หลังจากศึกอันหนักหน่วงและยาวนานระหว่างทัตและพิมกับพวกผึ้งยักษ์ได้จบลงด้วยชัยชนะของพวกทัต พิมก็พยุงทัตกลับห้อง ณ ตอนนั้นเป็นเวลา 5 ทุ่ม

นอกเหนือไปจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับบาดแผลของทัตแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการฆ่าเวลา เพราะบอกตามตรงว่าการเจอศึกหนักขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ทัตไม่อยากจะเจออีกเป็นครั้งที่สองอย่างน้อยก็ในคืนนี้

ด้วยเหตุนั้น เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของจิตใจ ทัตกับพิมก็เลยไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการพักผ่อนฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือบ้างเล่นโทรศัพท์บ้าง จนกระทั่งยามเช้าได้มาถึง เวลาก็ถูกย้อนกลับไปตอน 6 โมงเย็นก่อนที่จะเกิดเรื่องอีกครั้ง และนั่นแหล่ะคือจุดสิ้นสุดอันแท้จริงของศึกในคืนนั้น

หลังแยกย้ายส่งพิมไปยังรถของครอบครัวที่ขับมารับเรียบร้อยแล้ว ทัตก็ไม่มีแรงจะทำอะไรอื่นนอกจากรีบอาบน้ำและเข้านอน เพราะความยากลำบากในการเอาตัวรอดรวมถึงความปลอดโปร่งที่รอดตายเลยทำให้เขารู้สึกอยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มขึ้นมา

…แต่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนอนให้เต็มที่จนกระทั่งยามเช้าได้มาถึงนั่นแล

❖❖❖❖❖

“เฮ้ยเพื่อน วันนี้จะไม่ไปเที่ยวไหนหน่อยเหรอ?”

พอกริ่งเวลาหลังเลิกเรียนดังขึ้น ทัตที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋าก็ถูกทักโดยพล เพื่อนจากกลุ่มเดียวกับที่พิมพาไปเที่ยวในวันแรก

ถ้าจะถามว่าดีใจไหมก็ต้องตอบว่าดีใจ… อย่างน้อยทัตก็ไม่ใช่คนประเภท Introvert จ๋าขนาดนั้น

แต่ก็อย่างที่รู้ ว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ทัตยังกังวลว่าตัวเองอาจยังแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะเอาตัวรอดในค่ำคืนแรกที่มีมอนสเตอร์โผล่ออกมา ทำให้เขาอยากจะเน้นกิจวัตรประจำวันไปกับการเตรียมตัวเก็บเลเวลในช่วงกลางคืนมากกว่าจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน

“ฉันอยากรีบกลับไปเล่นเกมน่ะ”

ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่อยากไปเฉย ๆ ก็กลัวว่ามันจะทำให้ทุกคนมองว่าทัตเป็นพวกเก็บตัวเขาก็เลยอ้างไปแบบนั้น เพราะสำหรับเด็กวัยรุ่นแล้ว การใช้ช่วงเวลาพักผ่อนไปกับการเล่นเกมหลังเลิกเรียนหรือโต้รุ่งทั้งวันทั้งคืนมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

“เกมอะไรอ่ะ? ฉันเคยเล่นป่ะ?” พอทัตว่าแบบนั้นกล้าก็เข้ามาถาม ดูท่าเขาเองก็น่าจะเป็นเด็กติดเกมเหมือนกันถึงได้กระตือรือร้นขนาดนั้น

ในขณะที่ทัตรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่โกหกเพราะตัวเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะจำนวนครั้งที่เขาเล่นเกมต่อสัปดาห์นั้นน้อยจนนับครั้งได้เลย

“กะ เกน*น อิมแพคน่ะ” ทัตพูดไปสุ่ม ๆ เพราะเห็นเกมนั้นผ่านตาตัวเองบ่อยสุดในตอนที่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค

“เอาจริงดิ! ฉันเองก็เล่นเหมือนกัน” คราวนี้ไม่ใช่แค่กล้า แต่หนุ่มเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยเมื่อได้ยินทัตบอกแบบนั้น

“แต่เลเวลฉันไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่หรอกนะ ยังไม่ถึงสิบเลยด้วยซ้ำมั้ง” ทัตไม่ได้บอกปัด แต่พยายามพูดออกไปเพราะอยากให้อีกฝ่ายปฏิเสธ และที่สำคัญคือเขาก็ไม่ได้โกหกด้วย

“เรื่องนั้นไม่เห็นเกี่ยวเลย!”

