นี่เป็นครั้งที่สองแล้วถ้านับตั้งแต่ตอนที่ฉันได้เผชิญหน้ากับกิลิเทนเดอร์แล้วเจอกับตัวเอกในทันทีที่ฉันเดินทางมาถึงต่างโลก

แต่ฉันก็ไม่คิดมากอะไรหรอกในครั้งนี้เพราะว่าฉันไม่ใช่ตัวฉันเองในอดีตอีกแล้วมันแตกต่างออกไปในครั้งนี้

โอกาสสำเร็จของฉันจะเป็นเท่าไหรกันในการที่จะต่อกรกับตัวเอกเลเวล 70 แล้วเป็นฝ่ายชนะ?

แล้วโอกาสของฉันจะเป็นเท่าไหรหละถ้าฉันโจมตีเธอทีเผลอในตอนนี้?

มันไม่มีคำตอบใดๆ

ฉันเป็นฉันเตอร์และฮันเตอร์จะไม่ต่อสู้แบบซึ่งๆหน้า

แต่เพื่อที่จะล่าคนที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ฉันต้องเตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบ

“มีอะไรหรือป่าวค่ะ?”

“ไม่มีอะไรครับ”

โชคยังดีที่ตัวเอกผมสีแดงที่ดูอายุราวๆ 10 ปีคนนี้ไม่รู้ว่าฉันเป็นฮันเตอร์

แน่นอนว่านั้นเป็นเรื่องที่ดี

<ดยุคแห่งอัลมัสเป็นตระกูลอันทรงเกียรติที่สุดเมื่อพูดถึงกันในเรื่องของปรมาจารย์ดาบในจักรวรรดิอาเล็ทเทียร์ค่ะ>

<จักรวรรดิอาเล็ทเทียร์นั้นเป็นสถานที่ที่เข้มงวดในเรื่องของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ดังนั้นมันเป็นการดีที่สุดที่จะละเว้นจากการใช้เวทมนตร์ค่ะ>

‘ทำไมหละ?’

<เพราะว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งที่มีเพียงแค่แม่มดในโลกนี้เท่านั้นที่สามารถที่จะใช้ได้ค่ะ>

<และไม่มีแม่มดเหลือรอดอยู่แม้แต่ตนเดียวหลังจากที่แม่มดตนสุดท้ายได้ถูกล่าไปเมื่อหนึ่งปีก่อนค่ะ>

มันไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรที่ต่างโลกจะไม่มีเวทมนตร์

และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจเช่นกันที่ในที่สุดฉันก็ได้ข้ามมาในโลกที่เวทมนตร์เป็นสิ่งต้องห้าม

นอกจากนี้แล้วถ้าไม่มีแม่มดเหลือรอดอยู่เลยหละก็แล้วเด็กสาวตรงหน้าฉันนี้มันเป็นใครกันหละ?

<ตัวเอกนี้อยู่ในสถานะของ ‘ผู้ยึดครองร่าง’ ค่ะ>

<เธอคือแม่มดคนสุดท้ายที่หลังจากที่ได้ตายลงไปด้วยน้ำมือของดยุคแห่งอัลมัส เธอก็ได้ยึดครองร่างของเจ้าหญิงเอลล่าและใช้ชีวิตด้วยร่างนี้ค่ะ>

…บ้าน่า

แค่ได้ยินก็ทำให้ฉันขนลุกแล้ว

มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สำหรับเอลล่าก่อนที่จะเป็นตัวเอก แล้วก็ทำไมไม่เป็นดยุคแห่งอัลมัสแทนหละที่ควรจะถูกยึดครองร่าง?

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหละถ้าเขารู้ว่าศัตรูที่อันตรายที่สุดสำหรับมนุษยชาติที่ได้ตายลงด้วยน้ำมือเขาได้ยึดครองร่างของลูกสาวเขาอยู่?

