ตอนที่ 135 มอบกระดูก
ทางเดินยาวและมืด ตำหนักใหญ่สวยงามแห่งนี้ไม่รู้อยู่มานานเท่าไรแล้ว ตกตะกอนฝุ่นดินเท่าไร รับเงามืดเท่าไร…หลังผ่านค่ายกลจำนวนมากมา ในที่สุดก็พบแสงสว่าง
มุกใสที่ลอยอยู่บนฟ้าถูกกาลเวลาชะล้างฝุ่น ส่งเสียงดังซาๆ สาดแสงอบอุ่น
บางทีอาจเป็นเพราะใกล้กับส่วนลึกสุดของตำหนักภูเขาแดง ไอวิญญาณวารีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แสงอ่อนเหนือศีรษะสาดลงมาดังซ่าๆ ที่แท้ในเส้นแสงนั้นก็มีสายฝนที่ตกลงมาเต็มไปหมดเหมือนกับเข็มและด้าย
ดอกฝนหลายดอกกระจายบนบ่าหนิงอี้
เขากางร่มกระดาษมันเงียบๆ ช่วงที่ต่อสู้กับยอดปีศาจกิเลนนั่น ใบร่มพินิจเหมันต์เว้าลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก ผนึกยันต์ในโครงร่มยังอยู่ ยังไม่ขาด ตอนนี้กางร่ม เสียงจึงดังถี่แปะๆ
เด็กสาวไม่พูด หนิงอี้กางร่ม สองคนอยู่ใต้ร่ม
ยืนใกล้มาก แต่กลับห่างกันมาก
แม้เด็กหนุ่มกับเด็กสาวจะเดินด้วยกัน แม้จะเคียงข้างกัน แต่ก็เข้าสู่ความเงียบที่พูดยากอย่างหนึ่ง ลึกๆ ในใจสองคนต่างนึกถึงบางอย่าง เรื่องที่ซับซ้อนเข้าใจยาก ก็เหมือนสายฝนที่ไหลใต้แสงอ่อน วนเวียนเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ตกลงบนใบร่ม พลิ้วไหวดุจควัน ต้องแสวงหา
สวีชิงเยี่ยนเอ่ยก่อน
“คุณชายหนิงอี้ ขอบคุณที่เจ้าดูแลข้าระหว่างทางนะ”
นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจมาก เร็วแต่ก็ช้ามาก แต่เสียงกลับแหบเล็กน้อย
หนิงอี้ก้มหน้าลง ไม่รู้กำลังคิดอะไร
เขาเดินช้ามาก แต่เส้นทางนี้ไม่ถือว่ายาวไกล เดินผ่านทางยาว ตรงหน้าเป็นวิหารหลัก มุกใสลอยเต็มฟ้า แสงสว่างอ่อนโยน สายฝนโถมเข้ามาตรงหน้า หนิงอี้หันหน้าเล็กน้อย เห็นแก้มเด็กสาวมีความเปียกนิดๆ
“จากนี้แม่นางสวีจะทำอย่างไรต่อ”
หนิงอี้หยุดเดิน ถอนหายใจเบาในใจ ก่อนพูดอย่างจริงจังมาก “หากไม่มีอะไรผิดพลาด ข้าจะส่งเจ้าออกจากภูเขาแดง หากเจ้าต้องการอิสระ ข้าช่วยเจ้าออกจากแดนประจิมได้ แม้องค์ชายสามจะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่ได้มากเท่าฟ้า ข้ารู้จักเฉินอี้แห่งเทือกเขาประจิม เขาออกหน้าปกป้องเจ้าได้”
สวีชิงเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “จากนั้นล่ะ”
