ตอนที่ 72 องครักษ์บุปผา

ร่างนั้นไม่ใช่ของชิงหง แต่เป็นหลิวชิงอวี่แทน!

สายตาเขามองไปยังโฉมงามที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ส่วนชิงหงถึงกับตกอยู่ในภวังค์ ‘อะไรกัน? ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ถูกตบกระเด็นด้วยฝีมือโฉมงามผู้นี้หรือ?’

ขณะมองไปยังโฉมงามตรงหน้า เสี่ยวเหยาเปิดดวงตาที่สดใสออกกว้างจากสิ่งที่เห็น!

พวกชุดดำที่ยืนอย่างระมัดระวังอยู่ข้างหลังหลิวชิงอวี่ ทุกคนเกิดอาการสับสนจนตัวแข็งเป็นหิน!

อั่ก…

หลิวชิงอวี่เรียกคืนสติกลับมา เขายืนขึ้นอย่างช้า ๆ ขณะมองยังโฉมงามตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว! อัจฉริยะที่อยู่อันดับสิบเก้าของเทียบอันดับสำนักนอก เขาเคยรู้สึกว่าตนเองสามารถแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับผู้อาวุโสนอกได้สักสองถึงสามกระบวนท่า แต่ตอนนี้ อย่าว่าแต่ตอบโต้กลับ เขาไม่สามารถมองเห็นการโจมตีของนางเลยด้วยซ้ำ!

หรือนางเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ?

เมื่อนึกได้เช่นนั้น ร่างของหลิวชิงอวี่เริ่มสั่นเทา

โฉมงาดมองหลิวชิงอวี่อย่างเย็นชา จากนั้นนางเงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าพร้อมกล่าว “ข้าต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบเท่านั้น แค่ชีวิตที่สงบ…” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้า

หยางเย่และหมานจื้อได้มาถึงพอดี พวกเขาทั้งสองชะงักเมื่อเห็นเหตุการณ์โดยรอบ แต่ไม่นานหยางเย่ก็ได้เรียกสติกลับมาพร้อมชักดาบ เขาตั้งใจจะจัดการกลุ่มคนชุดดำตรงหน้าก่อน

“เย่เอ๋อ ปล่อยพวกเขาไป!” ทันใดนั้น โฉมงามได้กล่าวออกมา

แม้จะไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น หยางเย่ก็ไม่กล้าขัดคำของมารดา เขาสูดหายใจลึกพร้อมเก็บดาบก่อนจะเดินไปหานาง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวชิงอวี่รีบคลุมหน้าหลังจากได้สติกลับมา พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่ออีก และพากันรีบหนีออกไป เพียงไม่กี่ก้าว ทั้งหมดก็ได้หายไปในความมืด

เวลานี้ความหวาดกลัวในใจหลิวชิงอวี่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้! ‘เหลือเชื่อ! ท่านพ่อต้องการแต่งกับยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ และให้มาเป็นนางสนมงั้นหรือ?’

เมื่อนึกได้เช่นนั้น ร่างของหลิวชิงอวี่ถึงกับเหงื่อตก ‘มันเป็นเรื่องที่กล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก! โชคดีที่นางตั้งใจแค่จะมีชีวิตที่สงบสุข มิเช่นนั้นตระกูลหลิวคงไม่รอดแน่!’

“ศิษย์พี่หลิว ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่สามารถร่วมมือกับท่านได้ รักษาตัว!” ทันใดนั้นเฉินเฟิงบอกหลิวชิงอวี่ก่อนจะหายไปในอีกด้านหนึ่ง

“ศิษย์พี่หลิว ข้าเองก็ต้องไปเช่นกัน…” ไม่ช้า ศิษย์อีกคนของสำนักดาบราชันก็ได้จากไป

หลิวชิงอวี่มองพวกเขาอย่างเย็นเยือก ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามทั้งสอง เพราะพวกเขาไม่ต้องการทำให้ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณขุ่นเคือง ถึงแม้นางจะไม่ตามมาเอาเรื่อง แต่ใครจะมั่นใจได้ว่านางจะไม่เปลี่ยนใจล่ะ?

ดังนั้นหากทั้งสองยังอยากมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นต้องรีบกลับสำนักดาบราชันก่อน เพราะพวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดเมื่ออยู่ในสำนักดาบราชัน!

“คุณชาย…” คนชุดดำอีกคนไม่ได้หนีไปไหน เพราะเขาเป็นแขกผู้อาวุโสของตระกูลหลิว ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ไม่อาจหนีไปไหนได้! ถึงแม้เขาจะไม่หนี ก็ไม่ได้หมายความจะไร้ซึ่งความกลัวต่อยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ!