“ใช่มะ! เกมน่ะมันต้องเล่นด้วยกันสิถึงจะสนุก!”

“ฉันเองก็ยังไม่เคยเล่นเลยด้วยซ้ำ”

แต่ดูเหมือนว่าทั้งกล้า หนุ่มและพลจะไม่สนใจเรื่องนั้น พวกเขาสนใจเรื่องที่จะได้เล่นด้วยกันมากกว่าเรื่องความแข็งแกร่งของตัวละครสมมุติ มองในแง่นั้นก็ถือว่าพวกเขาเป็นคนดีเอาเรื่อง

…ก็ถ้าไม่ติดว่าทัตเคยเห็นว่าพลเป็นคนขี้กลัวขนาดไหนตอนที่เกิดเรื่องครั้งแรกนั่นจนหนีเตลิดไปหลายต่อหลายรอบล่ะก็นะ

แต่ทัตเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้อยู่เหมือนกัน เลยไม่ได้มองว่าพลเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น

อย่างไรก็ดี… ทัตสังเกตเห็นว่าในจังหวะที่มีเพื่อนเข้ามาคุย พิมที่กำลังคุยกับเพื่อนผู้หญิงกลุ่มของเธอเองก็แอบเหลือบมองมาทางนี้หลายต่อหลายครั้ง พอได้จังหวะที่สบตากับทัตเธอก็ดันยิ้มออกมาใส่เขาเสียอย่างนั้น

และไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันดูหยอกเย้าหรืออย่างไรทัตเลยรู้สึกเหมือนถูกแกล้งจากเธอ แม้ว่าในความเป็นจริง ที่พวกพลเข้ามาคุยกับเขามันจะไม่ได้เป็นเพราะเธอเลยก็ตาม

ทว่า… แม้พิมจะทำเหมือนหยอกเย้าและสนุกสนานในสถานการณ์ที่ทัตลำบากใจก็ตาม แต่รอยยิ้มของเธอก็ยังแฝงด้วยความปรารถนาดีและดีอกดีใจที่ทัตมีเพื่อนเป็นของตัวเองเหมือนกัน

เจ้ากี้เจ้าการจริงนะแม่คุณ

ทัตเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ

เพราะจะอย่างไรเสีย ทัตก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่ได้มีเพื่อนคนอื่นนอกเหนือไปจากพิม ยิ่งถ้าได้รู้ว่ามันจะทำให้พิมเป็นกังวลเรื่องของเขาน้อยลงแล้วมันก็น่าจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ในความคิดของทัต

ซึ่งทางด้านของพิมที่เห็นแล้วว่าทัตดูสนุกสนานกับเพื่อน เลยทำให้เธอดีใจไปด้วยจริง ๆ อย่างที่ทัตคิดนั่นแหล่ะ

แต่ก็จนกระทั่ง…

“นายเองก็เล่นเกมนั้นเหมือนกันเหรอ? บังเอิญจังเลย ฉันเองก็เหมือนกัน!”

ในระหว่างที่พวกพลกำลังคุยกับทัตอย่างสนุกสนาน มิ้นที่บังเอิญได้ยินบทสนทนานั้นก็เข้ามาแจมด้วยอีกคน เธอดันแว่นตัวเองขึ้นด้วยความสนใจเอามาก ๆ ในจังหวะที่ได้ยินเรื่องของทัต

ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นมาตั้งแต่วันแรกที่ทุกคนเข้าเรียนแล้วไปนั่งเล่นคาเฟ่เมื่อครั้งนั้นแล้ว

ด้วยเพราะมิ้นมีความสนใจในไลท์โนเวลเหมือนกับทัตเลยทำให้เธอรู้สึกว่าน่าจะสนิทกับทัตได้ แถมพอได้ยินว่าทัตเองก็เล่นเกมเดียวกับเธออีก มันก็แน่อยู่แล้วที่จะยิ่งสร้างความสนใจให้กับเธอและอยากจะสนิทกับทัตยิ่งขึ้นไปอีก

“เป็นอะไรไปเหรอพิม?”

