังออกไปข้างนอก เสียงตะโกนสองครั้งก่อนดังไปถึงนอกค่ายกล ก็เป็นเพียงยุงกระพือปีก ไม่เกิดคลื่นใดๆ เลย ต่อให้เป็นเสียงที่สามที่ข้ามหินแตกทอง ก็ไม่มีทางดังไปนอกสุสาน ให้คนอื่นได้ยิน

ความตั้งใจแรกในการวางค่ายกลลวงตานี้เพื่อขังคนนอกที่เข้ามา

เจียงหลินหน้าเขียวแดงสลับกัน เขาจ้องอากาศตรงหน้าเขม็ง ตามหากลิ่นอายพลังของหนิงอี้ไปตลอดทาง มนุษย์ต่ำช้าเจ้าเล่ห์นั่น ไม่อยากเชื่อว่าจะเข้าไปในค่ายกลลวงตา พื้นที่ในนี้ดูเหมือนกว้าง แต่ความจริงแคบยิ่ง กลิ่นอายของหนิงอี้คละปนเป็นกลุ่ม ไม่อาจแยกแยะได้ว่าออกจากค่ายกลลวงตาอย่างไร…เด็กหนุ่มต้าสุยวางหมากไว้ที่นี่ รอตนมา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กำลังรอดูอยู่นอกค่ายกลลวงตา

ดาบคืนสนองแล้ว…เจียงหลินกำหมัด กระดูกระเบิดเสียงดังกังวาน ใบหน้าเขาดำมืด ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจก็มีคนแปลกที่ชำนาญวิชาเสี่ยงทายอยู่ สุสานโบราณเผ่าปีศาจความจริงอันตรายกว่าของใต้ฟ้าต้าสุย เพียงแต่น่าเสียดาย ในรายนามของคนแปลกพวกนี้ ไม่มีชื่อของเขาเจียงหลิน

แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าค่ายกลลวงตาแล้วจะทำอะไรไม่ได้เลย

ในทางตรงข้าม เขามีกลอุบายหลายอย่างที่ทำให้เขาฝ่าสถานการณ์ลำบากตรงหน้าไปได้

กลอุบายก้นหีบที่สุดคือถุงสวยงามที่ผูกไว้ตรงเอว ความคิดหนึ่งของผู้เฒ่าเมืองธารน้ำ ต่อให้ภูเขาแดงฟ้าถล่ม ดวงจิตปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณคืนชีพ ก็ช่วยให้เขาพ้นจากอันตรายได้

ทว่าเจียงหลินไม่อยากใช้เช่นนี้ เขามาภูเขาแดง ตกปากรับคำกับผู้เฒ่าคนนั้นว่าจะมาดึงราชสีห์ขาว เพื่อประหยัดถุงสวยงามพลิกฟ้านี้…ตอนนี้เข้าค่ายกลลวงตามาก็ใช้ถุงสวยงาม จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชสีห์ขาวเลยว่าสุดท้ายจะดึงออกมาได้หรือไม่ เรื่องแค่นี้ยังผ่านไปอย่างราบรื่นไม่ได้ ถึงตอนนั้นกลับเมืองธารน้ำ คงยากจะเอ่ยคำขอที่สองกับผู้เฒ่าท่านนั้นได้

ตรงหน้าเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงเล็กจ้อยกับค่ายกลลวงตา มันจะเท่าไรกันเชียว

แต่ความจริงในใจเจียงหลินก็ยังมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง บอกตนว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ถุงสวยงามนั่นผูกตรงเอวก็มีความมั่นใจขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะใช้มัน

เจียงหลินคลึงระหว่างคิ้ว

เขายกมือข้างหนึ่งตรงระหว่างคิ้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดลงช้าๆ

เผ่าปีศาจต่างมีมรดกสายเลือด กลอุบายประจำตัว ในยุคโบราณก็มียอดปีศาจมากมายรวมกลุ่มขึ้น พลังบำเพ็ญสูงเท่าไร ฐานะก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น สายเลือดที่สืบทอดกันมาย่อมแกร่งยิ่งขึ้น และสายเลือดกิเลนวางอยู่ในยุคใดก็จะเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจสูงสุดเสมอ

หากเจียงหลินกลายร่าง ปล่อยร่างจริงออกมา เกรงว่าค่ายกลลวงตาคงถูกขยายจนแตก เพียงแต่กลอุบายนี้รุนแรงเกินไป หลังจากกลายร่างจะเสียสติได้ง่ายมาก เข้าสู่ความบ้าคลั่ง ถึงตอนนั้นสังหารเด็กหนุ่มนั่นตายไม่เท่าไร หากตนฟื้นสติกลับมา พบว่าเด็กสาวนั่นถูกตนสังหารไปด้วย นี่คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

เจียงหลินเตรียมสำแดงกลอุบายที่สองของตน กลอุบายเช่นนี้ไม่ต้องใช้พลังปีศาจแสงดาราก็ใช้ได้ แต่สำหรับตนในขอบเขตที่สิบแล้ว ดูกินแรงไปเล็กน้อย ทั้งยังใช้พลังกายอย่างมาก นี่เป็นวิชาลับที่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจกิเลนหลังทะลวงขอบเขตที่สิบถึงจะพอใช้ได้

ยอดปีศาจหนุ่มร่างกำยำสูดลมหายใจเข้าลึกสามครั้ง ในที่สุดก็กดนิ้วมือตรงระหว่างคิ้วตนเอง สีแดงสายหนึ่งถูกเขาบีบออกมา นี่เป็นเลือดระหว่างคิ้วที่แท้จริงหยดหนึ่ง โลหิตบริสุทธิ์ชีวิต โลหิตหยดนี้ปะปนสีทองกับดำ เหมือนหยดน้ำตา ทนทานมาก แสงสว่างจ้าไหลเวียน เหมือนอัญมณีเคลือบที่มีแสงสีแดงมากกว่า ลอยอยู่บนระหว่างคิ้ว ก่อนจะควบแน่นทีละนิด

ดวงตาที่สาม

เนตรสวรรค์กิเลน

ส่องมายา มองเห็นความจริง

เจียงหลินหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขาเปิดเนตรสวรรค์ไม่ได้นานนัก ทุกครั้งที่เปิดเนตรสวรรค์จะกินพลังเลือดลมของตนจำนวนมาก ชั่วครู่เดียวเขาก็เห็นหน้าตาแท้จริงของค่ายกลลวงตา ‘มายา’ กับ ‘การโน้มนำผิดทาง’ ในนั้นถูกชำระล้าง เดินไปสองสามก้าวก็ออกจากค่ายกลลวงตา

เขามีสีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อย

จากนั้น…เขาก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลลวงตาที่สอง

ระดับความซับซ้อนของค่ายกลลวงตาที่สองมากกว่าอันแรกหลายเท่า ภายใต้การส่องด้วยวิชาลับกิเลนทำให้เจียงหลินมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาบนหน้าผากเล็กน้อย เพียงแต่ก็ไม่นานนัก ยังอยู่ในขอบเขตที่เขารับไหว เขาส่องทางออกของค่ายกลลวงตาที่สองแล้วก็ก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว

ค่ายกลลวงตาที่สาม…

จากนั้นเป็นที่สี่…

“อ๊ากๆๆ!”

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้น

เจียงหลินฟันดาบลง ฟันพื้นดินแตก น่าเสียดายที่นี่อยู่ในค่ายกลลวงตา ล้วนเป็นมายา ทุกอย่างเป็นสิ่งลวงตา ไม่นานนัก หินแตกก็ลอยกลับมาช้าๆ รวมเป็นกระเบื้องตำหนักสมบูรณ์อีกครั้ง

ตอนนี้ดวงตาของยอดปีศาจหนุ่มคนนี้มีไฟโทสะเสี้ยวหนึ่ง เขาไม่คาดคิดเลยว่าหนิงอี้จะกล้าหาญเช่นนี้ ตั้งใจเลือกค่ายกลลวงตาเข้าไป นี่จะเดินค่ายกลลวงตาตั้งสุสาน ไม่กลัวพลาดเลยรึ

เจียงหลินสูดลมหายใจเข้าลึก ด้วยความจนปัญญา จึงได้แต่ใช้เนตรสวรรค์อีกครั้ง ฝ่าค่ายกลลวงตา แต่วิชาลับนี้ค่อนข้างกินพลังกาย เจียงหลินต้องเก็บแรงไว้ส่วนหนึ่งมารับมือกับการต่อสู้ต่อไป