หนิงอี้พูดไม่ออก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงพูดอย่างละอายใจ “สิ่งที่ข้าทำได้มีขีดจำกัดจริงๆ เฉินอี้อาจจะช่วยข้า แต่หลี่ไป๋หลินไปหาหอสามวิสุทธิ์สำนักเต๋าก็เป็นแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น…ถึงข้าจะเกลียดองค์ชายสาม แต่มีอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือใต้ฟ้านี้ ใต้ฟ้าต้าสุย หากเขายึดมั่นจะพบใคร ก็ไม่มีใครขวางได้”
สวีชิงเยี่ยนถามด้วยรอยยิ้มต่อ “คุณชายหนิงอี้อยากให้ข้ามีอิสระหรือ”
หนิงอี้ถือร่มกระดาษมัน พลันรู้สึกจิตใจปั่นป่วน เขาไม่ได้มองใบหน้าเด็กสาวข้างกาย แต่รู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่าย ใบหน้าของเด็กสาวงดงามมากจริงๆ เขากลัวว่าตนมองนางแวบเดียวแล้วจะพูดในสิ่งที่ไม่ควร
บางคำจะพูดออกไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มกลับกลั้นใจไว้
อย่างเช่นความจริงเขาอยากให้นางอยู่ หากเป็นไปได้ เขาก็ยินดีจะเปิดกรงให้กับนาง
หากหนิงอี้บอกไปเช่นนี้ สวีชิงเยี่ยนก็ยังพูดคำนั้น
จากนั้นล่ะ
ใต้ฟ้านี้ มีที่ใดที่นางอาศัยอยู่ได้บ้าง
เป็นนกในกรงองค์ชายสาม ใต้ฟ้าต้าสุยก็คือทั้งกรงของนาง
ที่นี่คือภูเขาแดง คือแดนอุดร คือก้นทะเลพลิกผัน ดังนั้นตอนนี้นางจึงมีอิสระเพียงชั่วครู่ เมื่อนางกลับต้าสุย เช่นนั้นทุกอย่างจะถูกวางลงใหม่ นางไม่มีทางที่จะไม่ต้องกลับเข้าไปในกรงนั้นอีก
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองสายฝนผ่านใบร่ม ละอองน้ำกระเพื่อม เสียงดังวุ่นวายตกลงทะเลสาบจิต
ใจมรรคของตน เดิมทีแข็งแกร่งยิ่ง ตอนนี้กลับลังเลเล็กน้อย
ผู้ฝึกบำเพ็ญ เจ็ดอารมณ์หกความปรารถนา เรื่องทางโลก ไม่อาจเลี่ยงได้ หนิงอี้ฝึกวิถีกระบี่ ก็ใช้กระบี่เดียวฟันฝ่ามาตลอด ไม่เคยลังเล ไม่มีถอย หนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง
แต่เมื่อเขาวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งของสวีชิงเยี่ยน อยากจะแก้สถานการณ์แทนเด็กสาวคนนี้ กลับพบว่ายากมากจริงๆ เขาไม่มีวิธีโน้มน้าวให้สวีชิงเยี่ยนละทิ้งทุกอย่าง วางความเป็นตายไว้ข้างนอก และแสวงหาเพียงสิ่งเลื่อนลอยบางอย่าง เช่นอิสระ เช่นแสงสว่าง…เพราะหนิงอี้รู้ว่าหากตนพูดเช่นนี้ เด็กสาวก็จะทำเช่นนั้นจริงๆ
ความเป็นเทพในกายสวีชิงเยี่ยนกดมาหลายปี วันนี้เริ่มกำเนิดขึ้นเหมือนเขื่อนแตก ต่อให้เฉินอี้จะปกป้องนางได้ แล้วจากนั้นล่ะ ต่อให้หลี่ไป๋หลินไม่ไปหานางอีก แล้วจากนั้นล่ะ
สุดทางของชีวิตคือความตาย
เจ้าจะโน้มน้าวคนหนึ่งอย่างไรว่าให้ละทิ้งชีวิต แค่เพราะความชอบของเจ้าคนเดียว
เหตุผลที่หนิงอี้จิตใจปั่นป่วนก็เพราะจุดนี้
หนิงอี้ทำไม่ได้
…….