“เอ๊ะ? ปะ เปล่า ไม่มีอะไรซะหน่อย”

ในขณะที่พิมกลับนิ่งไปสักพักหลังเห็นมิ้นเข้าไปคุยกับทัตอย่างสนิทสนม นิ่งไปจนแพรที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่กำลังคุยอยู่ต้องทักถามเลยทีเดียว แต่ถึงเธอจะแสดงท่าทางผิดปกติออกมาให้เห็น พิมก็รีบปรับท่าทางตัวเองใหม่ให้กลับมามีรอยยิ้มตามปกติเหมือนเดิม

…ถึงแม้ตอนนี้หางตาของเธอจะจับจ้องไปที่ทัตกับมิ้นตาเป็นมันเลยก็ตาม

“ก็บอกแล้วว่าฉันเพิ่งหัดเล่น ยังไม่ค่อยรู้ Mechanic ของเกมเท่าไหร่หรอก” ทัตเอ่ยพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาเพิ่งจะเล่นไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

อนึ่ง… ตอนนี้เขาเก็บของเสร็จพร้อมสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากห้องแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าเป็นเพราะมิ้นเข้ามาคุยด้วยเลยทำให้เขายังปลีกตัวกลับไม่ได้

“งั้นเดี๋ยวฉันสอนให้ไหมล่ะ?” มิ้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทัตจนเขาเผลอชักเท้าหนีด้วยความตกใจ

“ไม่เป็นไร… ยังไงเล่น ๆ ไปเดี๋ยวก็เป็นเองแหล่ะน่า” ทัตยกมือปกป้องตัวเองเป็นเครื่องหมายว่าอย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้เลยนะได้โปรด

เพราะไม่งั้นเขาคงถูกพิมฆ่าเอาแน่… ทัตที่รู้สึกว่าแผ่นหลังถูกอาบไปด้วยความเย็นยะเยือกจากการถูกจ้องจากระยะไกลเหมือนถูกข่มด้วยจิตสังหารเลยเผลอคิดแบบนั้นไม่ได้

แม้ในความเป็นจริง คนที่พิมจ้องอยู่จะไม่ใช่เขาแต่เป็นมิ้นก็ตามที

❖❖❖❖❖

หลังจากได้คุยเล่นกันไปพักหนึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับบ้านหรือห้องหอของตัวเอง แต่ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะทัตกลัวว่าพิมจะมาโกรธเขาทีหลังก็เลยพยายามรีบตัดบทสนทนาเพื่อกลับหอเร็ว ๆ

เป็นเพราะไม่ได้นัดกันจะไปเที่ยวไหนเป็นพิเศษ รวมถึงทัตที่บอกเหตุผลไปแล้วว่าอยากจะรีบกลับบ้านมากกว่า ทุกคนก็เลยนัดกันว่าจะไปติดต่อกันทีหลัง

และหลังจากผ่านเรื่องน่าหวาดเสียว (ฮา) มาเมื่อกี้ ทัตเองก็คิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว เขาจะได้รีบกลับหอไปเตรียมตัวสำหรับการออกล่าในคืนนี้เสียที

พิมที่ตามมากับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของเธอซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากกลุ่มของทัตเองก็คงคิดแบบเดียวกันถึงได้เริ่มบอกลากันแล้ว นั่นก็เพื่อที่จะได้ไปรวมตัวกับทัตที่ห้องของเขาเหมือนกับเมื่อวานนั่นแหล่ะ

แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นอีกครั้งที่ทั้งสองคนคิดผิดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว…

“!?”

