บทที่ 195 เด็กจอมก่อกวน

บทที่ 195 เด็กจอมก่อกวน

เจี่ยเจินผู้ไม่รู้อะไรเลยเดินโงนเงนมาจนถึงตำหนักฉินเจิ้ง ทหารองครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตู รวมถึงขันทีและนางกำนัลต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเขา ทุกคนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

“ฝ่าบาทอยู่หรือไม่? ข้ามาจับชีพจรให้ฝ่าบาท”

“ท่าน…รอประเดี๋ยวนะขอรับ”

คนผู้นั้นมองหน้าเขาอยู่สองที จากนั้นก็เข้าไปทูลฝ่าบาทด้วยอาการกลั้นขำ

ฝูไห่เป็นผู้ออกมาต้อนรับ แม้แต่เขาก็ยังตกใจใบหน้าที่เปื้อนสีจนทั่วของเจี่ยเจิน

“มีอันใดหรือ?” เจี่ยเจินมีสีหน้าฉงน “พวกเจ้ามองข้าด้วยเหตุใดกัน หน้าข้ามีอะไรติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ในที่สุด เจี่ยเจินก็สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเอื้อมมือขึ้นลูบใบหน้าของตน ทว่าสีหมึกนั้นแห้งแล้ว เขาจึงไม่พบสิ่งแปลกปลอมใด

มุมปากของฝูไห่กระตุกเล็กน้อย ไม่ต้องทายเลยว่านี่เป็นฝีมือของผู้ใด

เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่มีอันใด เพียงแต่ท่านหมอเจี่ยดูหนุ่มขึ้นเท่านั้นเอง”

ฝูไห่เองก็เอ็นดูองค์หญิงน้อยผู้นี้ยิ่งนัก ความซุกซนไร้ซึ่งอันตรายของนางทำให้บ่าวรับใช้อย่างพวกเขาต้องหัวเราะอยู่เรื่อยไป แล้วชายชราก็เดินนำเจี่ยเจินเข้าไปในตำหนักโดยไร้สีหน้าใด ๆ

หนานกงสือเยวียนกำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่ที่สุดปลายโถง

องค์จักรพรรดิผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งและหลักแหลมยามอยู่กลางสนามรบ แม้จะประทับอยู่ในห้องโถง แต่พู่กันในมือที่ใช้เขียนหนังสือให้ความรู้สึกราวกับดาบที่คบกริบ

“ฝ่าบาท ท่านหมอเจี่ยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่พูดขึ้น เจี่ยเจินเองก็โค้งคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

หนานกงสือเยวียนเงยหน้าจากฎีกา “อืม ลุกขึ้นเถิด”

จากนั้น เจี่ยเจินก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยลวดลายฉูดฉาดขึ้น

หนานกงสือเยวียนชะงักพู่กันในมือจนเผลอทิ้งรอยหมึกดวงใหญ่ตรงจุดที่จะเขียน

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ยังนิ่งเฉยไร้ซึ่งอารมณ์

ฝูไห่ก้มหน้ากลั้นหัวเราะอย่างเสียอาการ ไม่รู้ว่าเมื่อใดท่านหมอเจี่ยจึงจะสังเกตเห็นใบหน้าของตนเอง

“ฝ่าบาท กระหม่อมมาจับชีพจรให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้านิ่ง ๆ เหลือบมองใบหน้าของเจี่ยเจินหลายต่อหลายครั้งยามที่เขากำลังจับชีพจร

“ยาที่กระหม่อมเตรียมให้ฝ่าบาท เสวยอีกสองวันต้องเปลี่ยนตัวยาใหม่ แม้จะไม่สามารถขจัดพิษกู่ได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยระงับไม่ให้พิษแพร่กระจายไปได้”

เมื่อตรวจชีพจรเสร็จ เจี่ยเจินก็เตรียมจะออกไป

ทว่าในขณะที่กำลังจะออกไปนั้นเอง หนานกงสือเยวียนที่มีมนุษยธรรมก็พูดขึ้นว่า

“ท่านหมอเจี่ยไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยเถิด”

เจี่ยเจิน “???”