ขณะที่จิตใจกำลังสับสนนั้น
สวีชิงเยี่ยนพลันพูดเสียงเบา “คุณชายหนิงอี้ ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลมาก เจ้ายังมีศัตรูอีกเยอะที่ต้าสุย เรื่องร้อยแปดอย่างพัวพัน แต่ชิงเยี่ยนไม่ขออย่างอื่น ขอแค่อย่างเดียว”
หนิงอี้มองเด็กสาวด้วยใบหน้างุนงง
สวีชิงเยี่ยนเอ่ยทีละคำนิ่งๆ “ออกจากภูเขาแดง ชิงเยี่ยนเข้าวังแล้ว หากคุณชายยังมีเวลา ก็ขอให้มาเยี่ยมชิงเยี่ยนที่วังบ่อยๆ”
หนิงอี้จับโครงร่ม
ละอองฝนบนร่มกระดาษมันพลันเดือดพล่าน ส่งเสียงดังเปาะแปะ
หนิงอี้เอ่ยเสียงแหบ “เจ้าจะเข้าวัง”
“ชิงเยี่ยนต้องไปที่ใดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่ แล้วก็หลี่ไป๋หลิน” เสียงสวีชิงเยี่ยนเหมือนไฟวูบไหว เอ่ยเบาๆ “ข้าตัดสินใจไม่ได้”
“ในวันครบรอบของฝ่าบาท พวกเขาเตรียมส่งข้าออกไปแล้ว หลังใช้ความเป็นเทพเปิดภูเขาแดง วันล่าเหยื่อจบลง ข้าก็จะถูกส่งเข้าวัง” เด็กสาวหมุนตัวกลับมามองหนิงอี้ เห็นใบหน้าที่ซีดขาวและเหลือเชื่อนั้น ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “เหตุใดคุณชายถึงเงียบไปล่ะ หรือว่านี่ไม่ใช่ที่พักพิงที่ดีกัน…ข้ายังเป็นแค่นกลายทอง เพียงแค่เปลี่ยนเจ้าของเท่านั้น แต่ในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลง หวังว่าฝ่าบาทจะต้อนรับข้าดีหน่อย”
หนิงอี้จับด้ามพินิจเหมันต์แน่นขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวเหมือนจะไม่สังเกตเห็นตรงนี้ นางยิ้มเย้ยเยาะตนเอง “ชิงเยี่ยนรู้ตัวดี เป็นนกในกรง และยังถูกองค์ชายสามมองเป็นเนื้อต้องห้าม หลี่ไป๋หลินหูตาไวในเขตต้าสุย หากข้าดึงคุณชายมาด้วย จะสร้างปัญหาให้คุณชายมากมาย…หลังออกไปแล้ว คุณชายไม่จำเป็นต้องบอกว่ารู้จักข้า”
หนิงอี้หน้าซีดขาว
เขาส่ายหน้า อยากบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้น
เด็กสาวพูดเสียงเบาต่อ “ข้ารู้ว่าคุณชายหนิงอี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น เจ้าต้องโดดเด่นกว่าใครในรุ่นเยาว์ต้าสุย ฐานะพิเศษ และยังเป็นศิษย์น้องของตัวอ่อนสังหารสวีจั้ง ล่วงเกินเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย หากให้เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นรู้ก็จะส่งผลไม่ดีกับข้าเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร หลังออกไปแล้ว อยู่กับคนนอกเราจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน แบบนี้ดีที่สุดแล้ว”
หนิงอี้กัดฟัน อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“เพียงแต่คงไม่ค่อยมีโอกาสนั้นหรอก…เป็นไปได้ว่าข้าจะถูกขังในจวนต่อไป เพียงแค่เปลี่ยนที่เท่านั้น จวนที่ฝ่าบาทมอบให้น่าจะใหญ่กว่าเดิม กว้างกว่าเดิม ดังนั้นคงไม่ได้พบเจอคนนอก”
“ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร” สวีชิงเยี่ยนชะงักไปก่อนจะเค้นรอยยิ้ม “คุณชายหนิงอี้ ด้วยคุณสมบัติและความแน่วแน่ของเจ้า อีกไม่นานจะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแน่นอน ถึงตอนนั้นอยากเข้าวัง…ก็จะง่ายมาก ตอนผ่านทาง ยินดีมาคุยกับข้าที่จวนบ้าง ชิงเยี่ยนก็พอใจมากแล้ว”
ทะเลสาบจิตของหนิงอี้เริ่มไม่สงบนิ่งอีกเพราะคำพูดพวกนี้
เด็กหนุ่มถือร่มส่ายหน้า พูดเสียงแหบ “ไม่ใช่แบบนั้น”
