วิชาดาบของเอลล่านั้นอยู่ในขั้นของระดับที่น่าเชื่อถือ

เธอพึ่งจะเริ่มเรียนวิชาดาบเมื่อหนึ่งปีก่อนในตอนที่อายุ 15 ปีเท่านั้นเองแต่ในตอนนี้เธอได้เก่งกว่าเซเลสเต้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะบนโลกไปเรียบร้อยแล้ว

แม้ว่านี้จะเป็นเปรียบเทียบแค่ในเรื่องของเทคนิคดาบที่ไม่ได้นับในเรื่องของความสามารถทางด้านร่างกายก็ตาม

เพราะว่าถ้านับในเรื่องของการควบคุมดาบของเธอแล้วความสามารถของเธอมันเหนือยิ่งกว่าฉันเสียอีกเนื่องจากว่าเธอนั้นมีสกิลแรงค์ SS+

ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ฉันสามารถสอนเอลล่าได้ฉันจะต้องแสดงดาบของฉันแต่ว่าฉันไม่ได้ต้องการที่จะทำแบบนั้นดังนั้นฉันได้ขอให้อัศวินหนุ่มบางคนแถวนั้นประลองกับเธอแทน

“อย่าออมมือของนายในตอนที่กำลังประลองกับเจ้าหญิงเด็ดขาด”

ดังนั้นแล้วฉันได้แกล้งทำเป็นว่าได้กำลังสอนอย่างตั้งใจในขณะที่กำลังดูพวกเขาประลองด้วยกันอยู่ด้านข้าง

“อะแฮม ท่าทางของเธอดูดีนะแต่ท่าทางมันดูสับสนไปหน่อยนะ”

บางครั้งฉันก็ต้องแม้แต่ใช้คำที่ดูเป็นนามธรมไปหน่อยเพราะว่าฉันกำลังแกล้งทำตัวว่าเป็นอาจารย์ของเธอ

แน่นอนว่าถ้าฉันโกหกไปแบบโง่ๆฉันอาจจะถูกจับได้ก็ได้ดังนั้นฉันต้องผสมความรู้จากอีกโลกหนึ่งเข้าไปด้วย

หลังจากนั้นพวกเราก็มาที่น้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขามากมาย

มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเข้าถึงที่นี้ด้วยการใช้อัศวินหลายสิบคนในการคุ้มกันเรามาที่นี้

ช่า!!

ณ ตอนนี้เอลล่าและฉันนั้นกำลังนั่งอยู่บนหินแล้วปล่อยให้น้ำตกซัดมาที่แผ่นหลังของพวกเรา

มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันมาทำเรื่องอะไรแบบนี้และมันเจ็บมากกว่าที่ฉันคิดได้ซะอีก

“อ้า อืม”

เอลล่าที่ถูกน้ำตกซัดอยู่ได้ขมวดคิ้วขึ้น

ฉันทำแบบนี้ทำไมนะหรอ?

มันเป็นการฆ่าเวลาด้วยบทเรียนที่ไร้สาระ

อันดับแรกเลยเพราะว่าฉันไม่สามารถที่จะสอนวิชาดาบให้กับเธอที่มีพรสวรรค์สูงกว่าฉันได้

นอกจากนี้แล้วมันคงจะเป็นเรื่องโง่มากที่จะสอนศัตรูที่ฉันจะต้องฆ่าเองกับมือ

ดังนั้นแล้วฉันเลยใช้ “น้ำตกกับวิธีการฝึกทำสมาธิ” ที่สามารถพบได้ตามนิยายกำลังภายในทั่วไป

‘เจ้าหญิง วิชาดาบนะไม่ใช่เพียงแค่การถือดาบเพียงเท่านั้น’

‘ถ้างั้นแล้วมันคืออะไรหละค่ะ?’

