บทที่ 196 การกลับมาของหนานกงฉีโม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 196 การกลับมาของหนานกงฉีโม่

บทที่ 196 การกลับมาของหนานกงฉีโม่

เสี่ยวเป่าที่งัดข้อกับอาจารย์ ท้ายที่สุดก็ไม่ถูกเจี่ยเจินลงโทษ ช่วยไม่ได้เพราะบรรดาผู้คนที่นี่ต่างก็พากันปกป้องเจ้าเด็กน้อยสุดกำลัง

“ห้ามกินของว่างสี่วัน”

เสี่ยวเป่ายืนเท้าสะเอวและเอียงคอ “เสี่ยวเป่าไม่เอาด้วยหรอก!”

“ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อของเจ้า”

เด็กเล็กทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ “ท่านพ่อต้องเข้าข้างเสี่ยวเป่า”

สุดท้าย เจี่ยเจินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่รู้จะทำอย่างไรกับเสี่ยวเป่าดี

ในขณะที่ลูกศิษย์และอาจารย์กำลังต่อปากต่อคำกันอยู่นั้น หนานกงหลีก็เริ่มต้นนินทาจวนเซวียนผิงโหวกับเหล่าหลานชาย

“ศพขององค์หญิงไท่จ่างยังไม่ทันจะฝัง บุตรชายของเซวียนผิงโหวก็ทนความเหงาไม่ได้จนต้องก่อเรื่อง สุดท้ายกลับพบว่าตนเองใช้การไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ทำเอาทั้งจวนเซวียนผิงโหวอกสั่นขวัญแขวน รีบไปตามหมอมาตรวจดูบุตรชาย เดิมทีพวกเขาก็จัดการเรื่องนี้อย่างลับ ๆ อยู่หรอก แต่ผู้ใดใช้ให้สองผัวเมียนั่นเผลอหลุดปากออกมาตอนกำลังทะเลาะกันล่ะ จากนั้นบรรดาแขกเหรื่อที่มาเคารพศพองค์หญิงไท่จ่างก็เลยล่วงรู้ ‘ความลับ’ นี้เข้า อับอายขายหน้าเขาไปทั่ว…”

หากพูดถึงเรื่องที่ครื้นเครงที่สุดในตอนนี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้นเรื่องของจวนเซวียนผิงโหว

องค์หญิงไท่จ่างสิ้นพระชนม์ อี๋กุ้ยเฟยถูกปลดจากตำแหน่ง แม้จะไม่ถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและได้กลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของมารดา ทว่านับแต่อดีตมายังไม่เคยมีพระสนมองค์ใดต้องออกจากวังและกลับไปอยู่ที่จวนมาก่อน หรือต่อให้เป็นพระสนมที่กระทำความผิด แม้พวกนางต้องตาย ก็ล้วนตายอยู่ภายในวังหลวง

เช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับอี๋กุ้ยเฟยก็เท่ากับถูกหย่าร้างและทอดทิ้งมิใช่หรือ? เรื่องนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูยิ่งต่อจวนเซวียนผิงโหว

ทว่าแค่นั้นยังไม่พอ ในตอนที่กำลังไว้ทุกข์ให้ท่านย่าที่จากโลกนี้ไป บุตรชายผู้มักมากในกามของเซวียนผิงโหวยังคิดจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า แต่จู่ ๆ ก็พบว่าตนเองใช้การไม่ได้เสียแล้ว

เซวียนผิงโหวและฮูหยินที่โดนแรงกดดันจากทั่วทุกสารทิศ จึงเกิดมีปากเสียงกันในโถงตั้งพระศพด้วยเรื่องเล็กน้อย จากนั้นต่างก็โบ้ยความผิดไปให้อีกฝ่าย จนเผลอเปิดเผยความลับของบุตรชายโดยไม่ได้ตั้งใจ

บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน แม้ปากจะเกลี้ยกล่อมให้สามีภรรยาเลิกตีกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ใดบ้างจะไม่หูตั้งชันรอฟังทั้งคู่เผลอหลุดปากอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากนั้นยังไม่ทันจะพ้นวัน บรรดาขุนนางมีชาติตระกูลตลอดจนพวกขอทานยาจกก็รู้เรื่องเน่าเฟะของจวนเซวียนผิงโหวกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง

องค์หญิงไท่จ่างไม่ได้ตายอย่างสงบ นางมีทั้งอำนาจและบารมีมาค่อนชีวิต ผู้ใดจะคาดคิดว่าครอบครัวจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ยามที่นางจากไป

หนานกงหลีเล่าความทุกข์ของผู้อื่นด้วยสีหน้าเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

“สองสามีภรรยาเซวียนผิงโหวร้องไห้อย่างทุกข์โศกขนาดนั้นแท้ ๆ บุตรชายตัวดีของพวกเขายังคิดจะ…”

เมื่อเห็นใบหน้าสามขวบของเสี่ยวเป่า เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“อะแฮ่ม…เจ้ารองใกล้จะกลับมาแล้ว หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนเซวียนผิงโหวจะไม่กระทบกระเทือนเขาจนเกินไป”

พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

แม้พวกเขาจะคิดว่าจวนเซวียนผิงโหวสมควรโดนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นครอบครัวฝ่ายมารดาของพี่รอง

พวกเขาพี่น้องล้วนเติบโตมาด้วยกัน หากจะพูดกันตามตรง เวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันนั้นมากกว่าที่พวกเขาใช้กับมารดาของตนเสียอีก สนิทชิดเชื้อราวกับพี่น้องท้องเดียวกันก็ไม่ปาน

ยิ่งเป็นราชวงศ์ด้วยแล้ว ความเป็นพี่น้องเข้มข้นกว่าสายเลือดเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

“พี่รองกลับมาถึงแล้วค่อยว่ากันเถิด”

เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ นับว่าองค์ชายรองโชคร้ายยิ่งนักที่ครอบครัวของฝ่ายมารดาฉุดรั้งเขาเอาไว้

ท่ามกลางการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของทุกคน ขบวนม้าก็ควบเสียงดังกุบกับมาถึงในยามที่อาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า และประตูเมืองหลวงที่กำลังจะปิดลง

“องค์ชายรองกลับมาแล้ว รีบเปิดประตูเมือง!”

องครักษ์ประจำกายของหนานกงฉีโม่ชูป้ายประจำตัวในมือขึ้นสูงพร้อมกับตะโกนเสียงดัง เมื่อทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองเพ่งดูเพื่อให้แน่ใจ ก็พบว่าเป็นป้ายประจำตัวองค์ชายรองจริง ๆ

“รีบ…รีบเปิดประตูเมืองเร็ว!”

ทหารยามผู้นั้นไม่ได้แสดงท่าทีสงสัย เนื่องด้วยคราวข่าวว่าองค์ชายรองจะกลับมาภายในสองวัน พวกเขานั้นทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้คาดว่าจะมาถึงในตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิดเช่นนี้

ม้าศึกหลายตัวควบผ่านประตูเมืองเข้าไป ที่นำอยู่หน้าสุดคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาองอาจ อาภรณ์สีแดงเข้มขับให้รูปร่างเพรียวบางนั้นดูปราดเปรียว เครื่องหน้าประณีตงดงามยิ่งกว่าสตรี ราวกับสวรรค์รังสรรค์สลักขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเป็นสตรีเลยสักเสี้ยวเดียว มีเพียงความรู้สึกที่ทรงพลังเท่านั้น

เขาอยู่บนหลังม้าสูงควบผ่านไปราวกับสายลม แต่กลับดึงดูดสายตาผู้คนจนยากจะลืมเลือน

“ผู้ที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าสุดคือองค์ชายรองสินะ”

“ได้ยินว่าอี๋กุ้ยเฟย เสด็จแม่ขององค์ชายรองครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงยอดพธูที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง รูปลักษณ์ขององค์ชายรองก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย”

“แต่เทียบกับหน้าตาแล้ว องค์ชายรองดูทรงพลังมากกว่า ข้าว่าเขาต้องเคยฆ่าคนตอนที่อยู่เมืองหน้าด่านอย่างแน่นอน”

เมื่อม้าศึกห้าตัวมาถึงตลาดที่กำลังคึกคักก็ค่อย ๆ ลดความเร็วลง

ชายหนุ่มยืดแผ่นหลังตรง และเร่งให้ม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