หลิวชิงอวี่กล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางบอกว่าต้องการจะอยู่อย่างสงบเท่านั้น ท่านกลับไปบอกพ่อของข้าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาทราบว่าควรทำยังไง”

“แล้วคุณชายล่ะ?”

“ข้าจะกลับไปยังสำนักดาบราชัน เพราะข้าได้ตกลงประลองกับลูกของนาง หากนางทราบเรื่องนั้นจะตมาจัดการข้าก่อนแน่ เพราะลูกของนางอยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้า แต่ข้าอยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับสาม

“แต่…”

“แต่อะไรอีก? ทำตามที่ข้าบอก!”

“ขอรับ!”

……

เมืองหลวงของจักรวรรดิต้าฉิน

ภายในห้องหรูหรา มีโฉมงามคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นางเปิดตาขึ้นทันทีก่อนจะกล่าว “ในที่สุดเจ้าก็ได้ต่อสู้แล้ว!”

ทันทีที่กล่าวจบ สตรีผู้นั้นรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินไปหาหญิงสาวด้านนอก “รวบรวมองครักษ์บุปผา เฟิงอวี่ปรากฎตัวที่เมืองทักษิณภิรมณ์ รีบไปยังเมืองทักษิณภิรมณ์ในทันที”

“ค่ะ ผู้อาวุโสเฟิงอี้!”

……

ในบ้านหิน โฉมงามยื่นมือไปจับใบหน้าหยางเย่ ท่าทีที่งดงามปรากฏผ่านดวงตานาง “เป็นเวลาสองปีแล้วสินะ แม่ไม่คิดว่าเย่เอ๋อจะเติบโตเป็นหนุ่มได้ขนาดนี้”

น้ำตาได้ไหลออกมาจากดวงตาหยางเย่ ‘ตั้งสองปีกว่าเราจะได้กลับมาบ้าน’

จากนั้นไม่นานเขาเอ่ยถาม “ท่านแม่ ท่าน… ท่านเป็นผู้ใช้พลังปราณจริงหรือ?”

หยางเย่ไม่อาจยอมรับได้ว่ามารดาของเขาเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจ เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันถึงสิบปี และความประทับใจในตัวนางคือความสุภาพ คุณธรรม และไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร สิ่งที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของนางในทันที

โฉมงามพยักหน้าก่อนจะดึงหยางเย่เข้าไปในอ้อมกอด นางลูบหัวเสี่ยวเหยาพร้อมกล่าว “แม่จะบอกพวกเจ้าทั้งสองทุกเรื่องตอนนี้”

เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ชิงหงและพรรคพวกที่นั่งอยู่ด้านข้างหันมองหน้ากัน จากนั้นรีบออกไปจากบ้านหิน

เมื่อเห็นพวกเขาออกไป โฉมงามได้กล่าวอย่างสบายใจ “แม่เคยเป็นศิษย์นอกของราชวังบุปผามาก่อน จากนั้นได้พบกับพ่อของพวกเจ้าโดยบังเอิญ และตกหลุมรักกัน จากนั้นแม่จึงหนีออกจากราชวังบุปผา!”

‘ราชวังบุปผา!’ หยางเย่ตกตะลึง เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากกำหมัดแน่น ถึงแม้หยางเย่จะไม่ทราบเกี่ยวกับราชวังบุปผามาก แต่ก็เคยได้ยินอยู่บ้าง เพราะราชวังบุปผาคือมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าโรงเรียนปราชญ์

ราชวังบุปผารับศิษย์แค่สตรีเท่านั้น ทั้งยังมีกฎที่ทราบทั่วกันคือ เมื่อใครก็ตามที่เข้าเป็นศิษย์ราชวังบุปผา ผู้นั้นจะห้ามมิให้มีความรัก ความรู้สึกใด หรือแม้กระทั่งแต่งงาน หากศิษย์คนใดละเมิดกฎนี้ แม้จะอยู่มุมไหนของโลก องครักษ์ของราชวังบุปผาจะตามไปจับศิษย์ผู้นั้นมาลงโทษอย่างโหดเหี้ยม

ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่ามารดาละเมิดกฎของราชวังบุปผาเพื่อพ่อของเขาที่ไม่เคยเจอ หยางเย่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เสี่ยวเหยาถามด้วยเสียงเบา “ท่านแม่ ราชวังบุปผาคือมหาอำนาจที่ห้ามให้คนอื่นแต่งงานไม่ใช่หรือคะ?”

โฉมงามพยักหน้าพร้อมกล่าว “ถูกต้อง เหตุผลที่แม่พยายามปกปิดพลังของตนเองมาตลอดยี่สิบปีเพราะหลบหนีสิ่งนี้ โชคไม่ดี แม่ได้ใช้วิชาของราชวังไปแล้ว แม่คิดว่าพวกเขากำลังรีบมายังเมืองทักษิณภิรมณ์ เย่เอ๋อและเสี่ยวเหยา พวกเจ้าทั้งสองต้องรีบออกจากเมืองให้เร็วที่สุด ไม่งั้นมันจะสายเกินไป!”