‘ผมนะเคยได้ถือดาบอย่างไร้จิตวิญญาณมามากแล้วในอดีตแต่เมื่อถึงจุด จุดหนึ่งความก้าวหน้าของผมก็ได้เจอกับคอขวดนั้นเป็นตอนที่ผมได้รู้ว่าผมไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีมากเพียงพอดังนั้นผมไม่มีทางเลือกเลยต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดอีกครั้งด้วยเส้นทางที่แตกต่างกันออกไปจากที่เคย’

‘แล้ว…’

‘ตรงหน้าของเจ้าหญิงนับจากตอนนี้ผมจะสอนเจ้าหญิงถึงวิถีทั้งสามที่เรียกกันว่า หัวใจ ร่างกาย และ จิตวิญญาณ’

สิ่งที่ฉันได้พูดไปนั้นมีจริงเพียงแค่ 0.0002% แต่แล้วมันจะเป็นอะไรหละถ้าอาจารย์ของเธอบอกให้เธอทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้?

มันก็เหมือนกับนักเรียนทั่วๆไปมันไม่มีใครคิดที่จะถามอาจารย์ของตนหรอกว่ามันเป็นจริงหรือป่าว

ดังนั้นฉันก็แค่ฆ่าเวลาด้วยการปล่อยให้ร่างกายและจิตใจโดนน้ำตกซัดอยู่แบบนี้โดยที่ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเลย

“…อ้า! ฉันคิดว่าฉันจับเค้าลางของอะไรบางอย่างได้แล้วค่ะ”

[ตัวเอกเอลล่าได้เกิดจากรู้แจ้ง]

…เออ นี้มันบ้าอะไรกันครับเนี่ย?

……………………………………………………..

ฉันประเมินความสามารถของคนที่มีคุณสมบัติเป็นตัวเอกต่ำไปจริงๆ

ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ที่คนเราจะได้รับการรู้แจ้งด้วยการทำสิ่งง่ายๆเช่นการมองใบไม้ล่วงหรือการหยิบก้อนหินที่อยู่ตามข้างทางขึ้นมา

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันไม่สามารถที่จะทำตัวประมาทเมื่ออยู่ข้างๆตัวเอกได้

โชดยังดีอยู่ที่เลเวลของเอลล่าไม่ได้เพิ่มขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นดาบของเธอกลับเร็วและทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม

ไม่เหมือนกับตัวฉันที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป คนอื่นในคฤหาสน์นี้ได้บ้าคลั่งกันไปเรียบร้อยแล้ว

มันเป็นรูปแบบการฝึกฝนที่พิเศษเป็นอย่างมากที่ทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมา

โลกใบนี้เป็นโลกที่แม้กระทั้งนักดาบก็สามารถที่จะตัดแม่มดแยกออกเป็นสองส่วนได้

แม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่ไม่ว่าจะท่ามกลางนักดาบที่มีประสบการณ์โชกโชนเป็นอย่างมากก็แล้วไอ้วิธีการไร้สาระอย่างการฝึกฝนด้วยวิธีการใช้น้ำตกนั้นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตของพวกเขาและพวกเลยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างแรกเลยเอลล่านะยังไงก็ยังมี ‘การแก้ไขของตัวเอก’ คอยจัดการในทุกเรื่องให้อยู่แล้วดังนั้นแล้วการที่จะได้รับการรู้แจ้งหลังจากที่ถูกซัดด้วยน้ำตกนะมันจะเป็นไปไม่ได้อย่างไร

แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรกับฉันก็ตาม

หลังจากที่ได้พิสูจน์ว่าฉันเป็นปรมาจารย์ไปอย่างลวกๆเมื่อตอนนั้นแล้วความน่าเลื่อมใสของฉันได้มั่นคงในสายตาของคนอื่นไปแล้วแต่ในตอนนี้มันได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำหลังจากที่เอลล่าได้รับการรู้แจ้งจากวิธีการที่ไม่ธรรมดาของฉัน

“เซอร์ซอดัมครับ เออ วิธีการฝึกฝนของคุณ…พอที่จะสอนผมได้ไหมครับ?”

อีเรชเคยพูดไว้ว่าปรมาจารย์ดาบคนอื่นนั้นไม่ได้มาเยือนที่นี้มาเป็นสิบปีแล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้ขอประลองกับฉันในทันทีที่พวกเราได้เจอหน้ากัน

“ก็แค่…ถอดเสื้อของนายออกแล้วก็ไปให้น้ำตกนั้นซัดนายซะ…”

“โอ้ววว ขอบคุณครับ”

เอาจริงๆเลยนะการที่ต้องการโกหกคนที่ซื่อสัตย์เช่นอีเรชแบบนี้แล้วมันช่างทิ่มแทงจิตสำนึกฝ่ายดีของฉันเสียจริงแต่ฉันไม่สามารถที่จะหยุดมันได้แล้วในตอนนี้

“ฮึบ!”

