บทที่ 251 องค์ชายสาม
บทที่ 251 องค์ชายสาม
เดิมทีฉู่เหินคิดว่าเรื่องมันจบไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าทันใดนั้นด้านล่างเวทีกลับมีคนเอะอะโวยวายเตรียมพร้อมขึ้นมาประลองกับเขา เมื่อเห็นดังนั้นฉู่เหินก็แอบเหงื่อตก สู้กับคนพวกนี้ไม่ต้องบอกว่าสู้ไหวหรือเปล่า ต่อให้ไหวเขาก็คงจะเหนื่อยตายอยู่ดี
“ฉันรู้ดีว่าพวกนายไม่ยอมรับผลที่เกิดขึ้นและคิดว่าที่ฉันเอาชนะไอ้ 2 คนนั้นได้เพราะโชคดีงั้นเอาอย่างนี้ดีไหม พวกนายเลือกคนที่ฉลาดที่สุดขึ้นมาประลองกับฉัน ฉันยินดีสู้ด้วยเลย แต่ถ้าเกิดฉันโชคดีชนะละก็หวังว่าพวกนายจะทำตามกฎไม่มาก่อกวนฉันอีก”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะอวดดีไปบ้าง แต่ฉู่เหินรู้ว่ามีแค่การยอมเหนื่อยอีกสักหนเท่านั้นถึงจะขจัดปัญหาออกไปได้ เพราะถ้าเกิดคนพวกนี้ทยอยขึ้นมาประลองเรื่อย ๆ ละก็เขาได้ตายแน่ ๆ
ผู้คนด้านล่างเวทีประลองได้ยินที่ฉู่เหินกล่าวมาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เซ็งสาปแช่ดังไปหมด ฉู่เหินได้ยินก็เข้าใจว่าคนเหล่านี้อยากประลองกับตัวเขาสักตาดูบ้าง
“ว่ายังไงละ หรือว่าพวกนายไม่มีใครเก่งพอ ถ้าอย่างนั้นพวกนายก็ไม่ต้องมาประลองแล้ว ยอมแพ้ไปซะเถอะ” ฉู่เหินเห็นคนด้านล่างลานประลองมีบ้างคนถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้ สบถอย่างโมโหออกมาหนึ่งประโยค
มีกลุ่ม ๆ หนึ่งยืนฟังฉู่เหินอย่างเงียบงัดพวกเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว พวกเขาก็มีความภูมิใจของพวกเขา คิดว่าโหลวหลานเป็นสถานที่ใดกันถึงให้คนอื่นมาดูถูกเกียรติความภาคภูมิใจของพวกเขาได้ คำพูดของฉู่เหินทำให้พวกเขาร้อนใจ
“เชิญองค์ชายสามขึ้นไปสิ ข้าเชื่อว่าถ้าเป็นองค์ชายสาม ไม่ว่าความรู้หรือว่าฝีมือเจ้านั้นไม่มีทางรับมือได้แน่ ๆ”
“นั้นละๆ รีบไปเชิญองค์ชายสามนั้นมาสิ องค์ชายสามคงเป็นวามภาคภูมิของพวกนายโหลวหลาน ฉันที่เป็นคนต่างเผ่าอยากจะขอชี้แนะสักหน่อย” หลังจากฉู่เหินพูดจบ ฝูงชนถึงกับเงียบสงัดก่อนจะแตกตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อทุกคนนึกถึงความภูมิใจของโหลวหลานอย่างองค์ชายสาม
องค์ชายสามเป็นลูกชายคนที่สามขององค์ราชินี เขาทั้งฉลาดหลักแหลมทั้งมีพรสวรรค์เรื่องวิทยายุทธ ถึงแม้จะเป็นลูกคนที่สาม แต่ที่โหลวหลานไม่มีใครสงสัยเลยว่าเขานั้นแหละคืออันดับหนึ่งของที่นี่
ขณะที่ทุกคนกำลังเอะอะเสียงดัง ก็มีคนแอบวิ่งไปเชิญองค์ชายสามมาที่นี้ พวกเขาเชื่อถึงขนาดว่าแค่คุณชายมาถึงก็เหมือนพวกเขาชนะแล้ว
พอฟังคนเหล่านี้ปรึกษากันสีหน้าฉู่เหินยิ่งแจ่มใส ถ้าคนดังนี้เก่งกาจจริงๆ การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่ต้องชนะใครหลายครั้งแล้ว ถ้าการประลองยังดำเนินต่อไป ตอนนี้เขาต้องหาทางรอดที่ปลอดภัยที่สุดก่อน
เมื่อฉู่เหินกำลังคิดมากอยู่นั้น ชายร่างกายสมส่วนค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนลานประลอง ดูจากหน้าตาแล้วเป็นคนหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี เส้นผมสีดำยาวเลื้อนไหวไปตามแรงลม ชุดคลุมตัวนอกแบบจีนสีม่วง เห็นได้ชัดเลยว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาก้าวเดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
คิดว่านี้คงจะเป็นองค์ชายสามผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางหยิ่งยโสเลยสักนิดมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ฉู่เหินใช้สายตามองคน ๆ นี้บนลงล่างก็พบว่าไม่เหมือนกับที่คนพวกนี้พูดกันเลย ดูจากรูปร่างทั้งหมดบ่งบอกว่าเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนคนหนึ่งเท่านั้น
องค์ชายสามไม่ปล่อยให้ฉู่เหินรอนาน เมื่อเขามาถึงแล้วก็อยู่ในชุดพร้อมประลอง ในมือถือพัดหนึ่งเล่มกางออกและพัดเบาๆ การเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาตินี้ ทำให้เหล่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านล่างกรีดร้องออกมา
“เจ้าคนต่างเผ่าไม่เลวนี่ ที่ใช้ความชาญฉลาดของเจ้าสามารถทำให้นักรบถึง 2 คนต้องยอมแพ้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะไปได้เรื่อยๆ แต่คิดว่าคงเป็นการขอมากเกินไป” องค์ชายสามพูดเนิบๆ
“ได้ยินชื่อเสียงเล่าลือว่าองค์ชายสามแห่งโหลวหลานนั้นปณิธานสูงแต่ขาดความสามารถดูเหมือนฉลาดจนไม่มีอะไรเทียบติด ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น วันนี้มีโอกาสหายากได้พบท่าน ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ”
คำกล่าวทักทายของฉู่เหินเสมือนตบหน้าเข้าอย่างจัง องค์ชายสามยิ้มค้างแห้งเหือดหายไปจากใบหน้าฉับพลัน ถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้ว่าวรยุทธของชาวต่างเผ่าคนนี้มีประโยชน์อย่างไรต่อพวกเขา เกรงว่าคงต่อยฉู่เหินสักหมัดแล้ว ไอ้คนน่ารังเกลียดคนนี้!