“หน้าข้ามีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยเตือนแค่ประโยคเดียว แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เจี่ยเจินได้แต่พึมพำในใจ เดินออกไปพลางลูบใบหน้าตนเองไปด้วย

แต่เวลาเพียงไม่ถึงสองลมหายใจ จู่ ๆ หนานกงสือเยวียนก็ได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะที่ดังขึ้นจากด้านนอก เสียงหัวเราะเหมือนกับเสียงร้องของเป็ด ฟังแล้วดูคุ้นหูนัก

ฝูไห่หัวเราะสั้น ๆ “เซียวเหยาอ๋องมาพอดีเลย”

พวกเขาเป็นเพียงบ่าวรับใช้จึงมิกล้าหัวเราะโจ่งแจ้ง แต่มิใช่กับเซียวเหยาอ๋อง

“ฮ่า ๆๆๆๆ! โอ๊ย ฮ่า ๆๆๆๆ!”

บัดนี้ หนานกงหลีที่เห็นหน้าของเจี่ยเจิน หัวเราะน้ำตาไหลจนปวดไปทั่วท้อง

“หน้าของเจ้า อุ๊บ…ข้าไม่ไหวแล้ว ผู้ใดกันที่วาดได้มีฝีมือเช่นนี้ ตลกจริง ๆ ฮ่า ๆๆๆ!”

หนานกงหลีก้มลงกุมท้องพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เหลือก็แต่กลิ้งลงไปหัวเราะกับพื้น

บ่าวรับใช้ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ก้มหน้าหัวเราะจนตั่วสั่นเทิ้ม ก่อนหน้ายังพออดกลั้นไว้ได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเซียวเหยาอ๋อง พวกเขาเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

เจี่ยเจินหน้าเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ รอยหมึกสีดำพวกนั้นทำเอาใบหน้าของเขาราวกับก้นหม้อ

“ใครมีกระจกบ้าง!”

“ข้ามี ข้ามี ฮ่า ๆๆๆ! เอ้า ดูหน้าของเจ้าเสีย”

หนานกงหลีหัวเราะจนน้ำตาไหลไม่หยุด พลางล้วงกระจกเงาบานเล็กที่พกติดตัวออกมา พอสายตาชนเข้ากับหน้าของเจี่ยเจินก็ขำออกมาอีก

แม้จะเป็นกระจกสำริด แต่ก็ได้รับการขัดเงาอย่างประณีต สะท้อนทุกสิ่งได้ชัดเจนทีเดียว

เจี่ยเจินรับกระจกมาส่องใบหน้าของตน จากนั้นก็ล้มตึงด้วยความโมโห

“หนานกงจิ่นซี!!!”

เจ้าเด็กแสบ เขาร้องตะโกนชื่อเต็มยศของเสี่ยวเป่าออกมาดังก้อง

ถึงจะแค่วาดเล่น แต่เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้วาดขึ้นมามั่วซั่ว

จมูกของเขากลายเป็นจมูกหมู ใบหน้าด้านข้างมีเครายาวลงมา มีตัวอักษาหวางปา*[1]บิด ๆ เบี้ยว ๆ อยู่กลางหน้าผาก

“ที่แท้ก็เป็นฝีมือหลานสาวข้านี่เอง เก่งมาก ไม่เลวเลย!”

หนานกงหลีตบบ่าเขาพลางหัวเราะร่า “เจ้าเป็นคนแรกที่ถูกนางวาดหน้าเชียวนะ โชคดียิ่งนัก”

เจี่ยเจินจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน “โชคเช่นนี้ท่านอยากได้หรือไม่เล่า!”

หนานกงหลีรีบโบกมือ “ข้าผู้นี้เปราะบางเกินกว่าจะรับไหว”

เดิมที เขาคิดจะเข้าวังมาเพื่อนินทาเรื่องของจวนเซวียนผิงโหวกับเสด็จพี่และหลาน ๆ ของตน หลายวันมานี้ จวนเซวียนผิงโหวมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นมากมาย เขากินแตงคนเดียวไม่สนุกเลยสักนิด จึงคิดจะหาคนคุยด้วย ผู้ใดจะไปคิดว่าพอมาถึงตำหนักฉินเจิ้งแล้ว จะได้เห็นใบหน้าตลกขบขันของเจี่ยเจินเข้าเต็มเปา

หลานสาวตัวน้อยของเขาช่างแก่นแก้วจริง ๆ

เมื่อเจี่ยเจินรีบเร่งไปล้างหน้าล้างตา หนานกงหลีจึงเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง

“เสด็จพี่ ข้ามาหาท่านอีกแล้ว ท่านอยากฟังเรื่องของจวนเซวียนผิงโหวหรือไม่~~~”

หนานกงสือเยวียน “ไสหัวไป!”