ในจังหวะที่ทัตเดินพ้นประตูรั้วโรงเรียนทางด้านหน้าไปและกำลังจะแยกย้ายจากกลุ่มเพื่อน ในตอนนั้นเขาก็สังเกตว่าทางฟุตบาทตรงป้ายหน้าโรงเรียนนั้นมีใครคนนึงยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

เธอเป็นเด็กสาวร่างเล็กบอบบาง หน้าตาน่ารักราวกับเป็นตุ๊กตาที่ถูกแต่งในชุดนักเรียน นั่นคือจุดเด่นอย่างแรกที่ทำให้ทุกคนที่เดินผ่านไปมาต้องหยุดมองเธอกันเกือบทุกคน และอย่างที่สองคือผมบลอนด์สีธรรมชาติและโครงหน้าที่สวยได้รูปเพราะเธอเป็นลูกครึ่งไทยรัสเซีย และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกแยกคือชุดนักเรียนที่เธอสวม เพราะมันไม่ใช่ชุดนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่ทัตเรียนอยู่หรือแม้แต่โรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ หากแต่เป็นโรงเรียนชื่อดังที่ตั้งอยู่ไกลถึงต่างอำเภอเลยทีเดียว

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาวเอ่ยทักในจังหวะที่ทัตกำลังจะเดินผ่านไปข้ามถนนทำให้เขาต้องหยุดเท้า

“ฝ้าย?” ทัตจึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสับสนว่าทำไมเด็กสาว… ฝ้ายถึงได้มารอเขาอยู่ตรงนี้

ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของเพื่อน ๆ ของทัตทั้งพล กล้า หนุ่มและมิ้น หมายรวมถึงพิมกับแพรที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ

ทุกคน (ยกเว้นพิม) ต่างก็คิดสงสัยเหมือนกันหมดว่าเด็กสาวน่ารักคนนี้เป็นใครและเป็นอะไรกับทัต

“เฮ้ย เดี๋ยวนะ… เด็กผู้หญิงน่ารักคนนี้เป็นใครกันเพื่อน” และคนที่กล้าเอ่ยถามก็คือพลที่เอื้อมมือมาแตะบ่าของทัต ราวกับบังคับขู่เข็ญ

แต่ถึงจะไม่ต้องทำแบบนั้น ทัตก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว

และแม้จะเป็นแบบนั้น ทัตก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่ดีในทุกครั้งที่ตอบคำถามทำนองนี้

“…น้องสาวน่ะ”

“ “ “ “ “เอ๊ะ? …เอ๋!!!!!” ” ” ” ”

และคำตอบของทัตก็สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาทุกคนอย่างที่คาด จนพวกเขาถึงกับร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายเลยทีเดียว

เฮ้อ… นี่ถ้ารู้ว่าเป็นน้องสาวบุญธรรมลูกติดแม่ใหม่ด้วยจะเป็นยังไงต่อกันนะ

ทัตแอบคิดแบบนั้นก่อนจะกุมขมับถอนหายใจออกมาอย่างยุ่งยากรำคาญใจ และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกรายละเอียดในเรื่องราวอับซับซ้อนนี้แก่เพื่อนของเขาอย่างแน่นอน

❖❖❖❖❖

หลังจากที่แยกย้ายกับเพื่อน ๆ ฉันกับฝ้ายก็ไปที่ห้องของฉัน

จากที่คุยกัน… ดูเหมือนเธอจะมาเที่ยวเล่นกับเพื่อนแถวนี้ ก็เลยอยากแวะมาหาเพื่อดูว่าฉันยังสบายดีอยู่ไหม

แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่หรอก… ก็แหม คำนวณเวลาเดินทางจากนอกเมืองมาที่นี่แล้วมันไม่ตรงกันกับเวลาเลิกเรียนนี่นา

ถ้าบอกว่ามาหาฉันหลังจากที่ไปเที่ยวกับเพื่อน ก็แสดงว่าฝ้ายโดดเรียนมาน่ะสิ? แต่เรื่องนั้นก็เป็นไปได้ยากเพราะฝ้ายเป็นเด็กที่ขยันและไม่เคยทำอะไรผิดกฎมาก่อนเลย

ครั้นพอเตือนไปด้วยความเป็นห่วง เธอก็ตอบกลับมาว่า “วันนี้เลิกเร็วน่ะค่ะ”

ก็… ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี แต่จะให้เซ้าซี้ต่อเดี๋ยวเธอจะรำคาญเอา ฉันก็เลยพอแค่นั้น

จากนั้นก็ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินมาจนถึงห้องพักของฉัน

ก็นะ ยังไงมันก็อยู่หลังโรงเรียนอยู่แล้ว ใช้เวลานานสิแปลก

“ขอรบกวนหน่อยนะคะ”