“ข้าไม่ได้กลัวหลี่ไป๋หลิน ขุมอำนาจแดนประจิมยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ช่าง” หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนพลางพูดนิ่งๆ “กระบี่ในมือข้า หากยึดมั่นจะทำสิ่งใด เช่นนั้นใต้ฟ้านี้ ใครก็ขวางข้าไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะถ่วงขาข้า หรือข้าถ่วงขาเจ้า จะไม่เกิดสองสถานการณ์นี้ขึ้น อย่าคิดมาก”
“ข้าแค่หวังให้เจ้าไปตามเจตนาเดิมของตน หากต้องการให้ข้าช่วยอะไร ข้าจะทำให้”
หนิงอี้มองเด็กสาว กลับได้รับเสียงหัวเราะเบาๆ
“หากไม่มีคุณชายหนิงอี้ ชิงเยี่ยนคงตายในภูเขาแดงไปแล้ว”
เด็กสาวบีบมือแน่น ปลายนิ้วจิกเป็นรอยเลือดไม่ลึกไม่ตื้น นางเงยหน้าขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “หากมีโอกาส ชิงเยี่ยนแค่อยากตอบแทนบุญคุณของคุณชาย ไหนเลยจะกล้าเรียกร้องสิ่งอื่นอีก”
หนิงอี้เงียบ เขาปล่อยด้ามร่ม ใช้จิตคุมกระบี่ พินิจเหมันต์ลอยอยู่เหนือศีรษะสองคน
หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งกดระหว่างคิ้ว แสงสีขาวซึมออกมาเป็นสาย
สวีชิงเยี่ยนงุนงงเล็กน้อย ใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวในมือนางสั่นสะเทือนเบาๆ แกว่งไกว แสงสว่างส่องไปรอบๆ
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจยาว
“เข้าวังไปแล้ว หากหาแพทย์ดีไม่พบ ใบไม้มากกว่าครึ่งนี้ยกให้เจ้า หากความเป็นเทพกำเนิดเร็วเกินไปก็ให้ใส่ไปในนี้” หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยน “เจ้าเองก็มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าเช่นกัน แต่ข้าล่วงเกินสององค์ชายต้าสุย ออกไปแล้วคงจะมีชีวิตที่ไม่ราบเรียบนัก ส่วนจะพบหน้ากันก็ต้องดูที่โชคชะตา ข้าหวังว่าจากนี้เจ้าจะมีชีวิตอย่างสงบในวัง ก็ถือว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนเหม่อมองใบไม้ขลุ่ยกระดูกแผ่นใหญ่
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ห้ามให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด”
เด็กสาวบีบขลุ่ยกระดูกไว้เงียบๆ เล็บจิกลึกลงเนื้อ อยากจะฝังใบไม้นี้เข้าไปในกระดูกใจจะขาด
“ข้าคิดมาตลอดว่า แม้เจ้ากับข้าจะมีโชคชะตาต่อกัน แต่สุดท้ายก็จะห่างกันไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่คนโลกเดียวกัน”
หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ข้ามาเมืองหลวง เหตุผลส่วนใหญ่เพราะอยากทำในสิ่งที่ศิษย์พี่ข้าทำไม่สำเร็จ…แม้เรื่องนี้จะเพ้อฝันมาก แต่ข้าก็ยังแน่วแน่”
สวีชิงเยี่ยนมองเด็กหนุ่มด้วยความงุนงง
“ตอนนี้ดูแล้ว โชคชะตาเป็นสิ่งที่อัศจรรย์จริงๆ” หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ความจริงข้าไม่ได้สูงส่งอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมเลย ชิงเยี่ยน…หากเจ้ารู้ตัวตนข้าจริงๆ จะผิดหวังหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า
นางพูดเสียงเบาและยังแน่วแน่ “คุณชายหนิงอี้ไม่มีวันทำให้ข้าผิดหวัง”
หนิงอี้ยิ้ม “ยังเรียกข้าคุณชายหนิงอี้อีกรึ”
เด็กสาวอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด ย่อยคำพูดเมื่อครู่ของหนิงอี้เงียบๆ
สายฝนบนฟ้าไม่หนัก
บนร่มมีละอองน้ำกระเซ็น
ใต้ร่ม
มีคนน้ำตานองหน้า