คนบางคนหุบพัดปลอม ๆ ในมือทันที “ได้ ๆ ท่านทำงานต่อเถิด”

จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป ท่าทางคล่องแคล่วเห็นแล้วชวนให้ปวดใจยิ่ง

จะหาว่าเขาขี้ขลาดก็ได้ แต่ขืนเขาดื้อดึงเข้าหาหนานกงสือเยวียน คำพูดเพียงคำเดียวก็ทำเอาเขามิกล้าโต้ตอบอันใด

“เสด็จพี่ เช่นนั้นข้าไปหาเสี่ยวเป่าก่อนนะ”

พูดจบเขาก็รีบพรวดพราดออกไป ภายใต้สายตาเรียบเฉยที่จ้องมองมาของหนานกงสือเยวียน

“องค์หญิงน้อยเล่า? องค์หญิงน้อยอยู่ที่ใด?”

เมื่อไม่เห็นเสี่ยวเป่าอยู่ที่โถงปีกข้าง หนานกงหลีจึงเอ่ยถามขึ้น

“องค์หญิงน้อยเสด็จไปหาเหล่าองค์ชายเพคะ”

เอาเถิด ไปห้องหนังสือก็แล้วกัน

แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากห้องหนังสือ

“เสี่ยวเป่า เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เสียงคุ้นหูเช่นนี้ หากไม่ใช่เสียงของเจี่ยเจินแล้วจะเป็นเสียงของผู้ใดไปได้อีก?

“ไม่! ท่านพี่ช่วยเสี่ยวเป่าด้วย!!!”

“ท่านหมอเจี่ย เสี่ยวเป่ายังเด็กนัก มีเรื่องอันใดก็ค่อย ๆ พูดเถิด อย่าลงไม้ลงมือเลยนะ”

“เร็วเข้า เจ้ารีบหนีออกไปข้างนอก พวกพี่จะช่วยขวางท่านหมอเจี่ยให้เอง”

ยังไม่ทันจบคำ เจ้าก้อนแป้งน่ารักก็รีบเผ่นออกจากห้องหนังสือทันที

หนานกงหลีอุ้มเจ้าเด็กน้อยไว้ได้ในคราวเดียว

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเสี่ยวเป่า แม้จะถูกอาจารย์วิ่งไล่ แต่แววตาของเด็กน้อยยังคงทอประกายสดใส

“ท่านอาเจ็ด อาจารย์มาแล้ว รีบหนีเร็ว!”

ท่าทางน้อย ๆ มีชีวิตชีวาเช่นนี้ หากใครไม่รู้คงนึกว่ากำลังเล่นสนุก

เจี่ยเจินเดินออกมา ทั้งตัวเต็มไปด้วยคนหลายคนที่กำลังเกาะแข้งเกาะขาถึงตายก็ไม่ยอมปล่อย

ตัวหนักจริง ๆ เจ้าพวกนี้!

“เสี่ยวเป่า เจ้าบอกข้ามาเสียดี ๆ ว่าจมูกหมูกับคำว่าหวางปาบนหน้าข้ามันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าด่าอาจารย์ทางอ้อมรึ!”

เสี่ยวเป่าส่ายหน้าและเถียงข้าง ๆ คู ๆ “นั่นไม่ใช่หวางปา แต่เป็นเต่าต่างหาก เต่าอายุยืน เสี่ยวเป่าอยากให้อาจารย์มีอายุยืนยาว”

ปากเล็ก ๆ นี่เข้าใจพูดจริง ๆ

“มานี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะวาดเต่าอายุยืนให้เจ้าบ้าง!”

“เสี่ยวเป่าไม่อยากได้ มันอัปลักษณ์”

“เจ้ายังรู้ว่ามันอัปลักษณ์งั้นหรือ!!! ทีตอนวาดมันบนหน้าข้า เหตุใดถึงไม่รู้ว่ามันอัปลักษณ์ หา!”

เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วชนกัน เอียงคอไปมาไม่พูดไม่จา

เจี่ยเจิน “…”

เจ้าเด็กนี่มัน…กวนนักเชียว!

[1] หวางปา (王八) เป็นอีกชื่อของเต่าหรือตะพาบน้ำ ถูกใช้เป็นคำด่าในภาษาจีน แปลว่า โง่เง่าเต่าตุ่นหรือคนสารเลว