พอทัตเปิดประตูให้ฝ้ายเข้ามา เธอก็เอ่ยแบบนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ก้มค้อมตัวหรือทำอะไรที่เป็นทางการนอกจากกล่าวอย่างเป็นมารยาทเท่านั้น

บุคลิกภายนอกของฝ้ายเดิมทีก็ดูสงบเงียบขรึมเกินวัยอยู่แล้ว พอบวกกับกิริยาท่าทางและการวางตัวอย่างเยือกเย็นของเธอแล้วยิ่งทำให้ทัตไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเพิ่งจะอายุ 15 ปี ซึ่งจะว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์ก็คงไม่ใช่ เพราะแม่ของฝ้ายนั้นเป็นคนร่าเริงแจ่มใสดูสนุกสนานเหมือนเป็นวัยรุ่นตลอดเวลา เรียกว่านิสัยคนละขั้วกับฝ้ายก็คงไม่ผิดนัก

ทัตคิดเรื่องนั้นฆ่าเวลาในขณะที่เดินเข้าไปวางกระเป๋าข้าง ๆ เตียงนอน ส่วนฝ้ายนั้นเดินไปอยู่กลางห้องแล้วเริ่มมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

“ยังดูสะอาดดีอยู่นะคะเนี่ย” ฝ้ายเอ่ยเหมือนชื่นชม แต่ก็ด้วยน้ำเสียงและใบหน้าอันเรียบเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูด

“ก็เพิ่งย้ายมาเมื่อสามวันก่อนเองนี่นา” ทัตว่าแล้วยักไหล่ เพราะรู้สึกว่าฝ้ายชมเกินไป

ซึ่งในความเป็นจริง ใครมันจะไปทำห้องรกได้ภายในเวลาแค่นี้กัน? นั่นคือความคิดของทัตก่อนที่จะหย่อนก้นลงที่ขอบเตียง

แต่ใครจะรู้ ว่าฝ้ายเองก็นั่งลงที่ขอบเตียงเหมือนกัน ภาพของฝ้ายที่วางมือลงบนตักของตัวเองอย่างเรียบร้อยนั้นราวกับงานศิลป์ยังไงอย่างงั้น

ท่าทางอันสงบเสงี่ยมนั่นไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ดูงดงามมากจริง ๆ ทำเอาทัตคิดว่าเธอเป็นลูกคุณหนูมาจากไหนในทุก ๆ ครั้งที่ได้เห็น แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกมา เพราะถ้าได้ยินไปถึงหูของพิมคงโดนโกรธที่โดนเปรียบเทียบแน่

และแม้ว่าจะนั่งที่ขอบเตียงเหมือนกัน แต่แน่นอนว่ายังมีระยะห่างจากกันอยู่เพราะทัตนั่งที่แถว ๆ หัวเตียง ส่วนฝ้ายนั่งบริเวณกลางเตียง

ทั้งที่สามารถเลือกที่จะนั่งเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานได้ แต่ฝ้ายก็ยังเลือกนั่งตรงนี้ มันคงสื่อถึงอะไรหลายอย่าง อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าเธอไม่ได้เกลียดที่จะอยู่ใกล้ทัต

และอันที่จริง… มุมมองของเธอที่มีต่อทัตมันก็ควรจะเป็นในแง่บวกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถ่อมาหาเขาถึงต่างอำเภอด้วยตัวคนเดียวเผื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบด้วยความเป็นห่วงหรอก

“พอย้ายมาอยู่คนเดียว แล้วรู้สึกลำบากอะไรรึเปล่าคะ?” เรื่องนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อฝ้ายเอ่ยถามความเป็นอยู่ของทัต

เพราะเห็นอย่างนี้… ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นพี่น้องบุญธรรมที่เพิ่งได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันเพียง 4-5 ปีเท่านั้น แต่ก็ต้องนับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกันมาก

…แต่ก็ไม่ได้สนิทถึงกับพูดคุยได้ทุกเรื่อง อย่างน้อยก็สำหรับทัตที่มีปัญหาค้างคาใจมานานตั้งแต่ตอนประถม เรื่องการแต่งงานใหม่ของพ่อที่กะทันหันเกินไปจนปรับตัวไม่ทันทั้งที่คนอื่นในครอบครัวแม้แต่ฝ้ายเองก็ปรับตัวได้ และสุดท้ายก็กลายเป็นปมด้อยที่ทำให้รู้สึกไม่อยากจะกลายเป็นแกะดำของบ้านจึงพยายามหลีกเลี่ยงหนีออกมา