หยางเย่ยืนขึ้นพร้อมเอ่ย “ท่านแม่ ข้าไม่เคยถามท่านเกี่ยวกับท่านพ่อมาก่อนในอดีต ตอนนี้ข้าต้องการทราบเกี่ยวกับเขา ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ หรือถูกราชวังบุปผาสังหารไปแล้ว?”

เมื่อได้ยินหยางเย่เอ่ยคำว่าพ่อ ร่างของนางถึงกับตัวแข็งทื่อพร้อมท่าทีเจ็บปวดบนใบหน้า

ความเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่เมื่อเห็นท่าทีของมารดา จากนั้นเขากล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว “ท่านแม่ ท่านพ่อถูกราชวังบุปผาสังหารจริงใช่หรือไม่?”

มารดาหยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ไม่ พ่อของลูกยังไม่ตาย แต่… อย่าถามเรื่องนี้อีกเลย ฟังคำของแม่ และรีบออกจากเมืองทักษิณภิรมณ์กับเสี่ยวเหยาไปก่อน ข้าเป็นเป้าหมายของพวกเขา เมื่อถูกเจอแล้ว เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ตามหาพวกลูก ถึงแม้อยากจะตามหา ลูกก็ไม่ได้ฝึกวิชาของราชวังบุปผา ดังนั้นพวกเขาจะไม่สามารถหาตัวลูกเจอ!”

หยางเย่เองก็ส่ายหัวเช่นกัน “หากพวกเราจะไปก็ต้องไปด้วยกัน! หากท่านแม่ไม่ไป ข้าก็จะไม่ไป!”

“เสี่ยวเหยาก็จะไม่ไปเช่นกัน!” เสี่ยวเหยาที่อิงอยู่ในอ้อมแขนของมารดากล่าวอย่างหนักแน่น

“ลูกเก่งกล้าขึ้นแล้วสินะถึงไม่ฟังคำสั่งของแม่อีก?” มารดาของเขาเริ่มโมโหเล็กน้อย แต่นางก็รู้สึกว่าน้ำเสียงหนักแน่นเกินไปก่อนจะลดลงพร้อมกล่าวอีกครั้ง “เย่เอ๋อจงฟังคำแม่แล้วพาเหยาเอ๋อไปอยู่สำนักดาบราชัน ด้วยความสามารถ และพรสวรรค์ของนาง สำนักดาบราชันจะรับนางเอง ตราบใดที่ลูกทั้งสองอยู่ในสำนักดาบราชัน คนของราชวังบุปผาจะไม่ไปเอาเรื่องที่นั่นแน่นอน!”

หยางเย่ไม่กล่าวสิ่งใด

มารดารู้จักลูกของนางดีที่สุด ดังนั้นจะไม่ทราบได้ยังไงว่าหยางเย่คิดอะไรอยู่

“เย่เอ๋อ เมื่อพวกเจ้าทั้งสองปลอดภัยแล้ว แม่ก็ไม่มีอะไรเสียใจอีกแม้จะต้องถูกพากลับไปยังราชวังบุปผา แต่หากลูกยังหุนหัน และทำให้เสี่ยวเหยากับตนเองตาย เช่นนั้นแม้แม่จะตายไป แม่ก็ไม่อาจตายตาหลับ!”

หยางเย่เงยหน้ามองมารดา “ท่านแม่ เหตุผลที่ข้าฝึกฝนอย่างหนักก็เพื่อปกป้องท่านและเสี่ยวเหยา หากท่านจากไป เช่นนั้นแล้ว แม้จะเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในเขตแดนใต้ มันก็หาได้มีค่าไม่! กล่าวคือ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น หากพวกเขาจะมาพาตัวท่านแม่ไป พวกมันต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”

“ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ไปเช่นกัน เสี่ยวเหยาต้องการจะอยู่กับท่านแม่และพี่ใหญ่ตลอดไป!” เสี่ยวเหยาแสดงออกอย่างมั่นคง

“เด็กโง่ เด็กโง่…” มารดาเข้าสวมกอดหยางเย่และเสี่ยวเหยา ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตา

“ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ เมื่อพวกเจ้ากลมเกลียวกันมากขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปไหนทั้งสิ้น ข้าจะส่งพวกเจ้าทุกคนก็ไปอยู่ด้วยกันที่ผาสิ้นรักสักสิบปี” ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่เย็นชาได้ดังขึ้นพร้อมกับประกายเย็นเยือกพุ่งเข้ามาในบ้านหิน