มันคงจะไม่ใช่ตอนจบที่สวยงามเป็นแน่

หรือฉันควรจะบอกว่าฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยหละที่เอลล่าเป็นตัวเอกนะ?

‘นอกไปจากนี้แล้วแม่มดมันคือตัวบ้าอะไรกันครับ?’

<มันเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงของมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้โดยธรรมชาติตั้งแต่ที่เกิดมาค่ะ>

<พวกเขาสามารถที่จะครอบครองเวทมนตร์และมีอายุขัยที่ยาวนานยิ่งกว่ามนุษย์แต่พวกเขาทั้งหมดนั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆเลย>

‘จริงหรอ?’

ในตอนที่กำลังเดินตามเอลล่าไป ฉันก็ฟังที่เธอพูดไปด้วย

“…โน้นเป็นที่พักอาศัยของเหล่าอัศวินและแขกตามลำดับและตรงส่วนนั้นเป็น…”

น้ำเสียงของเธอนั้นช่างอ่อนโยน,สุภาพ และรอบคอบ

เธอทักทายสาวใช้และพ่อบ้านที่เดินผ่านไปมาด้วยคำว่า ‘อรุณสวัสค่ะ’ ตลอดทาง

เธอดูเป็นคนที่งดงามทั้งภายในและภายนอกทั้งยังพูดทักทายกับทุกๆคน

‘พวกแม่มดนี้ไร้อารมณ์จริงๆใช่ไหม?’

เอลล่าที่กำลังยิ้มและโบกมือของเธออยู่นั้นดูราวกับเธอเป็นนางฟ้า

และในตอนที่เอลล่าและฉันกำลังเดินกันอยู่ก็มีคนรับใช้ที่บังเอิญทำจานตกแตกเสียหายและแทนที่จะทำโทษคนรับใช้คนนั้นเธอกลับเข้าไปช่วยหญิงรับใช้คนนั้นแทน

“ข-ขอบคุณเจ้าค่ะ! เจ้าหญิง!”

“ไม่เลยค่ะ คราวหน้าก็ระวังด้วยนะค่ะเดวจะเป็นอันตรายเอาค่ะ”

ฉันถึงกับสงสัยขึ้นมาเลย

ว่าปกติแล้วพวกขุนนางจะดูแลคนรับใช้ของตนด้วยความเคารพแบบนี้นะหรอ?

ภาพจำของอะไรก็ตามที่ฉันรู้เกี่ยวกับพวกขุนนางและแม่มดนั้นทำให้ฉันสับสนไปเลย

‘…ไม่ใช่ว่านี้คือตัวเอกที่ดีหรอกนะ?’

ถึงแม้ว่าตัวตนของพวกเขาเองจะนำโลกไปสู่อันตรายด้วยกฎแห่งกรรม มีอยู่ครั่งหนึ่งที่คุณลูกค้าเคยบอกไว้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดของพวกตัวเอกที่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนไม่ดีเสมอไป

และไม่ว่าตัวเอกนี้จะดีหรือร้ายมันก็ยังไม่เปลี่ยนอะไรอยู่ดี

เพราะแม้แต่การมีตัวตนอยู่ของเหล่าตัวเอกที่เป็นคนดีก็ทำให้โลกของพวกเขานั้นโลกถูกทำลายลงอย่างช้าๆเช่นกันดังนั้นแล้วฉันคงจะไม่พูดว่า ‘โอ้ว พวกเขาเป็นคนดีหละเพราะงั้นแล้วฉันจะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่’

ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนใจตัวเองเพราะเรื่องพวกนี้หรอก

เหตุผลที่ฉันต้องฆ่าตัวเอกพวกนั้นก็เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และมันเป็นก็การกระทำที่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว

การทำให้โลกเกิดความสมดุลก็เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้นแหละ

ไม่มีอะไรที่มาขวางทางฉันแล้วจะรอดชีวิตอยู่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเกมส์ที่ยุติธรรมอยู่แล้วมันเป็นเกมส์ที่เรียกว่า ‘ชีวิต’