และถ้าจะมีสาเหตุอะไรที่ทำให้เขากับฝ้ายไม่ได้สนิทกันไปมากกว่านี้ ก็คงเป็นเพราะความรู้สึกกระอักกระอ่วนของทัตนี่แล

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก…” นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ทัตไม่สามารถผายมือรับความปรารถนาดีของฝ้ายได้อย่างเต็มที่

แม้แต่การตอบกลับเธอด้วยบทสนทนาแสนธรรมดาที่ครอบครัวใช้แลกเปลี่ยนกัน ทัตยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ ด้วยสาเหตุหลาย ๆ อย่างอยู่เลย เขาถึงเผลอเบี่ยงหน้าหลบไปทางตรงกันข้ามกับที่ฝ้ายนั่งอยู่โดยไม่รู้ตัวเพราะไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขากระอักกระอ่วนใจ

ทางด้านฝ้ายที่เห็นทัตทำแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันเล็กน้อยก่อนจะเอียงคอและเอี้ยวตัวออกไปให้เห็นหน้าทัต แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จเพราะมันอยู่คนละทิศ

“จริงเหรอคะ… แต่พี่ดูไม่ร่าเริงเลยนะ?” ฝ้ายเอ่ยถามราวกับอ่านใจทัตได้ เพราะแบบนั้นแหล่ะเลยทำให้ทัตรู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำจนคิ้วกระตุก

“…พี่ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่นา”

ทัตพูดเหมือนตัดพ้อแต่มันก็เป็นความจริง… บุคลิกของทัตตอนอยู่ที่บ้านค่อนไปทางเงียบขรึมเหมือนกับฝ้ายก็จริง แต่ถ้าเทียบกันแล้ว รอยยิ้มที่แสดงออกมามีน้อยครั้งกว่ามาก ซึ่งเรื่องนั้นฝ้ายเองก็น่าจะรู้

เธอควรจะรู้นะ…

ทัตคิดประชดประชันแบบนั้นในใจ เพราะหากว่าฝ้ายไม่รู้ มันก็หมายความว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้เป็นห่วงหรือใส่ใจทัตมากพอจะรู้ว่าทัตไม่ได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่บ้าน

และก็เพราะไหล่ที่ตกอย่างห่อเหี่ยว รวมถึงใบหน้าเจ็บปวดและเศร้าโศกของทัตที่แสดงออกมานั่นแหล่ะเลยพาลทำให้ฝ้ายนิ่งไปสักพักนึงตามไปด้วย

แต่ไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอไม่รู้สาเหตุ กลับกัน… เป็นเพราะฝ้ายพอจะรู้สาเหตุต่างหาก เธอถึงนิ่งเงียบไปแล้วพยายามเค้นหาคำพูดเหมาะ ๆ ออกมา

“เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอกค่ะ”

ฝ้ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเสียจนน่ากลัว แม้แต่ทัตเองยังแปลกใจที่แม้บรรยากาศจะขุ่นมัวขนาดนี้เธอก็ยังไม่หวั่นไหวเลย

…แต่นั่นเป็นแค่ในความคิดของทัต

“…เพราะหนูมารบกวนสินะคะ” ฝ้ายเอ่ยพร้อมกับจ้องทัตตาเป็นมัน ยิ่งทำให้ทัตไม่กล้าหันไปมองเธอเข้าไปใหญ่เพราะรู้สึกเหมือนถูกเธอเค้นคอ

“พี่ไม่ได้จะบอกแบบนั้นสักหน่อย” ถึงแบบนั้นทัตก็ยังปฏิเสธ เขาเลือกที่จะไม่พูดใจจริงออกมาเพื่อรักษาน้ำใจของครอบครัว เขาเป็นแบบนั้นมาตลอด

“ถึงจะไม่ได้พูด… แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่คะ?”