แดนต้องห้ามแห่งนี้ เด็กหนุ่มนั่นถือกระบี่ ศักยภาพดูถูกไม่ได้ง่ายๆ ตนต้องใช้พลังของอักขระลับสุวรรณทมิฬ ไม่อย่างนั้นจะเข้าสู่ที่นั่งลำบาก

เจียงหลินไม่กังวลว่าหนิงอี้จะไปถึงสุดทางก่อนตน…หากเดาไม่ผิด สุดทางสุสานน่าจะบูชาดาบปีศาจยาวนามราชสีห์ขาวนั้น อาวุธเทพตอนมีชีวิตของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ อาวุธเทพนี้ มีเพียงคนในเผ่าปีศาจเท่านั้นที่ดึงออกได้ ผู้เฒ่าเมืองธารน้ำเคยบอกตนว่าปราการปราณปีศาจที่นี่แข็งแกร่งยิ่ง คนนอกไม่อาจแตะต้องได้

สิ่งที่เจียงหลินกังวลอยู่คือค่ายกลลวงตาที่นี่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เด็กหนุ่มนั่นไม่รู้จักเป็นตาย จะต้องใช้วิธีโง่เขลาเดินหน้าไป ฝ่าค่ายกลลวงตาไปทีละค่าย ใช้มันเดิมพันว่าตนไม่มีกำลังฝ่าค่ายกล…สถานการณ์ตอนนี้คือเด็กหนุ่มดวงดีนั่นเดิมพันถูกเพียงครึ่งเดียว แต่กระตุ้นจิตสังหารของเจียงหลินสำเร็จแล้ว

หากเจียงหลินจับหนิงอี้ได้ เขาจะให้เด็กหนุ่มนี่ต้องรับผลกรรมที่ตนก่อไว้

การฝ่าค่ายกลลวงตาพวกนี้กินกำลังวังชาจริงๆ

ชั่วครู่ต่อมา

ไม่เกิดเรื่องที่เจียงหลินกังวลขึ้น

ยอดปีศาจหนุ่มที่เก็บวิชาลับพรสวรรค์สายเลือดกิเลนหน้ามืดทะมึน ถือล่าวารี สีหน้ายากจะเอ่ยได้

ฝ่ามาทีเดียวเจ็ดแปดค่ายกลลวงตา ในนั้นยังมีค่ายกลที่อันตรายด้วย ถูกเขาใช้เนตรสวรรค์ประจำเผ่าฝ่าออกมา จนมาถึงที่นี่…แต่สิ่งที่เห็น ที่นี่กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า

ไม่มีอะไรเลย

คือไม่มีอะไรเลยจริงๆ

กลิ่นอายพลังของเด็กหนุ่มเด็กสาวนั่นหายไปหมด

……

“หนิงอี้ ตอนนี้เรา…ปลอดภัยแล้วรึ”

ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หนิงอี้ก็ส่ายหน้า จากนั้นพูดเบาๆ จากในลำคอ

“ยังไม่ปลอดภัย”

ยังไม่รู้กลอุบายทุกอย่างเกี่ยวกับยอดปีศาจกิเลนนั่น

หากค่ายกลลวงตาพวกนั้นขวางเขาไว้ไม่ได้ล่ะ

หนิงอี้มั่นใจในยันต์อำพรางตัวของเด็กสาวมาก แม้แต่ยอดค่ายกลของจวนขานฟ้ายังไม่พบพิรุธ แต่คู่ต่อสู้ในครั้งนี้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสุดยอดในรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ คุณชายครามแห่งจวนขานฟ้าเจอยอดปีศาจตอนนี้ เกรงว่าคงต้องยอมอย่างว่าง่าย ไม่อย่างนั้นไม่ทันไรคงถูกทุบตีจนเละ

อาศัยเวลาและโอกาส หนิงอี้ถึงได้ไกล่เกลี่ยกับเขาได้

ใครจะไปรู้ว่าใต้ฟ้าเผ่าปีศาจมีกลอุบายอะไรอีก

เดินอยู่ข้างนอก ระมัดระวังต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่มีผิดเสมอ

ดังนั้นเสียงที่เบามากดุจยุงและแมลงวันดังข้างหูหนิงอี้อีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย

“เช่นนั้น…เมื่อไรถึงจะ…วางข้าลง…”