นี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดว่าสิ่งที่ฉันทำมันเป็นสิ่งที่ยุติธรรมหรือป่าว

ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะมาตัดสินอะไรก็ตามที่ฉันจะทำ

มันก็แค่เป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ

‘ส่วนแม่สาวน้อยนี้ถ้าฉันพยายามที่จะฆ่าเธอในตอนนี้หละก็ฉันอาจจะเป็นคนที่ตายแทน…’

ฉันไม่สามารถที่จะมั่นใจในลักษณะนิสัยของเธอได้หลังจากที่แค่ได้คุยกันเพียงชั่วเวลาสั่นๆเท่านั้น

ดังนั้นการตรวจสอบจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

หลังจากการเดินอันแสนยาวนานเอลล่าได้แนะนำฉันเข้าสู่ห้องฝึก

คฤหาสน์ที่แสนงดงามนี้พูดได้เลยว่ามีห้องฝึกมากกว่าเจ็ดห้องซะอีกโดยที่เอลล่านั้นใช้ห้องที่สาม

ในห้องฝึกที่ฉันเข้ามานี้ได้มีอัศวินหลายร้อยได้มารวมตัวกันแล้วเอลล่าก็ได้แนะนำฉัน

“นี่คือเซอร์ยูซอดัม นับจากวันนี้เป็นต้นไปเขาจะมาสอนวิชาดาบให้กับฉัน”

อัศวินเหล่านี้ไม่ได้ปรบมือหรือพูดอะไรออกมา

พวกเขาเพียงแค่นิ่งเชยด้วยท่าทางที่ขึงขัง

มันเลยกลายมาเป็นสถานการณ์ค่อนข้างจะน่าอึดอัดที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้

“ยินดีที่ได้พบคุณครับ ผมชื่ออีเรชเป็นหัวหน้าหน่วยที่สามของอัศวินแห่งคามิลเลียครับ”

เป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดที่น่าประทับใจกำลังจับมือกับฉันอยู่

ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกันฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับดาราภาพยนต์อยู่เลยแต่ฉันได้รีบไล่ความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

“ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับ”

“…แต่ทำไมกันนะ ผมกลับไม่เคยได้ยินชื่อของเซอร์ซอดัมเลยครับถึงแม้ว่าผมจะได้เดินทางไปทั่วทั้งโลกแล้วก็ตามผมขอบังอาจถามหน่อยได้ไหมครับว่าคุณอาศัยอยู่ที่ไหนกันหรือครับ?”

เชี้ยแล้วไง

ฉันจะอธิบายยังไงดีหละเนี่ย?

อาจารย์ที่ได้รับเชิญให้มาสอนลูกสาวคนที่สองของปรมาจารย์ดาบที่แม้แต่เขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของอาจารย์คนนี้มาก่อนเลย

นี้มันสมเหตุสมผลไหมหละ?

ฉันที่ปกติมักจะไหลไปตามแม่น้ำแห่งโชคชะตาของพล็อตเรื่องเสนอ แต่ในตอนนี้ได้มีหินจากที่ไหนไม่รู้ตกลงมาทำให้เกิดระลอกคลื่นในแม่น้ำแห่งนี้

อีเรชนั้นสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นก้อนหินหรืออะไรก็ตามการไหลของแม่น้ำแห่งนี้จะไม่มีทางถูกหยุดลงเพราะฉันแน่

ฉันค่อยๆดึงดาบอีเทอร์ของฉันออกมาแล้วพูดขึ้นว่า

“ฉันมาจากสถานที่ที่ห่างไกลจากที่นี้แสนไกลคุณคงจะไม่รู้จักมันหรอก”

“แล้ว…”

“ฉันจะแสดงให้คุณได้เห็นแทน”