ทว่าฝ้ายก็ยังพูดแทงใจดำราวอ่านใจกันออกอีกครั้ง แถมเธอยังเริ่มถอนหายใจออกมาด้วย นี่คงเป็นไม่กี่ครั้งที่เธอแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน และอีกอย่างที่ทัตสังเกตเห็นคือแววตาของเธอที่ดูอ่อนลง แต่จะเป็นในแง่ไหนก็สุดแท้แต่ที่เขาจะหยั่งถึง

ส่วนทางฝ้ายนั้น พอเห็นว่าทัตหันมาสนใจเธอแล้วก็เลยถือโอกาสนั้นพูดต่อและพยายามปรับน้ำเสียงตัวเองให้อ่อนนุ่มลง

“รู้ไหมคะ ว่าที่บ้านดูเหงาลงเยอะเลยพอพี่ย้ายออกมา” แต่เอาจริง ๆ สำหรับคนที่แสดงอารมณ์ออกมาน้อยอย่างเธอ มันก็ดูไม่แตกต่างไปจากทุกทีเท่าไรนัก

“จริงเหรอ?” ทัตถึงเอ่ยถาม เพราะเขาไม่รู้ว่ามันจริงอย่างที่เธอว่าไหม

ไม่สิ… ทัตไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นแบบนั้นต่างหาก เพราะถ้าทัตคิดว่าครอบครัวเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของเขาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่รู้สึกแปลกแยกจนต้องหาข้ออ้างเพื่อออกมาอยู่คนเดียวหรอก

แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เขาคิดมันอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้เหมือนกัน… และอย่างน้อยการที่ฝ้ายพยักหน้ารับคำถามของทัตคือสิ่งยืนยันในเรื่องนั้นบางส่วน

“คุณแม่ก็เป็นห่วงว่าพี่จะกินอยู่ดีเหมือนที่บ้านไหม… คุณพ่อเองก็กังวลเรื่องที่พี่ย้ายออกไปอยู่คนเดียวด้วยค่ะ”

“เหรอ…”

ทัตตอบเหมือนไม่ค่อยสนใจ แต่ที่จริงในใจเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นกังวล เพราะถ้าจะว่ากันตามเหตุผล ทัตก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

แต่ในความเป็นจริง มนุษย์นั้นขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ความรู้สึกแปลกแยกถึงผลักไสให้ทัตรู้สึกสับสนจนต้องเลือกที่จะหนีออกมาจากจุดที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด

ดังนั้น จึงไม่ใช่เพราะว่าทัตไม่สนใจ… แต่พยายามที่จะไม่สนใจต่างหาก เพราะงั้นมันก็คงไม่มีประโยชน์หากออกมาจากบ้านแล้วยังต้องรู้สึกกังวลอยู่ ทัตคิดแบบนั้น

อย่างไรก็ดี… คำพูดที่เหมือนไม่ค่อยให้ความสนใจแต่สายตากลับเศร้าสร้อยและรู้สึกผิดของทัตเป็นสิ่งที่ฝ้ายสังเกตเห็น ก็เพราะมันออกอาการชัดเจนขนาดนั้นแหล่ะ

ฝ้ายเห็นดังนั้นก็หลับตาก้มหน้าไปพักหนึ่ง เธอตระหนักแล้วว่าการพูดตอกย้ำเรื่องนี้บ่อย ๆ เข้าอาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดีและทำให้ทัตเจ็บปวดมากกว่าจะเป็นการช่วยเหลือเขา

“…ถ้างั้นหนูกลับเลยดีกว่า” ก่อนที่จะตัดสินใจแบบนั้น น้ำเสียงของเธออ่อนลงกว่าปกติอีกครั้งในตอนที่พูด แต่ทัตไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเพราะอะไร

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งถึงป้ายรถเมล์ละกัน”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ… ยังไงตอนมาหนูก็มาคนเดียวอยู่แล้ว”

มันไม่ต่างกันหรอกค่ะถ้าจะกลับคนเดียว… ฝ้ายตั้งใจจะบอกแบบนั้นผ่านแววตาที่คมขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับไม่พอใจ แต่พอคิดจากท่าทีของทัตที่วางใส่ฝ้ายมาตลอดตั้งแต่เจอกัน เธอจะเป็นแบบนั้นก็คงไม่แปลก

ฝ้ายเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่ขึ้นสะพายหลัง ก่อนที่จะเดินไปยังประตูโดยไม่ให้ทัตตามมา แต่ทัตก็ยังลุกไปส่งเธอถึงหน้าห้องอยู่ดี

