ตอนที่ 42-2 เชิญท่านหมอ

ส่วนฮูหยินรองนั้นได้เหลือบมองไปยังหลี่เว่ยหยางโดยที่มิได้กล่าวอันใด

และฮูหยินสามขมวดคิ้วขึ้นขณะที่กล่าวว่า:

“เรื่องนี้ยังคงต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนที่จะมีข้อสรุปใด ๆ

อย่ากล่าวหาผู้บริสุทธิ์อย่างผิด ๆ ”

นอกจากนี้ฮูหยินสามยังสังเกตเห็นแรงจูงใจและแผนการบางอย่างในหมู่พวกเขาได้

และแผนการนี้เฉพาะเจาะจงที่จะมุ่งเป้าไปยังหลี่เว่ยหยาง

ในตอนนี้หลี่ฉางซีกำลังจ้องมองไปที่ใบหน้าของพี่สามด้วยอาการเย้ยหยัน

ขณะที่คิดว่า วันนี้เป็นจะเป็นวันที่เราจะได้เห็นว่า นางมีความสามารถมากมายสักเพียงใด

และได้เห็นว่า การแสดงออกของหลี่เว่ยหยางมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

นางทำเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะที่กล่าวกับหลี่หมินเฟิงว่า:

“พี่ชายใหญ่, ท่านมั่นใจหรือว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของท่าน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และฟ้าดินย่อมรู้ดี

พี่ชายใหญ่ยินดีที่จะกล่าวว่า ข้าแอบขโมยโสมแดงของท่านย่าเช่นนั้นหรือ?”

การแสดงออกของหลี่หมินเฟิงแสดงถึงท่าทีเยาะเย้ยและกล่าวว่า

“จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่รู้!

โสมแดงมีมูลค่ามากกว่าทองคำ แต่โสมพิษนั้นมิมีค่าอันใดเลย

แม้ว่าเจ้าจะขัดสนเงินทองจริง ก็มิควรใช้วิธีลักขโมยเช่นนี้!

ท่านย่าชอบทานเป็ดอันโอชะ โสมแดงจึงมีความจำเป็นต้องใช้ในการทำน้ำซุปเป็ดเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางยา และเพื่อเพิ่มกำลังวังชา

แต่เมื่อใช้โสมพิษกับซุปเป็ด มันจะสร้างสารพิษแทน

เห็นได้ชัดว่า เจ้าตั้งใจที่จะเอาชีวิตท่านย่า!”

เมื่อกล่าวแล้วเขาจึงมองไปบริเวณโดยรอบ และกล่าวอีกว่า:

“ผู้ใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็มิสามารถให้อภัยได้เช่นกัน และจะต้องถูกจัดการอย่างทารุณที่สุด!”

ในขณะนั้นจื่อหยานรีบร้อนย่อตัวลงคุกเข่าทันที:

“ผู้อาวุโสหลี่โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!

คุณหนูสามเป็นผู้ที่ขโมยโสมแดงไป บ่าวมิรู้เรื่องอันใดเลย!”

หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปยังบุคคลที่ดูเหมือนจะ กำลังแสดงละครฉากใหญ่อยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาที่เย็นชา

และได้เกิดร่องรอยของการเยาะเย้ยที่เยือกเย็นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนางโดยมิมีผู้ใดสังเกตเห็น

หลี่หมินเฟิงแสร้งทำท่าประหลาดใจ:

“จื่อหยานเจ้ารู้เห็นอันใดบ้าง?”

จื่อหยานเช็ดน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจของตนเอง ก่อนที่จะกล่าวว่า:

“คุณหนู…คุณหนูมิมีทางเลือกอื่น!

เงินรายเดือนที่คุณหนูได้รับมิพอใช้จ่าย นางมีค่าใช้จ่ายมากมาย และยังต้องซื้อของขวัญอีก

นั่นคือเหตุผลที่นางต้องแอบขโมยโสมแดงของผู้อาวุโสหลี่ไป และแทนที่ด้วยโสมพิษ

ข้าขอร้องให้ผู้อาวุโสได้โปรดยกโทษให้คุณหนูสามด้วย!”

ท่านย่าถึงกับเกิดอาการตกตะลึงจนกล่าวอันใดมีออกเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ทันใดนั้นเอง นางจึงนึกขึ้นมาได้ว่าแม่นมหลัวเคยเล่าบางอย่างให้นางฟังเมื่อวันก่อน

เกี่ยวกับเรื่องที่แม่นมหลัวไปเยี่ยมคุณหนูสามที่ตำหนักหยวนซี และนางได้รับรางวัลตอบแทนเป็นเหรียญเงินจำนวนหนึ่ง

ท่านย่าสูญเสียความเป็นตนเองไปชั่วขณะด้วยความโกรธ และคิดในใจว่า เด็กผู้นี้มิได้ยำเกรงนางเลย!

หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กล่าวว่า:

“จื่อหยาน เจ้าช่างเป็นสาวใช้ที่มีความจงรักภักดีเสียจริง ๆ !”

หลี่หมินเฟิงเริ่มกล่าวบ้างว่า:

“น้องสาม! พยานและหลักฐานมีพร้อมอยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ?

นอกจากเจ้าแล้ว ผู้ใดจะกล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้อีก?

หากเจ้ามิมีเงินก็เพียงแค่บอกกล่าวกับท่านแม่

แล้วนี่เหตุใดเจ้าจึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของท่านย่า!”

“ดูเหมือนว่า คำกล่าวแค่เพียงสองสามประโยคจากพี่ชายใหญ่ และสาวใช้ก็เพียงพอแล้วที่จะยัดเยียดความผิดให้ข้า”

หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่การแสดงออกของนางมิได้เปลี่ยนแปลง

หลี่หมินเฟิงขมวดคิ้วขึ้น และกล่าวอย่างจริงจังว่า:

“จางเล่อเป็นคนซื่อสัตย์และมีจิตใจดี นางจะกล่าวหาเจ้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน?

และจื่อหยานก็เป็นสาวใช้คนสนิทของเจ้าด้วย!”

หลี่เว่ยหยางเหลือบมองไปที่จื่อหยานพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย:

“นางมิใช่สาวใช้คนสนิทของข้าอีกต่อไปแล้ว แต่นางเป็นคนของท่าน

หรือว่าพี่ชายใหญ่ลืมไปแล้ว?”

หลี่หมินเฟิงผงะไปชั่วขณะ

ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดหลี่เว่ยหยางจึงต้องการมอบจื่อหยานให้กับเขา

ความสงสัยของเขาได้รับการยืนยันเมื่อหลี่เว่ยหยางกล่าวโดยไร้ร่องรอยของความเสียใจ:

“เนื่องจากนางเป็นสาวใช้ของพี่ชายใหญ่ นางจึงทำตามคำสั่งของท่านทุกอย่าง

ในตอนนี้แม้ว่าท่านจะชี้นกก็เป็นนกหรือจะชี้ไม้ก็ย่อมเป็นไม้

และแม้ว่ามันจะขัดต่อมโนธรรม นางก็คงยินยอมทำตามด้วยความเต็มใจ!”

หลี่หมินเฟิงเย้ยหยันอย่างเย็นชาว่า:

“น้องสาม แต่เจ้าเพิ่งมอบนางให้กับข้าเมื่อครู่นี้เอง!”

แสงที่เยือกเย็นและเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่เว่ยหยางทันที:

“แต่นางชื่นชอบพี่ชายใหญ่มาก่อนหน้านี้!

พี่ใหญ่เคยศึกษาตำรายามาเพียงแค่สองสามเล่ม ก็สามารถสรุปได้ว่านี่คือ โสมพิษ

และมิต้องกล่าวถึงจื่อหยาน นางคือสาวใช้ของท่าน เช่นนั้นคำกล่าวของพวกท่านจะน่าเชื่อถือได้อย่างไรกัน?”

ทันใดนั้นฮูหยินสาม ผู้ซึ่งมิเคยใยดีและมิเคยแยแสต่อสิ่งใด ได้เอ่ยขึ้นมาว่า:

“อันที่จริงแล้ว คำกล่าวของจื่อหยานนั้น มิสามารถพิสูจน์อันใดได้เลย!”

ฮูหยินใหญ่เย้ยหยันอย่างเย็นชา

“เฟิงเอ๋อ! เจ้าเห็นหรือยัง?

เจ้ามีเจตนาดีที่จะหาผู้กระทำผิดให้กับท่านย่า แต่ก็มีบางคนที่คอยขัดแข้งขัดขาอยู่ตลอดเวลา!”

หลี่หมินเฟิงมิได้เร่งรีบหรือยั่วยุ เขาทำเพียงแค่จ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางอย่างตั้งใจขณะที่กล่าวว่า:

“ข้าเพียงแค่พยายามรักษาศักดิ์ศรีให้กับเจ้า แม้ว่ามันจะเหลือแค่เพียงน้อยนิดก็ตาม

แต่เนื่องจากน้องสามยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธ สิ่งนี้จึงมิจำเป็นต้องอดกลั้นอีกต่อไป!”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาจึงหันกลับมา และกล่าวกับผู้อาวุโสหลี่ว่า

“ท่านย่าได้โปรดอนุญาตให้ข้าเชิญท่านหมอมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วย!”