นี้นับเป็นการพนันรูปแบบหนึ่ง

เมื่อครั้งนั้นในตอนที่ฉันได้เจอกับกิลิเทนเดอร์ ฉันจำได้ถึงสิ่งที่กิลิเทนเดอร์เคยได้พูดไว้ในตอนที่เขาได้เห็นดาบอีเทอร์ของฉัน

‘นี้มันเป็นจิตแห่งดาบที่ปรากฏขึ้นเพียงแค่ในตำนานเท่านั้นนี่น่า’

จิตแห่งดาบ

มันเป็นคำที่ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก

มันเป็นเทคนิคที่มีเพียง ‘ปรมาจารย์ดาบ’ เท่านั้นที่สามารถใช้ได้

วิ้ง!!

“หา?!”

“โอ้ว…!”

“โอ้วนี้มัน ปรมาจารย์ดาบ…!”

ปรมาจารย์ดาบดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่สามารถอัดพลังใส่ดาบของพวกเขาให้ดูเหมือนกับมันมีแสงได้

ซึ่งถึงแม้ว่าฉันจะทำแบบนั้นไม่ได้ก็ตามฉันก็ยังมีวิธีอื่นที่ใช้ในการลักไก่ได้

มันเป็นวิธีการที่ง่ายยิ่งกว่าอีก

ฉันค่อยๆเดินไปด้านหน้าของหินก้อนหนึ่งและเหวี่ยงดาบของฉันไปข้างหน้าเบาๆ

ดาบอีเทอร์เกรด 2 ของฉันนั้นได้สไลด์หินก้อนนี้ออกจากกันอย่างง่ายดาย

“เป็นอย่างที่คิดไว้เลยนี้มันสุดยอดไปเลย”

“เออ คุณเหวี่ยงมันให้ช้ากว่านี้หน่อยได้ไหมขอรับพวกเราจะได้มองเห็นมันได้ง่ายกว่านี้หน่อยนะขอรับ? แหะแหะ”

ไม่โว้ย นี่ฉันทำมันด้วยการใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของฉันเลยนะ

“นักดาบที่สำเร็จในขั้นของปรมาจารย์ดาบได้นั้นสุดยอดจริงๆเลยนะครับ”

อีเรชได้พูดพร้อมพยักหน้าของเขาและไอออกมา

ในตอนนี้เขาได้มองมาที่ฉันแล้วพูดขึ้นมา

“มันไม่ใช่ทุกวันซะด้วยซิที่ผมจะมีโอกาสที่จะได้เจอกับปรมาจารย์ดาบตัวเป็นๆมันจะเป็นไปได้ไหมครับที่เราจะประลอง…”

“ไม่ครับ”

มันเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวที่ฉันไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด

ฉันเลยต้องรีบตอบกลับไปในทันที

ตำแหน่งของอีเรชนั้นดูเหมือนว่าจะอยู่สูงกว่าฉันแต่เพียงแค่รู้วิธีแกว่งแท่งเรืองแสงนี้เท่านั้นและร่างกายของฉันก็อ่อนด้อยเป็นอย่างมาก

ดังนั้นแล้วฉันต้องปฏิเสธคำท้าประลองทั้งหมด

“ฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เมื่อนานมาแล้วดังนั้นมันเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะเคลื่อนไหวในตอนนี้ แต่เทคนิคทั้งหมดของฉันยังคงอยู่ดังนั้นฉันเลยต้องการที่จะส่งผ่านมันฉันถึงได้มาเป็นอาจารย์เท่านั้นเอง”

“โอ้วจริงหรือครับเนี่ย…! นี้เป็นผมเองที่หยาบคายเกินไป”

ฉันว่าวิธีที่ฉันทำนั้นหยาบคายยิ่งกว่าซะอีก

ด้วยเหตุนี้เองนี้คือวิธีที่ฉันใช้แทรกตัวเองเข้าไปในตำแหน่งของอาจารย์ที่น่าเชื่อถือจนได้

……………………………………………………..