แน่นอนว่าทัตไม่ได้ไปไกลเกินกว่าหน้าห้องของตัวเอง

“รีบกลับบ้านเลยนะ กลางคืนมันอันตราย”

ทัตเอ่ยเตือนน้องสาวตัวเองในจังหวะที่เธอกำลังจะเดินหันกลับออกไปจากเขา ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอหยุดเท้าตัวเองหันกลับมามองทัตเหมือนกัน

…ด้วยสายตาอาวรณ์ไม่เบา

“พี่… วันหยุดก็กลับบ้านบ้างนะคะ”

ฝ้ายทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ทัตสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเธออ่อนนุ่มกว่าทุกครั้ง แต่เขาก็คิดไม่ได้หรอกว่าเป็นเพราะเธอรู้สึกเหงาจากบุคลิกที่เงียบขรึมของฝ้าย

ทัตที่คิดว่าฝ้ายพูดออกมาพอเป็นมารยาทจึงไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ก่อนจะกลับเข้าห้องของตัวเองไปทั้งอย่างนั้น

❖❖❖❖❖

เฮ้อ… ไม่ราบรื่นเลย…

พอพ้นมาจากทางเดินในระหว่างเดินลงบันไดของตึกหอพักของทัต ฝ้ายก็ถอนหายใจอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เธอกำลังไหล่ตกด้วยความผิดหวังและเหงาหงอย แต่ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ในหัวไปพร้อม ๆ กับที่เร่งฝีเท้าตัวเองเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์และกลับถึงบ้านให้ได้ไว ๆ

แล้วในตอนที่เธอลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง และกำลังจะเดินผ่านหน้าส่วนอำนวยการของหอออกไปจากตึก

ในตอนนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าที่มุมนั่งพักห่างออกไป มีคนจ้องบันไดที่ลงมาจากชั้นสองสู่ชั้นหนึ่งอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่คนรู้จักคงมองว่าเธอน่าสงสัยเอามาก ๆ จากแว่นกันแดดที่สวมอยู่เพื่อไม่ให้เห็นใบหน้านั่น

ในห้องนั่งพักดังกล่าวมีลักษณะคล้ายคาเฟ่ แต่ไม่มีหน้าร้านเคาน์เตอร์จึงมีแต่โต๊ะนั่งเปล่า ๆ อยู่หลายที่ ซึ่งคนน่าสงสัยที่ว่าก็เป็นหนึ่งในคนที่นั่งโต๊ะนั้นนั่นแหล่ะ

ทางด้านคนน่าสงสัย พอรู้ตัวว่าคนที่เดินลงมาเป็นฝ้าย เธอก็รีบพลิกเก้าอี้ของตัวเองเพื่อหลบหน้าในทันทีเพราะคิดว่าฝ้ายจะไม่เห็น แต่แน่นอนว่ามันช้าเกินไปแถมยังทำให้น่าสงสัยมากกว่าเดิมอีก

เรียกว่าถึงฝ้ายมองไม่เห็นแต่ก็ถูกดึงดูดความสนใจให้หันไปมองอยู่ดี เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กสาวที่แอบมองเธออยู่นี้ไม่เหมาะที่จะเป็นนักสืบเอาเสียเลย

เรื่องนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อฝ้ายแอบเดินย่องเข้าไปเซอร์ไพรซ์เธอจากด้านหลัง

“ว้าย!” พอถูกใครไม่รู้สะกิดไหล่เข้าจากด้านหลัง เด็กสาว… พิมก็ร้องลั่นสะดุ้งโหยงจนเกือบจะตกเก้าอี้เลยทีเดียวหากไม่มีฝ้ายช่วงยันพนักเก้าอี้ไว้ให้

“หลบไม่เนียนเลยนะคะพี่พิม”

“…แฮะ ๆ โดนจับได้ซะแล้ว”

กับฝ้ายที่จับได้คาหนังคาเขาว่าพิมแอบตามเธออยู่ พิมก็ทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อนกลับไปเท่านั้น

นอกเหนือจากนั้นที่ทำได้ ก็มีแค่การหวังว่าจะไม่ถูกฝ้ายเค้นคอถามสาเหตุที่เธอมาที่นี่

❖❖❖❖❖