ตอนที่ 73 เฟิงอวี่

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียง ท่าทีของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน หยางเย่ยืนขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะเผยดาบในมือออกมา เพราะหากมีใครจะเอาตัวมารดาไป พวกมันจะต้องข้ามศพเขาไปก่อน!

มารดาหยางเย่หัวเราะอย่างขมขื่น “อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดแล้วล่ะ”

ทันทีที่กล่าวจบ นางจับมือหยางเย่และเสี่ยวเหยาเดินออกไปจากบ้านหิน

สตรีห้าคนยืนสวมชุดกระโปรงสีฟ้ามีลวดลายเป็นดอกไม้กำลังยืนรออยู่นอกบ้านหิน มีดอกไม้ที่สง่างามไร้ชื่อปักอยู่บนหน้าออกของพวกนาง ภายใต้แสงจันทร์ส่องประกาย มันเปล่งประกายระยิบระยับอย่างสวยงาม

เมื่อมองไปยังสัญลักษณ์ หยางเย่ทราบทันทีว่าพวกนางมาจากราชวังบุปผา

อีกด้านหนึ่ง กลุ่มของชิงหงที่ยืนรักษาการณ์อยู่นอกบ้าน พวกเขาได้หมอบลงกับพื้นเรียบร้อยแล้ว หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าทุกคนยังหายใจอยู่ และแค่หมดสติไปเท่านั้น

ประกายความซับซ้อนปรากฏผ่านดวงตาของมารดาหยางเย่เมื่อเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่ม “เฟิงอี้ ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะเป็นองครักษ์บุปผา!”

รอยยิ้มเย็นเยือกเผยออกมาจากสตรีนามว่าเฟิงอี้ “ใช่แล้ว เจ้าประหลาดใจหรือไม่ล่ะ? หลายปีก่อน พรสวรรค์ของเจ้าเหนือกว่าของข้ามาก หากไม่ออกจากราชวังบุปผาเพื่อชายคนนั้น เจ้าคงประสบความสำเร็จมากกว่าข้าไปแล้ว! แต่โชคร้าย เจ้า… ที่ผู้คนต่างเรียกว่าเทพธิดาเฟิงเมื่อหลายปีก่อน กล้าหักหลังราชวังบุปผาเพื่อชายเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เจ้าอยู่เพียงแค่ขั้นปราณจิตวิญญาณระดับสอง”

หยางเย่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีตรงหน้ารู้จักกับมารดาของเขา ‘ดูเหมือนจะมีบางอย่างขัดแย้งระหว่างกัน ไม่ดีแน่!’

มารดาหยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่ต้องการจะสนทนากับสิ่งเกิดขึ้นในอดีตไปแล้ว เฟิงอี้ เนื่องจากเราเคยอยู่สำนักร่วมกันมาก่อน ข้าอ้อนวอนเจ้าให้ช่วยปล่อยเด็กไป เป็นข้าเองที่ละเมิดกฎของราชวัง มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา หากเจ้าปล่อยเด็กไป ข้าจะตามเจ้ากลับไปยังราชวังบุปผาทันที!”

เฟิงอี้มองไปยังหยางเย่และเสี่ยวเหยา จากนั้นนางกล่าว “เฟิงอวี่ เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้งั้นหรือ? ตามกฎของราชวัง พวกเขาต้องกลับไปพร้อมกับเจ้า และต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกันไม่ว่าจะยอมไปหรือไม่ เจ้าก็ไม่มีสิทธิเลือก!”

“พวกเขายังเป็นแค่เด็กไร้เดียงสาอยู่นะ!” เฟิงอวี่กล่าวด้วยเสียงต่ำ

เฟิงอี้หัวเราะอย่างเย็นเยือก “หากพวกเขาเป็นลูกเจ้า เช่นนั้นก็หาได้ไร้เดียงสาไม่ อันที่จริง ข้าก็ไม่เข้าใจว่าชายคนนั้นมีอะไรดี? เจ้าถึงกล้าทรยศราชวังเพื่อมัน อย่าบอกว่าเพราะความรักล่ะ หากมันรักเจ้าจริง มันก็ไม่ควรมายุ่งกับเจ้า หรือชวนเจ้าหนีออกจากราชวัง ยิ่งกว่านั้นอย่ามาบอกด้วยว่ามันไม่ทราบกฎของราชวังบุปผา!”

ประกายแห่งความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฟิงอวี่ จากนั้นไม่นาน นางส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่ต้องการพูดถึงมัน เฟิงอี้ ด้วยการที่เคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าอ้อนวอนให้เจ้าปล่อยลูกของข้าไปเสีย”

“ไม่ได้!” เฟิงอี้ปฏิเสธอย่างเย็นชา “ที่ข้าปฏิเสธไม่ใช่เพราะความอิจฉาอะไร ข้ายอมรับว่าเคยอิจฉาเจ้าเมื่อหลายปีก่อน แต่เมื่อเห็นเจ้าตอนนี้ข้าไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เจ้าน่าจะตระหนักดีว่าเหตุใดข้าถึงปฏิเสธ กฎของราชวังบุปผาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเปลี่ยนหรือต่อต้านได้ พวกเขาต้องกลับไปพร้อมกับเจ้าเพื่อรับการลงโทษ!”