แคว้ก!

ดาบไม้ที่ถูกฝาดลงมานั้นได้ทำให้เกิดเสียงที่ดูน่าเหลือเชื่อนี้และอัศวินก็ได้ทรุดลง

แม้แต่อัศวินวัยกลางคนก็ไม่ได้สามารถที่จะตีโดนเอลล่าได้แล้วในตอนนี้

เพลงดาบของเธอนั้นค่อนข้างที่จะน่าสนใจแต่แย่หน่อยที่ฉันไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถไปเลียนแบบมันได้

เพลงดาบนั้นไม่ได้แค่เรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนที่เท่านั้นแต่มันยังรวมไปถึงว่าเวลาไหนที่คุณต้องหายใจซึ่งจะต้องได้รับการเรียนรู้

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถที่จะคัดลอกมันออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ ฉันก็ยังสามารถที่จะเลียนแบบมันได้บางส่วน

เช่นว่า‘ผู้หญิงที่มีร่างกายเล็กต้องทำอย่างไรถึงจะออกชนะศัตรูของพวกเธอได้’

‘ต้องทำอย่างไรจึงจะเหนือกว่าอีกฝ่ายแม้ว่าจะอ่อนแอกว่าในเรื่องของความแข็งแกร่งและความเร็วก็ตาม’

แม้ว่าตั้งแต่ที่ฉันได้รับพรสวรรค์วิชาดาบนี้มามันทำให้การมองไปที่สิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นจากดาบจะทำให้ฉันมีความสุขดังนั้นแล้วมันไม่ได้แปลกสำหรับฉันเลยที่จะมองไปที่เพลงดาบของเอลล่า

แม้ว่าฉันจะเป็นศัตรูกับเธอฉันก็ยังประทับใจกับความก้าวหน้าของเธอแล้วกับคนอื่นๆที่อยู่ที่นี้มันจะเป็นยังไงกันหละ?

“โอ้วเหมือนที่กระผมคาดได้เลยขอรับคุณหนูทรงน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”

“คุณหนูชนะอีกแล้วนะเจ้าค่ะ”

เหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความชื่นชมยินดี

ฉันเป็นคนที่มีความทรงจำที่ดีในเรื่องการจำใบหน้าของผู้คนและฉันก็ผู้ว่าพวกคนเหล่านี้เคยผ่านอะไรกันมาบ้าง

สาวใช้วัยรุ่นที่มีผมสั้นและใบหน้าที่เป็นกระคนนั้น

เธอเป็นคนที่กำลังทุกข์ทรมานกับเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดในอดีตในตอนที่เธอได้เห็นแม่มดตนสุดท้ายนั้นแยกพ่อแม่ของเธอออกเป็นสองส่วนต่อหน้าต่อตาของเธอและเธอยังคงต้องใช้ชีวิตแบบดิ้นรนอยู่ทุกๆวันภายในคฤหาสน์แห่งนี้

สาวใช้วัยกลางคนที่แต่งกายตัวเสื้อผ้าตัวหนาๆ

สามีของเธอเป็นหนึ่งในทหารรับจ้างที่เข้าร่วมในสงครามเพื่อที่จะฆ่าแม่มดตนสุดท้ายแต่เขาไม่เคยได้กลับมาและในตอนนี้เธอก็กำลังรับใช้เจ้าหญิงเอลล่าอยู่

สาวใช้ในวัย 20 ปีที่มีผมสีน้ำตาลยาวสลวย

เธอได้สูญเสียครอบครับทั้งหมดของเธอให้กับแม่มดตนสุดท้ายร่วมไปถึงตาซ้ายกับนิ้วมือขาวของเธอทั้งสามน้ำ

ไม่มีใครสักคนที่ต้องการสาวใช้ที่พิการและมันก็เป็นเจ้าหญิงเอลล่าที่ได้มองมาที่เธอด้วยความใจดี

ถ้าพูดความจริงเลยหละก็ตอนนี้ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป

เรื่องที่เอลล่าต้องถูกฆ่านั้นได้รับการสรุปไว้ล่วงหน้าแล้วแต่ฉันค่อนข้างที่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ต้องทำให้หัวใจของคนเหล่านี้นั้นต้องเจ็บปวดอีกครั้ง

แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่ฉันนั้นไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

นอกจากกล่าวมาทั้งหมดนี้แล้วเหล่าแม่มดก็ยังคงเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ในโลกใบนี้

พวกเขา…ไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาเลย

มันเป็นเรื่องธรรมดา

มันเหมือนกับเด็กที่เอาแว่นขยายมาเผามดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แม่มดเหล่านี้ก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นประเภทเดียวกัน

‘อะไรนะ? เธอฆ่าตัวตายหลังจากที่ฉันต้มลูกของเธอที่พี่งเกิดขึ้นมาแล้วเอาให้เธอกินนะหรอ? มันช่างมหัศจรรย์เสียจริง’

‘อ้า ฉันไม่สามารถที่จะให้นายกินหัวใจของตัวเองได้หลังจากที่ฉันตัดผ่านท้องของนาย…ไม่มีสักส่วนของร่างกายนี้เลยที่ทำงานอยู่’

‘ทำไมนะ? ทำไมมนุษย์ถึงต้องทุกข์ทรมานจากการที่คนรักต้องถูกทรมานด้วยหละ? หรือว่าระบบเส้นประสาทของพวกเขาเชื่อมต่อถึงกัน? อาจจะเป็นไปได้? แต่มันเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันในแต่ละคนไม่ใช่หรือไงน้า?’

มันเป็นปีศาจที่ใส่ซื่อบริสุทธ์

มนุษยชาติเผชิญกับช่วงเวลาหลายปีในความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน โดยแม่มดที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียวทรมานเอา

แล้วในที่สุด มนุษยชาติก็ได้หยิบอาวุธขึ้นสู้ร่วมไปถึงศิลปะการต่อสู้ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากมีอัจฉริยะบางคนได้ลุกขึ้นสู้เพื่อต้องการที่จะเอาชีวิตรอด

หลังจากสงครามนับหลายพันปี มนุษยชาติก็ได้กำจัดเหล่าแม่มดทั้งหมดลงได้อย่างสิ้นเชิงและยุคสมัยแห่งความสงบสุขก็ได้มาเยือน

และมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ที่รู้ว่ายังคงมีแม่มดที่ยังคงเหลือรอดอยู่อีกตนหนึ่ง

……………………………………………………..

ในช่วงสุดสัปดาห์

เอลล่ายังคงฝึกซ้อมเช่นเคยและฉันก็ยังคงป้อนเรื่องไร้สาระให้กับเธอเช่นกัน

ในตอนที่เอลล่ากำลังที่จะออกไปก็ได้มีบางคนที่เข้ามา

เฮเลน อัลมัส

ลูกสาวคนโตของดยุคแห่งอัลมัส อัจฉริยะที่อยู่ในระดับของผู้ชำนาญดาบ

“นานเลยนะที่ไม่ได้เจอกัน เธอดูเปลี่ยนไปมากเลยนี่”

“ในตอนที่ฉันคิดเกี่ยวกับตัวฉันเองในอดีตฉันรู้สึกละอายเป็นอย่างมากนะคะ”

การเผชิญหน้าของพวกเขานั้นตรึงเครียดเป็นอย่างมากจนพวกคุณสามารถที่จะได้ยินเสียงเข็มตกพื้นได้เลย

ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เฮเลนและเอลล่าไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันเลย

เกิดในตระกูลอัลมัส เฮเลน อัลมัส เธอเป็นคนเลือดเย็นและมีหัวที่ใจที่แข็งดังเหล็กกล้าสำหรับการฝึกวิชาดาบที่มากกว่าทุกๆคนเสียอีก

และตั้งแต่ที่เอลล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ในแบบที่น่าผิดหวังตั้งแต่ยังเด็กด้วยการที่เธอระบายความโมโหร้ายของเธอใส่คนรอบๆตัวโดยไม่มีความคิดที่จะจับดาบเลยด้วยซ้ำ เฮเลนเลยเกลียดเธอที่จุดนี้มากที่สุด