ดยุคแห่งอัลมัสมีลูกทั้งหมดห้าคน

ลูกชายคนโต ฟิล อัลมัส อายุ 27 ปี อยู่ที่ขอบเขตครึ่งก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ดาบ

ลูกสาวคนโต เฮเลน อัลมัส อายุ 22 ปี และเป็นนักดาบในระดับของผู้ชำนาญดาบ

ลูกสาวคนที่สอง เอลล่า อัลมัส อายุ 15 ปี มีความสำเร็จเพียงเล็กน้อย

และอีกสองคนนั้นเป็นแค่ตัวละครที่ไม่มีความสำคัญอะไร

พูดตามตรงเลยก็คือการต้องมานั่งฟังชื่อของลูกสาวและลูกชายคนโตนั้นมันน่ารำคาญแต่ฉันก็จำเป็นต้องฟังมันมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

“อ้าใช่แล้วคุณรู้รึป่าวเจ้าค่ะ? ว่าเจ้าหญิงเอลล่านะป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่แม้แต่จะสามารถลุกขึ้นมาได้จนกระทั้งถึงเมื่อหนึ่งปีก่อนนี่เองนะเจ้าค่ะ”

มันเป็นพล็อตเรื่องที่ตัวเอกถูกยึดร่างทั่วไปตามท้องตลาด

เจ้าหญิงที่ตายไปจากอาการป่วยแล้วก็มีวิญญาณอีกดวงมายึดร่างนั้นไป

“แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในตอนที่ดยุคอัลมัสได้แทงได้ที่หัวใจของแม่มดตนสุดท้ายด้วยดาบของเขา เจ้าหญิงเอลล่าได้เปิดตาของเธอมันเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ไม่ใช่หรือไงกันเจ้าคะ? บางทีเจ้าหญิงอาจจะถูกสาปก็ได้นะเจ้าค่ะ”

“นี่ สาวใช้ตรงนั้นหนะ! เธอกำลังพูดอะไรกับท่านผู้ฝึกสอนกัน?”

“อ-อะแฮม! ถ้างั้นเธอมาเล่าให้ฉันฟังครั้งหน้าได้ไหม?”

“แน่นอนเจ้าค่ะ”

เป็นเพราะว่าไม่มีการสอนในวันนี้ดังนั้นหลังจากที่เอลล่าได้ปล่อยฉันมา ฉันได้โผล่ไปทั่วทุกที่และเก็บรวบรวมข้อมูลไปเรื่อยๆจนมาถึงที่นี้

มันกลายเป็นว่าคฤหาสน์นี้ใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก

พูดแบบตรงไปตรงมาเลยก็คือมันมีขนาดพอๆกับหมู่บ้านขนาดเล็กเลยทีเดียว

และที่นี่มันไม่ใช่ปราสาทด้วยซ้ำแต่เป็นเพียงแค่คฤหาสน์เอง

“จะว่าไปแล้ว…นิสัยของเจ้าหญิงได้เปลี่ยนไปบ้างไหมหลังจากคำสาปนั้นหายไปนะ?”

“ใช่เลยเจ้าค่ะ คุณหนูในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยเจ้าค่ะ”

“เธอหมายความว่ายังไงกัน?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะมันเหมือนกับว่าในตอนที่คุณหนูจะหายจากอาการป่วยของเธอ คุณหนูเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงเลยเจ้าค่ะ…มันน่าจะเป็นอย่างนั้นแหละเจ้าค่ะ”

ขว้างปาสิ่งของไม่ว่าจะเป็นจานหรือเชิงเทียนเมื่อรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย ทุบตีสาวใช้และอัศวินเป็นประจำหรือไม่ก็กรีดร้องในตอนเช้าเพียงเพราะแค่เธอหิว

ดังนั้นแล้วไม่มีใครในคฤหาสน์นี้ชอบเธอเลยและทุกคนก็เป็นกังวลกันเพราะว่าเธอเป็นลูกสาวคนที่สองของปรมาจารย์ดาบที่ไม่แม้แต่จะมีความคิดที่จะจับดาบเลย

ในขณะที่ลูกชายและลูกสาวคนโตได้สร้างชื่อของพวกเขาด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นของพวกเขาเอง เอลล่าไม่ได้แต่จะต้องการทำอะไรเลย

และแล้ววันหนึ่งเจ้าหญิงเอลล่าก็ได้ล้มป่วยลงและในวินาทีที่ดยุคอัลมัสได้เจาะทะลุหัวใจของแม่มดคนสุดท้ายนั้นเอง

เจ้าหญิงเอลล่าก็ได้ตื่นขึ้นมาด้วยนิสัยที่เปลี่ยนไปแบบ 180 องศา

“คุณหนูกลายมาเป็นคนที่สุภาพกับทุกคน เข้าเรียนในสิ่งที่เธอขาดหายไปและแม้กระทั้งกลับมาสนใจในวิชาดาบเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นสินะ ฉันหวังว่าเจ้าหญิงจะไม่กดดันตัวเองจนเกินไปนะ”

“คุณไม่คิดว่าเจ้าหญิงนั้นดีกว่าก่อนหรือเจ้าค่ะ?”

ในขณะที่กำลังฟัง ฉันได้หันหน้ามองออกไปทางนอกหน้าต่างลงไปที่สนามซ้อม

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆแล้วและช่วงเวลาการฝึกซ้อมของอัศวินนั้นได้จบลงแล้วก็ตาม เอลล่ายังคงเหวี่ยงดาบไม้ของเธออยู่

พูดอย่างซื่อสัตย์เลยนะมันทำให้ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะมีเลเวล 70 นะ

ส่วนมากของเลเวลพวกนั้นน่าจะเป็นผลมาจากเวทมนตร์ของเธอ

ดังนั้นแล้วฉันไม่ควรที่จะรีบร้อนเข้าหาเธอจนกระทั้งฉันรู้ว่าเธอมีเวทมนตร์อะไรกันแน่

ยังดีที่ถ้าเป็นในเรื่องของวิชาดาบอย่างดีที่สุดเธอก็แค่ดีกว่าเซเลสเต้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

นั้นเป็นในเรื่องของเทคนิคอะนะ

มันเป็นความโชคดีที่ความสามารถทางด้านร่างกายของเธอนั้นอยู่ในระดับที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเธอที่มีร่างกายที่อ่อนแอสามารถที่จะใช้วิชาดาบที่โดดเด่นได้นั้นน่าจะเป็นเพราะว่าพื้นฐานทางวิชาดาบของที่นี้นั้นค่อนข้างที่จะดีมากอยู่แล้ว

ตัวเอกเอลล่าได้ใช้สกิล เพลงดาบลับของตระกูลอัลมัส (SS+)]

มันเป็นเพราะเธอนั้นคาดช้อนเงินช้อนทองมาเกิด

เธอสามารถที่จะเรียนรู้สกิล SS+ ได้เพราะว่าเธอได้เกิดในตระกูลที่ดี

“ดีแล้วหละที่ในตอนนี้เจ้าหญิงมีร่างกายที่สุขภาพดี แม่มดพวกนั้นแหละคือตัวปัญหาที่แท้จริง”

“แต่ฉันดีใจนะเจ้าค่ะที่พวกมันได้ตายไปหมดแล้ว”

“…”

น้ำเสียงของสาวใช้ได้เปลี่ยนแปลงไปในตอนที่ได้พูดถึงแม่มดพวกนั้น

เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

มันเป็นความเกลียดชังที่แสนบริสุทธ์ที่ออกมาจากหัวใจ

“ดูเหมือนว่าเธอมีความเกลียดชังกับแม่มดพวกนั้นเป็นอย่างมากเลยนิ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ”

“มันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาทวีปนี้เพราะงั้นบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าแม่มดที่นี้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