ขณะที่เฟิงอวี่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ทันใดนั้นหยางเย่มองไปที่มารดาของเขาก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมเอ่ยคำ “ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องไปอ้อนวอนนาง ลูกของท่านช่างไร้ความสามารถนัก ถึงแม้จะไม่สามารถปกป้องท่านหรือเสี่ยวเหยาได้ ข้าก็จะขออยู่และตายไปพร้อมกับทุกคน”

“เหยาเอ๋อก็ต้องการจะตายไปพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ เหยาเอ๋อจะไม่ทิ้งท่านแม่ไว้!” เสี่ยวเหยาที่จับมือของเฟิงอวี่กล่าวอย่างหนักแน่น

น้ำตาของเฟิงอวี่ได้ไหลนองออกมาอีกครั้ง นางดึงทั้งสองเข้าไปกอดพร้อมกล่าว “ไม่มีผู้ใดไร้ความสามารถทั้งนั้น แม่เองที่ไร้ความสามารถปกป้องพวกเจ้า เป็นแม่เองที่ไร้ค่า…”

เมื่อนางเห็นภาพนี้ ประกายแห่งความสับสนปรากฏผ่านดวงตาของสตรีหลายคนด้านข้าง แต่พวกนางก็กลับมาสงบอีกครั้ง ถึงแม้พวกนางจะสงสารทั้งสามคม แต่ก็ไม่มีใครกล้าละเมิดกฎของราชวังบุปผา!

ท่าทีเฟิงอี้ยังสงบนิ่ง อารมณ์ในดวงตานางหาได้เปลี่ยนแปลงไม่ อย่างที่เคยกล่าว นางเคยอิจฉาเฟิงอวี่จริงในอดีต หรือกล่าวได้ว่าศิษย์รุ่น ‘เฟิง’ ในราชวังบุปผาต่างอิจฉาเฟิงอวี่ เพราะตอนนั้นเฟิงอวี่ถูกเรียกว่าเทพธิดาเฟิง และไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง หรือพรสวรรค์ นางมีเกินหน้าเกินตาทุกคนในรุ่น ดังนั้น ไม่ว่าพวกนางจะฝึกหนักเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถประชันกับนางได้! เวลานั้น เฟิงอวี่ได้เป็นถึงผู้นำของรุ่นหลังในราชวังบุปผา!

ถูกต้อง ณ เวลานั้นถึงแม้นางจะอิจฉาเฟิงอวี่เพียงใด เฟิงอี้ก็ไม่กล้าต่อกรกับเฟิงอวี่ เพราะทั้งสำนักให้ความสำคัญกับเฟิงอวี่อย่างมาก ทั้งยังต้องพึ่งพานางในการครอบครองตำเหน่งในเทียบอันดับสวรรค์ แต่โชคร้ายที่ศิษย์คนนี้ของราชวังบุปผากลับทรยศราชวังเพื่อชายเพียงคนเดียว เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าแห่งวังหลวงกับผู้อาวุโสโกรธเคืองอย่างมาก

เพราะเหตุนี้ราชวังบุปผาจึงยังตามล่าตัวเฟิงอวี่จวบจนทุกวันนี้

เมื่อทราบว่าเฟิงอวี่จะไม่กลับมายังราชวังบุปผา เฟิงอี้ทำได้เพียงถอนหายใจข้างใน จากนั้นนางจึงเริ่มไล่ตามเฟิงอวี่ เพราะต้องการทราบว่าเฟิงอวี่จะเป็นอย่างไรหลังจากละเมิดกฎ

ตอนนี้นางเห็นแล้ว เฟิงอวี่ได้สูญเสียท่าทีสง่างามที่เคยมีในอดีตไปหมดสิ้น และความแข็งแกร่งของเฟิงอวี่ยังด้อยกว่านางมาก ‘อันที่จริงเราควรมีความสุขเมื่อเห็นแบบนี้ แต่นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว เรากลับรู้สังเวชแทน?’

‘กฎของราชวังบุปผามันโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่นะ?’

เมื่อนึกได้เช่นนั้น หัวใจของเฟิงอี้เต้นรัว จากนั้นนางรีบระงับความคิดทั้งหมดพร้อมมองไปยังทั้งสาม “เฟิงอวี่ ไปกับข้าได้แล้ว!”

หยางเย่หันไปมองเฟิงอี้ เขาสูดหายใจลึกก่อนจะปล่อยพลังปราณในร่างออกมาอย่างรุนแรง หยางเย่ไม่ยอมยืนอยู่เฉย หรือมองดูมารดาถูกจับไปลงโทษเพราะกฎของราชวังบุปผาแน่นอน

เขาทราบว่าไม่อาจสู้กับพวกนางทั้งห้าได้ หรือกล่าวได้ว่าไม่สามารถสู้กับใครได้สักคน แต่เพราะอะไรงั้นหรือ? มารดากับน้องสาวกำลังยืนอยู่ข้างหลัง แม้ว่าศัตรูตรงหน้าเป็นยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์ก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน!