หนิงอี้เพิ่งรู้ตัวว่าระหว่างที่ตนเดินหน้าไปนั้น แม่นางที่กอดตนไว้ดูเกะกะจริงๆ เขาใช้คัมภีร์แสวงมังกรคาดการณ์ไปเรื่อย ต้องมองไปรอบๆ ดังนั้นจึงกอดสวีชิงเยี่ยนไว้เหมือนตอนนั้นที่เดินทางในภูเขาแดงโดยจิตใต้สำนึก

เห็นใบหน้ารูปไข่งดงามหยาดเยิ้มของเด็กสาวแดงจนเหมือนจะซึมออกมาเป็นเลือดแล้ว หนิงอี้ก็นึกถึงตอนที่เพิ่งเข้าตำหนักทองสัมฤทธิ์ เหมือนจะเป็นเช่นนี้…

เขารีบวางสวีชิงเยี่ยนลง เอ่ยเสียงเบาๆ ในใจ ‘ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมแล้ว…’

ทำเช่นนี้ดูไม่ดีจริงๆ

หนิงอี้อายุไม่มาก หลังติดตามสวีจั้งเข้าเขาสู่ซานก็มีใจฝึกบำเพ็ญอย่างเดียว ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องประโลมชายหญิงมากขนาดนั้น ในด้านนี้ หนิงอี้ไม่เหมือนพวกเสเพลต่ำช้าในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมสูงส่งมากกว่า

เมื่อนึกย้อนกลับไป

ก่อนหน้านี้เกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยไม่ได้สนใจมากขนาดนี้ ตอนนี้ดูแล้วไม่ถูกต้องจริงๆ

หนิงอี้ถอนหายใจเบา “แม่นางสวี เมื่อครู่ล่วงเกินไป…ขออภัยด้วย”

สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร

ตลอดเส้นทางนี้ นางยังคงส่งความเป็นเทพเข้าไปในใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งในมือตลอด ใบไม้แกว่งไกว นางกระตุ้นสร้างยาพิษในกายตน

หนิงอี้ได้สติกลับมา ความเป็นเทพในกายตนเติมเต็มอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน สิ่งที่ยื้อเขามาจนถึงตอนนี้…ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่นางสวีที่ดูทึ่มทื่อคนนี้

หนิงอี้วางสวีชิงเยี่ยนลง สองคนเดินไปในสุสานเงียบๆ รอบกายไม่มืดอีก บนฟ้าไกลออกไปมีมุกใสประดับ พันปีไม่มอดดับ ในที่สุดก็เปล่งแสงลับๆ ทำลายเงามืด

เหมือนเดินออกมาจากเงามืดเข้าสู่แสงสว่าง

แม้แสงสว่างนี้จะไม่ได้สว่างจ้า เบาจนเหมือนเชื้อไฟที่จะดับลงได้ตลอดเวลาก็ตาม

หนิงอี้พลันพูดขึ้น ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าเร่งความเป็นเทพรึ”

สวีชิงเยี่ยนขานรับเบาๆ

“เจ้าไม่กลัวว่าความเป็นเทพพวกนี้…จะให้เจ้าตายรึ” หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนพลางพูดอย่างจริงจัง “พวกนี้เป็นยาพิษร้ายแรงสำหรับเจ้า ตอนนี้กำเนิดมาเร็วขนาดนี้…”

คำว่า ‘จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้’ อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป

หนิงอี้ครุ่นคิดเงียบๆ คำพูดนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง อย่างน้อยตนก็ช่วยนางได้

สวีชิงเยี่ยนรู้ว่าหนิงอี้กำลังคิดอะไร นางเลยพูดด้วยรอยยิ้ม

“หนิงอี้…เจ้าช่วยข้าได้นะ”

แต่เมื่อเอ่ยนางก็ต้องเสียใจภายหลัง

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ…

หนิงอี้เพียงแค่พูดด้วยความลำบาก “แม่นางสวี…เจ้าทุกข์เพียงใด”

แม่นางสวี แม่นางสวี แม่นางสวี

สามคำนี้วนเวียนในใจนาง แกว่งไปมาไม่หายไป

สวีชิงเยี่ยนหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ตลอดทางมานี้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น หนิงอี้ก็จะเรียกแค่ว่าแม่นางสวี

นางสูดลมหายใจเข้าลึก ทำหน้ายิ้ม “ไม่เป็นไร คุณชายหนิงอี้”

นางเสียงเบามาก ครั้งนี้นางจงใจใช้คำพูดเคารพ เรียกว่าคุณชาย