“โอ้ว มันก็เป็นเหมือนกันทุกที่แหละเจ้าค่ะ”

สาวใช้คนนี้ได้เล่าให้ฉันฟังทั้งหมดเลยในสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากมายที่เหล่าแม่มดได้ทำกับมนุษย์โดยปราศจากความรู้สึกผิดใดๆและมันก็โหดร้ายเป็นอย่างมากถึงขนาดที่มันทำให้แม้แต่ฉันก็ยังรู้สึกแย่ตามไปด้วย

ส่วนที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ไอ้เจ้าแม่มดคนสุดท้ายนี้เป็นตัวตนอันแสนน่าสะพรึงกลัวที่ได้หลอกหลอนคนไปกว่าครึ่งทวีป

“แม่มดคนสุดท้ายนี้…”

“มันช่างน่าสรรเสริญเป็นอย่างมากเจ้าค่ะที่นายท่านอัลมัสสามารถที่จะจัดการกับนางแม่มดตนสุดท้ายนั้นได้”

สั้นๆเลยก็คือ

“ฉันได้สูญเสียพ่อและแม่ของฉันให้กับแม่มดสารเลวนั้นเจ้าค่ะ”

“ฉันได้สูญเสียบ้านเกิดเจ้าค่ะ บ้าเอ้ย”

“ฉันก็เหมือนกัน…ฉันสูญเสียสามีของฉันเจ้าค่ะ”

บางทีคงเป็นเพราะว่าแม่มดคนสุดท้ายตนนี้มีชื่อเสียงที่แย่เป็นอย่างมาก เธอเลยได้ฝากความประทับใจที่สุดแสนจะลึกซึ้งให้กับสาวใช้พวกนี้

ในขณะที่กำลังฟังอย่างเงียบๆอยู่นั้นเอง ฉันได้ยินน้ำเสียงที่แสนหวานและอ่อนนุ่มดังมาจากด้านหลัง

มันเป็นเอลล่า

“มีอะไรงั้นหรือค่ะ?”

“โอ้ว คุณหนูเจ้าค่ะ ใช่แล้วเจ้าค่ะฉันแค่คิดถึงบ้านเกิดนะเจ้าค่ะ…!”

“เกิดอะไรขึ้นที่บ้านเกิดของเธองั้นหรอ?”

“มันเป็นเพราะว่าเจ้าแม่มดเน่าเหม็นที่แสนชั่วร้ายนั้น…อ้า! ฉันขออภัยเจ้าค่ะ คุณหนูโปรดให้อภัยสำหรับภาษาของดิฉัน…”

“ไม่เป็นไร มันโอเคค่ะ”

เอลล่ายิ้มออกมาแล้วกอดสาวใช้คนนั้นและพูดขึ้นว่า

“มันคงเป็นการสูญเสียงที่ยากลำบากสำหรับบ้านเกิดของเธอ ฉันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้มากแต่ฉันหวังว่าฉันจะปลอบใจเธอได้นะ”

“อ้าคุณหนู…”

นี่มันเหมือนกับนางฟ้ามาโปรดจากทรวงสวรรค์เลยใช่ไหมเนี่ย?

สาวใช้ทุกคนร้องไห้ออกมาเมื่อถูกปลอบโยนด้วยหัวใจที่อบอุ่นของเธอแต่ฉันกลับมองไปที่เอลล่าด้วยสีหน้าที่งุนงง

แม่มดคนสุดท้ายตนนั้น

มันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอลล่าไม่ใช่หรือไง?

“ถ้าฉันสามารถที่จะแบ่งปันความเจ็บปวดกับพวกเธอได้หละก็ฉันจะยินดีเป็นอย่างมากที่จะเศร้าเสียใจไปพร้อมกับพวกเธอทุกคน”

นี่มันไม่ใช่อะไรเลยนอกจากไอ้พวกโรคจิตที่มีจิตใจบิดเบี้ยวผิดปกติตามหนังเลยนี่หว่า