“ความกล้าหาญนับว่าน่ายกย่อง แต่เจ้าประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไป!” ขณะมองไปที่หยางเย่ที่ชักดาบออกมา เฟิงอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“ก็อาจจะ!” ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของเขาได้หายไปทันที ดาบของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณ จากนั้นมันพุ่งแทงไปที่เฟิงอี้อย่างรวดเร็ว

หยางเย่ไม่คิดจะออมมือ หรือไม่กล้าที่จะออมมือ เขาไม่ทราบว่าเฟิงอี้อยู่ขั้นปราณอะไร แต่ทราบว่านางแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าหัตถ์โลหิต หรือชูฉิงซือในวันนั้น และเขาทราบดีว่ากำลังทำอะไรที่เกินความสามารถ แม้จะมีโอกาสที่ต้องโดนกำจัดหากแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับนาง แต่ทำไมถึงยังสู้ล่ะ?

เหตุผลเดียวคือเพื่อคนที่รัก แค่นั้นเขาก็ไม่เกรงกลัวต่อความตาย หรือแม้จะต้องสูญเสียจิตวิญญาณจนไม่ได้ผุดได้เกิดก็หาได้เสียใจไม่!

ความเร็วและกำลังของหยางเย่ทำให้เฟิงอี้ประหลาดใจไม่น้อย ไม่เพียงแค่นาง แม้กระทั่งสตรีด้านหลัง และเฟิงอวี่ก็ต่างประหลาดใจ เพราะการบรรลุพลังระดับนี้แม้จะอยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ เขาก็นับว่าเป็นอัจฉริยะอย่างมากแม้กระทั่งในราชวังบุปผา

“ไม่เลวทั้งความเร็วและพลังโจมตี!” ทันทีที่กล่าวจบ เฟิงอี้สะบัดมือไปที่หยางเย่ พลังลมที่รุนแรงพัดหยางเย่กระเด็น แต่ดาบในมือของหยางเย่เองก็ได้พุ่งออกไปราวกับลูกธนูเช่นกัน มันกลายเป็นดาบสีทองพุ่งทะลุลมและตรงไปยังเฟิงอี้

เวลานี้เฟิงอี้ไม่เพียงแค่ประหลาดใจ นางยังรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพราะไม่คาดคิดว่าการโจมตีของหยางเย่จะเฉียบคมจนตัดผ่านลมของตนเองได้ ถึงแม้ลมนี้จะเกิดขึ้นเพียงแค่สะบัดมือ แต่นางเป็นถึงยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณระดับแปด! กล่าวคือ การโจมของยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่จะถูกผู้ใช้พลังปราณขั้นนี้ทำลายได้

ขณะที่เข้าไปรับร่างหยางเย่ที่กระเด็นจากลมของเฟิงอี้ ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาเฟิงอวี่ เมื่อเห็นดาบของหยางเย่ทะลุผ่านพลังลม มันเห็นได้ชัดว่ามันช่างเหนือจินตนการของทุกคน

ตั้งแต่ที่ส่งหยางเย่ไปยังสำนักดาบราชันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากจะให้หยางเย่มีความสามารถเพื่อเอาชีวิตรอดในเขตแดนใต้ นางยังทำเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของราชวังบุปผา แต่ไม่คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของหยางเย่จะร้ายกาจถึงเพียงนี้!

‘เขาจะต้องไม่ถูกพาตัวไปยังราชวังบุปผา!’ ทันใดนั้นนางได้ตัดสินใจแล้ว แน่นอนว่าเฟิงอวี่ไม่เคยคิดจะให้หยางเย่ถูกพาตัวไปตั้งแต่แรก เพราะเมื่อพวกเขาถูกนำตัวยังราชวังบุปผา แม้จะไม่ตาย แต่ตลอดชีวิตที่เหลือจะถูกควบคุมโดยราชวัง เช่นนั้นนางจึงไม่อาจปล่อยให้ลูกตนเองไปเป็นทาสได้

ปั้ง!

เฟิงอี้สะบัดมืออีกครั้ง ทำให้ดาบของหยางเย่กระเด็นไป ยิ่งกว่านั้นมันหันไปแทงหยางเย่ด้วยความเร็วมหาศาล

เมื่อเห็นดาบพุ่งมาราวกับสายฟ้า เฟิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น นางตั้งใจจะเข้าปะทะ แต่ดาบกลับเริ่มช้าลงแทน ภายใต้สายตาทุกคู่ที่กำลังตกตะลึง ความเร็วของดาบก็ได้ช้าลงไปทุกทีราวกับมันกำลังเดินไปหาหยางเย่

ขณะที่มองไปยังดาบตรงหน้าหยางเย่ ประกายแห่งความดำมืดปรากฏขึ้นในดวงตาเฟิงอี้ จากนั้นได้นึกคิดบางอย่างขึ้นมา ไม่นานจิตสังหารได้ปรากฏผ่านดวงตานางอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าความสามารถ และความแข็งแกร่งของหยางเย่ทำให้นางรู้สึกว่าเขาจะเป็นภัยในอนาคต!