เพราะเรื่องนี้เอง เฮเลนเลยเมินเฉยใส่เอลล่าเสมอมาและเอลล่าก็หวาดกลัวเธอเป็นอย่างมากจนถึงจุดที่เธอจะตัวสั่นเป็นหนูที่หวาดกลัวแมวทุกครั้งที่เจอหน้าเฮเลน

แต่มันแตกต่างไปจากเดิมแล้วในตอนนี้

เอลล่า อัลมัสและเฮเลน อัลมัสได้ประจันหน้ากันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆเลยในตอนนี้

“…ดูเหมือนว่าตอนนี้ แววตาของเธอจะเปลี่ยนไปมากเลยนี่”

“ทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้คือการเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ด้วยความภาคภูมิใจค่ะ”

“ใช่แล้ว ยอดเยี่ยมมาก ฉันจะคอยจับตาดูเธอต่อไปอีกสักพักละกัน แล้วก็ดาบของเธอดูซื่อตรงดีนะ”

“ฉันปลื้มใจมากเลยค่ะ มันยังคงอ่อนแออยู่มากถ้านำไปเปรียบเทียบกับท่านพี่นะคะฉันเพียงแค่มีอาจารย์ที่ดีเท่านั้นเองค่ะ”

“ฉันได้ยินข่าวลือมาแล้วว่ามีอาจารย์เช่นนั้นอยู่ คนที่พิเศษเป็นอย่างมากที่มาที่นี้ในตอนนี้”

ในตอนที่ฮาเลนมองมาที่ฉัน ฉันได้ก้มโค้งคำนับด้วยท่าทางที่เหมาะสม

เธอเข้ามาหาฉันและยืนมือของเธอออกมาด้านหน้าของฉันเพื่อจับมือ

“ขอบคุณสำหรับการสอนน้องสาวโง่ๆของฉัน ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นปรมาจารย์ดาบอย่างนั้นหรือแต่ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนที่แปลก

มากเลยนะ”

นิสัยของฮาเลนนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างไปจากสิ่งที่ฉันได้ยินมาจะเหล่าสาวใช้ทั้งหลาย

คนที่อยู่ตรงหน้าของฉันนี้เป็นคนช่างพูดและไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นคนที่เลือดเย็นไร้ความปราณีตรงไหนเลยซึ่งมันก็ทำให้แม้แต่เหล่าคนรับใช้คนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

“มันเป็นเพียงแค่พรสวรรค์เดียวที่ผมมีนะครับ และผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงเอลล่าครับ”

“หุหุ คุณไปถึงของเขตของปรมาจารย์ดาบได้แต่คุณยังคงเป็นคนที่สุภาพจริงๆเลยนะ”

เฮเลนได้ทักทายฉันเล็กน้อยแล้วหันเหความสนใจของเธอกลับไปที่เอลล่า

“ฉันเห็นว่าเธอกำลังพักอยู่ใช่ไหนในตอนนี้ถ้างั้นเธอว่าแผนว่าจะทำอะไรหละสำหรับวันพักผ่อนแบบนี้?”

“ฉันกำลังจะไปอธิษฐานที่โบสถ์นะคะ”

“โอ้วดีเลยงั้นก็ไปด้วยกันเลยสิ”

ดูเหมือนว่าเฮเลนจะชอบใจกับเอลล่าที่เปลี่ยนไปจากเดิม

มันเป็นการพัฒนาที่ธรรมดามา

ขุนนางที่มีนิสัยสุดแสนจะแย่ได้เปลี่ยนตนเองไปแบบหลังตี-เป็นหน้ามือและผู้คนรอบข้างต่างพากันยอมรับ

แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ยังแม้แต่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัวของพวกเขาอีกด้วย

นี้ก็เป็นพล็อตเรื่องซ้ำซากที่มีทั่วไปเช่นกัน

“ได้ค่ะ งั้นไปกันเลยนะคะ”

หลังจากการเตรียมการช่วงสั้นๆเฮเลน,เอลล่า และเหล่าคนงานในคฤหาสน์สองสามคนได้มุ่งหน้าไปที่โบสถ์

มันเป็นการบูชาศาสนาหลักประจำจักรวรรดิอาเล็ตเทียร์ ‘เทพธิดาแห่งสงครามและชัยชนะ อลาเซีย’

โดยที่ได้ตามพวกเขาไปฉันได้มองไปที่แผ่นหลังของฮาเลน

ฮาเลน อัลมัส

เธอก็มีเรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรมเช่นกัน ด้วยการสูญเสียแม่ของเธอให้กับแม่มดตนสุดท้าย

ซึ่งได้นำไปสู่จุดเริ่มต้นของเหตุผลที่ดยุคต้องการที่จะฆ่าแม่มดตนสุดท้ายตนนี้เพื่อล้างแค้นให้กับภรรยาอันเป็นที่รักของเขา

โบสถ์แห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวดยุคแห่งอัลมัสดังนั้นมันถึงเป็นเหตุผลที่โบสถ์นี้นั้นใหญ่โตมาก

เหล่าลูกชายลูกสาวของเขาก็มักจะมาสวดภาวนากันที่นี้เสมอ

ฉันเป็นเพียงแค่คนนอกดังนั้นฉันได้เลือกที่จะนั่งอยู่ด้านหลังอย่างเหมาะสมและทำเหมือนกับว่ากำลังสวดภาวนาอยู่

บทเพลงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ได้บรรเลงคลอลงมาและชายที่สวมอยู่ในชุดสีดำ คนที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นนักบวชได้ออกมาแล้วพูด

มันน่าเบื่อมาก

“เหล่าสาธุชนทั้งหลาย ขอให้พวกท่านจงปลดปล่อยความกังวลของวันวานและมองไปยังอนาคตอันสดใสที่รออยู่เบื้องหน้าของพวกท่านเถิด”

ในทันทีที่นักบวชคนนั้นพูดจบลงเอลล่าได้หลั่งน้ำตาออกมา

แม้ว่าเสียงร้องไห้นี้เบามากแต่ที่นี้นั้นค่อนข้างที่จะเงียบเป็นอย่างมากจนถึงแม้ว่ามันจะเบาแค่ไหนก็ตามทุกคนก็ยังคงได้ยินมันได้

เฮเลนถามเอลล่าด้วยใบหน้าที่บูดบึง

“มีอะไรหรือไง?”

“…ไม่มีค่ะ ฉันก็แค่เสียใจกับสิ่งที่ฉันเคยได้ทำลงไป ฉันรู้สึกละอายใจและฉันอยากจะขอโทษให้กับทุกสิ่งเพราะงั้น…ฮึก..ฮึกฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”

“…!”

เฮเลนมีสีหน้าที่ประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของเธอ และในตอนนั้นเอง

คุณลูกค้าก็ได้พูดขึ้น

<อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอกเอลล่าได้รับการตื่นขึ้นอย่างช้าๆ>

เอลล่า

มีชีวิตอยู่ด้วยการเป็นแม่มดมาทั้งชีวิตและไม่เคยรู้สึกหรือได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกใดๆเลย เธอสงบเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะเป็นตอนที่ความตายของเธอมาเยือนด้วยดาบของดยุคที่แทงทะลุหน้าอกก็ตาม

การแก้แค้น?

เธอไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นอยู่เลย

เธอแค่ตายลงไปเพียงเพราะว่าเธออ่อนแอนั้นคือสิ่งที่เธอคิด

ดังนั้นแล้วเธอไม่แม้กระทั้งจะรู้ว่าทำไมดยุคถึงได้ฆ่าเธอ

นั้นคือทั้งหมด

หลังจากที่ได้เกิดใหม่ในร่างกายของเอลล่าแล้วเธอได้ค้นพบความสุขและความเสียใจ

เธอรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบเธอจดจำเธอได้และเธอก็รู้สึกดูถูกตัวเธอเองในอดีต

คนจำนวนมากมายเท่าใดกันที่เธอได้ฆ่าไปกับมือ?

สิ่งที่แสนน่าสะพรึงกลัวอะไรบ้างที่เธอได้ทำลงไป

‘นับจากตอนนี้ สำหรับทุกๆคน ฉันจะมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการชดใช้บาปนี้’

นี้เป็นพล็อตเรื่องทั้งหมดของตัวเองเอลล่า

…ดังนั้น

“จริงๆนะค่ะ ฮึก! ฉันเสียใจกับทุกคนจริงๆค่ะ”

“โอ้วไม่เจ้าค่ะคุณหนู”

“ดิฉันจำไม่ได้เลยเจ้าค่ะว่าเคยถูกคุณหนูกลั่นแกล้งตอนไหน”

“คุณหนูได้เติบโตขึ้นอย่างงดงามและซื่อตรงแล้วนะเจ้าค่ะ”

แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันนะแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างติดอยู่ที่คอในตอนที่ฉันได้เห็นผู้คนเหล่านี้แสดงความเห็นอกเห็นใจเธอ

นี้มันไม่ใช่การขอโทษสำหรับสิ่งที่เอลล่าได้ทำลงได้

เธอกำลังขอโทษสำหรับสิ่งที่เธอได้ทำลงไปในอดีตในตอนที่เป็นแม่มดไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เอลล่าคนก่อนได้ทำลงไป

แต่ถึงอย่างไรผู้คนโดยรอบฉันกับตกลงไปในความลวงนี้และพวกเขาทั้งหมดกลับรู้สึกซาบซึ่งและร้องไห้ออกมาเพื่อเธอ

ในเวลาไม่นานโบสถ์แห่งนี้ได้กลายมาเป็นทะเลแห่งน้ำตาและเอลล่าได้ขอโทษทุกคนจนกระทั้งถึงนาทีสุดท้าย

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับฉันถ้าเธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจริงๆอะนะเธอควรที่จะเปิดเผยความจริงซะมากกว่า

มีผู้คนจำนวนมากเพียงใดกันที่ได้รับผลพวงจากความอยากรู้อยากเห็นของเธอในอดีต?

เธอกำลังพยายามที่จะให้เหตุผลกับตัวเธอเองด้วยการขอโทษพวกเขาโดยไม่มีแม้กระทั้งความคิดที่ว่าจะเปิดเผยตัวตนของเธอ

‘เพราะว่าฉันเสียใจจริงๆ ฉันจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ด้วยการชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำลงไปและยอมรับความผิดที่ตนได้ทำ’

เธอรู้ดี

ถ้าเธอเปิดเผยความจริงออกไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เธอเลยกลัวในสิ่งที่เธอคิด

เพราะว่าเธอต้องการที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของเธอแม้ว่าเธอจะพูดว่าเธอเสียใจก็ตาม

เธอกำลังหลอกลวงทุกคน

ถ้อยคำที่ว่างเปล่านั้นยังไม่เพียงพอ

การขอโทษทุกคนแบบนั้นไม่นับเป็นการขอโทษแต่เป็นเพียงแค่การหลอกลวงและมันไม่ใช่ทั้งการขอโทษหรือการชดใช้เลย

“ทุกคนค่ะ จากกันบึงของหัวใจฉัน ฉันขอโทษ..”

ฉันที่ได้ฟังโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอย่างเงียบๆ

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอะไรมันไม่สำคัญว่าเอลล่าจะขอโทษจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม

การมองดูไปที่การขอโทษที่ผสมปนเปไปด้วยความเสแสร้งและความจริงใจฉันคิดว่าฉันมีทางที่จะล่าเธอได้แล้วหละ

‘เธอรู้สึกเสียใจงั้นหรอ?’

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงหละก็ ฉันจะช่วยให้คำขอโทษของเธอมันมีความจริงใจมากกว่านี้เอง

……………………………………………………..

ในช่วงกลางดึกที่เงียบสงัด

คืนที่เองในตอนที่ทุกคนได้หลับลึกไปแล้วซอดัมได้มาอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาใกล้กลับคฤหาสน์แห่งนี้

มันแตกต่างออกไปจากแผนการดั้งเดิมของฉันแต่มันถึงเวลาที่จะต้องเริ่มต้นการล่าแล้ว

คลิ๊กคลิ๊ก!

จุดที่ถูกเล็งไปนั้นช่างอยู่ห่างไกลไปจากการที่จะฆ่าใครสักคนได้

แต่ปืนซ็อตกันของฉันนั้นไม่ได้เด่นในด้านนั้นอยู่แล้ว

เหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้เอาเมก้าชูตเตอร์ของฉันออกมานั้นเพราะว่าฉันมีเหตุผลอื่น

หลังจากที่ได้ติดตั้ง ‘ตัวปล่อยอีเทอร์’ ลงบนเมก้าชูตเตอร์แล้ว ฉันได้เอาตาของฉันได้ที่สโคป

แม้ว่าระยะห่างนั้นค่อนข้างที่จะไกลและสายลมที่เยือกเย็นก็ยังพัดมาตลอดเวลาแต่สโคปของฉันนั้นสามารถที่จะคำนวนเรื่องทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ

ในอดีต สไนเปอร์จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและจำเป็นจะต้องอ่านทางลมและอีกหลายอย่างแต่ในปัจจุบันนี้เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนามาถึงขอบเขตนี้แล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป

ตามจริงแล้วถ้าเป้าหมายของฉันเป็นการยิงเพื่อฆ่าจริงๆแล้วหละก็มันคงจะดีกว่าที่จะใช้ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเดียวแทนการใช้ปืนซ็อตกันที่ทำดาเมจเป็นวงกว้างแต่ว่านะฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะล่าเธออยู่แล้ว

มันสำคัญที่ว่าจะต้องทิ้งร่องลอยความเสียหายไว้ต่างหาก

ฟิ้วฟิ้ว!

สายลมได้พัดผ่านเส้นผมของซอดัม

ฉันได้กลั้นหายใจเอาไว้แล้วก็เหนี่ยวไก

ปัง!!

เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนพื้นดิน

คลิ๊ก ตูม!

ห้องนอนของเอลล่านั้นถูกปะทะด้วยแรงเบิดครั้งใหญ่

มันใช้เวลาน้อยกว่าวินาทีซะอีกในการที่อัศวินจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

“เป็นอะไรไหมขอรับ คุณหนู…!?”

อัศวินเหล่านั้นได้เปิดประตูห้องนอนของเอลล่าและเข้าไปอย่างรวดเร็ว

มันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง

ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องนั้นกลายเป็นเถาถ่านและเตียงนอนนั้นได้ถูกเป่าหายไปครึ่งหนึ่ง

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเอลล่าก็ยังสบายดี

“อ้า…ฉันสบายดีค่ะ ไม่ต้องกังวลไป”

ไม่นานหลังจากนั้นเฮเลน อัลมัสในชุดนอนของเธอก็ได้เข้ามาพร้อมกับดาบในมือของเธอ

“เอลล่า! เธอเป็นยังไงบ้าง?!”

“ท่านพี่…”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงที่ว่าคนที่มักจะทำตัวเย็นชาอยู่เสมอนั้นวิ่งมาด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ในตอนที่ได้ยินเสียงระเบิด เอลล่าได้วิ่งไปสู่อ้อมกอดของเฮเลนอย่างรวดเร็ว

เฮเลนก็ได้ลูบหัวของเอลล่าด้วยความโล่งใจในความจริงที่ว่าเธอนั้นปลอดภัย

“มันโอเคแล้วไม่ต้องกังวลนะ เซ็ตสึ คาลเมอร์ ค้นหาบริเวณโดยรอบเดียวนี้”

“ครับผม!”

หลังจากที่ได้สั่งการพวกอัศวินไปเฮเลนยังลูบหัวของเอลล่าที่ยังคงอยู่ภายใต้วงแขนของเธอ

แล้วเธอก็สังเกตเห็นถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดในทันที

‘อะไรนะ…นี่มัน…?’

เตียงนอนที่เอลล่าเคยนอนอยู่นั้นถูกตัดในลักษณะเป็นครึ่งวงกลม

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องนี้นั้นกลายเป็นเถ้าถ่านยกเว้นเพียงแค่ในระยะครึ่งวงกลมรัศมีสามเมตรรอบเตียงและมีเพียงแค่พื้นที่ที่เอลล่าได้นอนอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

‘ครึ่งวงกลมนี้มัน…?’

อยู่ดีๆเฮเลนก็ได้มีความคิดที่น่าเหลือเชื่อเข้ามาในหัวของเธอ

ตรงพื้นที่ครึ่งวงกลมที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

นี่…ไม่ใช่ว่ามันคล้ายกับความสามารถบางอย่างของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกนี้แล้วอย่างนั้นหรอ?