“เพื่อเป็นการพิสูจน์องค์ชายสาม ฉันมีคำถามข้องนิดหน่อย หวังว่าองค์ชายสามจะสามารถให้คำตอบได้ ที่จริงแล้วคำถามนั้นง่ายมาก แม้แต่ตอนพวกเราอายุ 5-6 ขวบก็สามารถตอบได้ทว่าฉันไม่รู้ว่าองค์ชายสามจะสามารถตอบได้เหมือนกันหรือไม่”
องค์ชายสามผู้โดนยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้รอยยิ้มบนหน้าองค์ชายสามไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างเกลียดแค้นอยากพุ่งไปต่อยให้ปากมันให้แตกสักหมัด ที่เกลียดที่สุดคือคำพูดไม่กี่ประโยคของชาวต่างเผ่าคนนี้ตนเองไม่สามารถตอบโต้ได้เลย ดังนั้นตอนที่ยืนอยู่บนเวทีเขาต้องหายใจเข้าออกควบคุมอารมณ์ตัวเองซึ่งยอมรับว่าเกือบควบคุมไม่อยู่
เมื่อสามารถปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว เขาถึงพบว่าเจ้าคนต่างเผ่านี้รับมือไม่ง่าย แต่ก็ช่างมันไปก่อน เมื่อกี้แค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขาเกือบเสียสติไปแล้ว คนแบบนี้ยังปกติอยู่รึเปล่าเหงื่อเย็น ๆ ของเขาแอบตกและมองฉู่เหินอย่างหวาดระแวง
ฉู่เหินเฝ้ามองความเปลี่ยนแต่ต้นจนจบ องค์ชายสามคนนี้เป็นคนกะล่อน ทำให้ฉู่เหินอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจออกมาหนึ่งที คนแบบนี้ไม่เพียงแต่ฉลาดแกมโกง ถ้าเป็นศัตรูกันจริง ๆ ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก แต่เกรงว่าตอนนี้เขาจะเหลือแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น คือ ต้องชนะอีกฝ่ายให้ได้ ไม่งั้นคงไม่สามารถกลับไปยังโลกที่จากมาได้
“ก่อนที่จะมานี้ต้าเอ๋อตุนคนนี้ไม่เคยพบคุณชายฉู่มาก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของคุณชายฉู่ ใจจริงเกิดความสงสัย ว่าตอนนี้ได้พบตัวจริงพบแล้วว่าคือผู้มีฝีมือ วางใจได้ว่าต้าเอ๋อตุนจะทุ่มสุดฝีมือไม่ทำให้อัจฉริยะอย่างคุณชายฉู่ต้องขายหน้า” ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดต้าเอ๋อตุนจากที่นิ่งเงียบพูดออกมาไม่หยุด
“องค์ชายสามก็คือองค์ชายสามจริงๆ” ฉู่เหินอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ก่อนอื่นขอไม่พูดการประลองแล้วเขาอยากอัดได้คนอวดดีนี้สักหน่อย
“เชิญคุณชายฉู่ถามคำถามต้าเอ๋อตุนรอฟังอยู่” เดิมทีฉู่เหินตั้งใจจะถามเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติ ต้องเข้าใจว่า ฮวาเซี่ย(ประเทศจีน) มีอยู่กว่า 5000 ปี โลกโบราณแห่งนี้ไม่ใช่เองก็เช่นกัน อาศัยความรู้ขององค์ชายสามไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้หรือไม่
ฉู่เหินกลอกตาหนึ่งรอบ เขาไม่เลือกวิธีเอาชนะองค์ชายสามเพราะการต่อสู้ไม่มีคำว่าขาวสะอาด มีแต่ต้องชนะไม่สนวิธีการ
“คำถามก็คือ ถ้าคนสองคนตกลงไปในกับดัด คนที่ตายจะเรียกว่าคนตาย แล้วคนที่ยังไม่ชีวิตอยู่จะพูดว่าอะไร”
“คนเป็น” เมื่อได้ยินคำถามองค์ชายสามก็รีบตอบทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรทันสิ้น เพราะคำถามมันง่ายมาก
“ผิด คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะพูดว่า ช่วยด้วย!” ฉู่เหินพูดจบก็ยิ้มแหอะๆ ผู้คนด้านล่างลานประลองได้ยินคำตาบถึงกับพูดไม่ออก เพราะกำลังสงสัยว่ากำลังถูกเอาเปรียบอยู่หรือเปล่านะแต่ในใจก็รู้สึกว่าคำตอบของฉู่เหินมันก็เป็นเรื่องจริงตามที่ฉู่เหินบอกเหมือนกันนะ