แต่ด้วยการเคลื่อนที่ช้า ๆ เช่นนี้เอง ทำให้มีคนมากมายมองเห็นเขาได้ชัดยิ่งขึ้น

ผิวพรรณของหนานกงฉีโม่จากเดิมที่เคยขาวซีดถูกแสงแดดร้อนระอุของเมืองหน้าด่านแผดเผา บัดนี้จึงคล้ำลงเล็กน้อย

แต่ผิวพรรณของเขาไม่ได้คล้ำมากนัก เมื่อเทียบกับเหล่าทหารที่อารักขาอยู่แถบชายแดน ชายหนุ่มยังคงขาวเหมือนไม่เคยก้าวเข้าสนามรบมาก่อน

เพียงแต่หากเปรียบเทียบกับชายหนุ่มผู้เกียจคร้านและสูงส่งก่อนหน้านี้ บัดนี้เขาทรงพลังยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาเรียวยาวคมเฉียบดุดัน ดูมุ่งมั่นไม่ย่อท้อแฝงด้วยความมีชีวิตชีวา

ชายหนุ่มที่หล่อเหลาทั้งยังมั่นใจในตนเองเช่นนี้ จะไม่ดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างไร? เหล่าหญิงสาวบนท้องถนนต่างจ้องมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว บ้างก็เหนียมอาย

“ใต้เท้าหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ไยจึงหล่อเหลาปานนี้ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย”

“งดงามราวกับเทพบุตรเลย เสี่ยวหวั่น เจ้ารีบไปสืบมาว่าเขาเป็นลูกบ้านไหน ข้าจะให้ท่านพ่อกับท่านแม่ไปสู่ขอ”

“หากสามีในอนาคตของข้ารูปงามเช่นนี้ก็คงจะดี”

การสนทนาอย่างมีชั้นเชิง บ้างก็ตรงประเด็นเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่าการที่ชายหนุ่มเจิดจรัสปรากฏตัวเช่นนี้ สตรีที่ยังไม่ออกเรือนล้วนแล้วแต่อดใจไม่ไหวอยากรู้ฐานะและแต่งกับเขาเสียเดี๋ยวนั้นเลย

ส่วนสตรีที่ออกเรือนไปแล้วก็ได้แต่นึกเสียใจอยู่เงียบ ๆ หากชายหนุ่มผู้นี้เกิดเร็วกว่านี้สักสองสามปีคงจะดีไม่น้อย

หนานกงฉีโม่เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ชายตามองแม้แต่สักกระผีกเดียว หากไม่ใช่เพราะควบม้ากลางตลาดไม่ได้ ตอนนี้เขาคงควบหนีไปไกลแล้ว

ทันใดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งพุ่งตรงมาที่เขา หนานกงฉีโม่ที่ฝึกฝนในสนามรบมาอย่างโชกโชนจนความรู้สึกไวต่อสิ่งรอบข้าง คว้าสิ่งนั้นไว้ในมืออย่างง่ายดายด้วยสายตาคมกริบ

พอมองดูก็พบว่ามันคือถุงหอม

“ใต้เท้ารับถุงหอมของข้าด้วย!!!”

ชั้นบนของโรงน้ำชา หญิงสาวใจกล้าตะโกนพลางยกมือขึ้นป้องปาก ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความดีใจ

หนานกงฉีโม่ “…”

เขาเกือบลืมไปเสียสนิทว่าที่เมืองหลวงเหมือนจะมีธรรมเนียมเช่นนี้อยู่ หากเป็นคุณชายหน้าตาดีเดินตามท้องถนนก็จะถูกขว้างปาด้วยถุงหอมอย่างง่ายดาย

วัน ๆ เขาอยู่แต่ในวังย่อมไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะโดนปาถุงหอมใส่ทันทีที่เท้าเหยียบเข้าเมืองหลวง

อีกทั้งถุงหอมนี้เหมือนกับเป็นสัญญะบางอย่าง หนานกงฉีโม่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวแถวนั้นกำลังจะเริ่มก่อจลาจล

“รีบไปเอาถุงหอมของข้ามาเร็ว ๆ เข้า!”

“ใต้เท้ามองทางนี้เจ้าค่ะ!”

“ท่านใต้เท้ารับถุงหอมของข้าด้วย ข้ามีนามว่าXXX”

เปลือกตาของหนานกงฉีโม่กระตุกขึ้นแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก