ตอนที่ 135 จิตใจที่แปรปรวน

“ตุ้ม!”

นี่คือสายฟ้าครั้งสุดท้ายที่ผ่าลงมาในคืนนี้ เมื่อสายฟ้าผ่าลงมาเงาดําที่กําลังต่อสู้อยู่กับโม่หรูเยียนก็ล้มลงไปที่พื้นทันทีและมันก็ตายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นมู่อี้ก็ส่งยันต์ปราบปีศาจออกไป 2 แผ่นและแสงสีขาวก็พุ่งเข้าไปหาแฝดผีแห่งเหอเจี้ยนเหยาไค แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อาจหนีความตายที่ไล่ตามมาได้ หลังจากโดนยันต์ปราบปีศาจของมู่อี้โจมตีเข้าไป เขาก็โดนต้าหนิวที่ไล่ตามมาตัดศีรษะด้วยขวานยักษ์ในมือของมันทันที

และยันต์ปราบปีศาจอีกแผ่นหนึ่งนั้นก็ตรงเข้าไปช่วยเหลือท่านลุงไฉและคนอื่น มันสังหารผีดิบตัวสุดท้ายไปทันที

” ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของท่านมาก”

หลังจากผีดิบตัวสุดท้ายตายไปแล้ว เหล่าผู้คุ้มกันก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องอดทนอีกต่อไปแล้ว พวกเขาแต่ละคนทิ้งอาวุธในมือและนั่งลงไปที่พื้นพร้อมกับหอบหายใจออกมาเสียงดัง

แม้แต่ท่านลุงไฉในตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและมีอาการบาดเจ็บด้วยเช่นกัน เขายัง คงอดทนและเดินเข้ามาหามู่อี้เพื่อขอบคุณ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากไม่มีมู่อี้ในคืนนี้ สํานักคุ้มกันโม่หยวนทุกๆคนจะต้องถูกศัตรูสังหารให้ตกตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโม่หรูเยียน ที่เป็นนายหญิงน้อยของเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้คงเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สําหรับสํานักคุ้มกันโม่หยวน

ก่อนหน้านี้มู่อี้ไม่เคยปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเลยแต่ในตอนนั้นทุกๆคนกลับคิดว่ามู่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าเพราะความขี้ขลาด ในตอนนี้ทุกๆคนกลับเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีแล้ว

สายฟ้าที่ผ่าลงมาหลายต่อหลายครั้งทําให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจทันที มีมนุษย์ที่สามารถควบคุมสายฟ้าได้ด้วยงั้นหรือ?

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นการต่อสู้ของมู่ก่อนหน้านี้ แต่พลังของทั้งสองคนต้องสูงทัด เทียมสวรรค์อย่างแน่นอน

โชคดีที่ในที่สุดมู่อี้เป็นฝ่ายชนะและเขาก็มาช่วยเหลือคนอื่นได้ทันเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นพลังของสายฟ้าด้วยตาของตนเอง ผีดิบที่ปะทะกับโม่หรูเยียนมาอย่างยาวนานต้องตายทันทีเมื่อมันเผชิญหน้ากับสายฟ้าของมู่ลี้

“ในร่างกายของท่านยังมีพิษผีดิบหลงเหลืออยู่ รีบรักษาเถอะขอรับ” มู่ยิ้มองมาที่ท่านลุงไฉและจากนั้นก็ส่งยันต์สะกดวิญญาณเข้าไปยังร่างกายของอีกฝ่ายทันทีแสงสีขาวนวลจมเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

มู่อี้ไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไปและเดินออกไปในสนามรบที่เกิดขึ้นพร้อมกับส่งยันต์สะกดวิญญาณเข้าไปหาผู้คุ้มกันทุกๆคนที่กําลังบาดเจ็บอยู่ และมู่อี้ก็ได้รับการขอบคุณกลับมาเป็นจํานวนมาก

ท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็เดินเข้ามาหาโม่หรูเยียน

“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” มู่อี้ถามขึ้นมาและจ้องมองมาที่โม่หรูเยียนที่ยังคงยืนอยู่พร้อมกับหอกในมือของนาง ในตอนนี้ไม่หรูเยียนยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งแม้ว่านางจะยังคงยืนอยู่ได้แต่ภายในดวงตาของนางนั้นก็ไม่อาจปิดบังความเสียใจได้เลย

“ถ้าหากว่าข้าแข็งแกร่งได้อย่างท่าน พวกเขาก็คงไม่ตายใช่หรือไม่?” โม่หรูเยียนจ้องมองกลับมาที่มู่อี้ทันที ในตอนนี้นางได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าศัตรูที่กําลังต่อสู้กับนางมาอย่างยาวนานกลับโดนมู่อี้สังหารได้อย่างง่ายดาย

และผีดิบที่สังหารผู้คุ้มกันของนางไปมากมายก็โดนมู่อี้สังหารไปด้วยเช่นกัน ความ แข็งแกร่งของเขายังตราตรึงอยู่ในหัวใจของโม่หรูเยียนและมันทําให้ความปรารถนาต่อความแข็งแกร่งของนางเพิ่มมากขึ้น

“ใช่!”

มู่อี้พยักหน้าตอบกลับมาทันที

เขาไม่ได้อยากจะหลอกลวงโม่หรูเยียนเพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็คือความจริง ถ้าหากโม่หรูเยียนแข็งแกร่งมากพอนางก็จะสามารถเอาชนะศัตรูที่นางต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้ได้อย่างง่ายดายและเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผู้คุ้มกันคนอื่นๆของนางก็คงไม่ต้องโดนสังหารไปที่ละคน

แต่บางครั้งเราไม่สามารถมองปัญหาจากทางด้านเดียวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหามันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

โม่หรูเยียนเองก็ถือว่าไม่ได้อ่อนแอเลย ถ้าหากว่านางเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรธรรมดาก็คงสามารถรักษาชีวิตของลูกน้องตนเองเอาไว้ได้แต่ในคืนนี้ศัตรูที่นางเผชิญหน้าด้วยนั้นเหนือกว่าขีดจํากัดที่นางจะสามารถรับมือได้ แม้แต่ตัวของนางเองก็ยังไม่อาจเอาชนะศัตรูได้แล้วนางจะไปช่วยเหลือผู้คุ้มกันคนอื่นๆได้อย่างไรกัน?

แน่นอนว่าการที่โม่หรูเยียนถามออกมาเช่นนี้ ถ้าหากนางแข็งแกร่งได้เท่ากับมู่อี้โศกนาฏกรรมดังเช่นตอนนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน

แต่ชีวิตนี้ย่อมไม่มีอะไรที่แน่นอน การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แม้แต่มู่อี้เองก็ยังเกือบเอาชีวิตไม่ รอด เขาเกือบจะตายไปแล้วด้วยเช่นกัน

สําหรับโม่หรูเยียนนั้น ดูเหมือนว่านางจะตกอยู่ในความเสียใจและผิดหวังจนยากที่จะก้าวเดินต่อไปได้

ชีวิตและความตายนั้นคือสิ่งที่สําคัญมากที่สุด!

ใครจะคิดกันว่ากลุ่มผู้คุ้มกันที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย วันหนึ่งพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เอาชีวิตไม่รอดแม้ว่าพวกเขาจะเตรียมตัวมาดีมากเพียงใดก็ตาม

โม่หรูเยียนก็เป็นผู้นําที่ดีของผู้คุ้มกันเหล่านั้น แต่นางก็ยังไม่ใช่ผู้นําที่ประสบความสําเร็จ

“ท่านช่วยรับข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่?” โม่หรูเยียนจ้องมองมาที่มู่ สายตาของนางเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย ในเมื่อมู่ทรงพลังมากขนาดนี้ ความปรารถนาที่เกาะกุมหัวใจของนางทําให้นางพูดเช่นนี้ออกไปทันที

เมื่อม่อี้ได้ยินคําพูดของโม่หรูเยียนเขาก็เงียบไปทันที เขารู้ดีว่าจิตใจของโม่หรูเยียนไม่มั่นคงอ ย่างยิ่งในตอนนี้ แต่ด้วยความหลงใหล ความตกตะลึง หรืออะไรก็ตามแต่ทําให้ม่อี้กลายเป็นความ หวังเดียวที่มีอยู่ในใจของนาง

ถ้าหากมู่อี้ปฏิเสธ ก็กลัวว่านางจะต้องเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องเช่นนี้เขาก็ไม่อา จตอบกลับไปอย่างง่ายดายได้ถ้าหากมู่พยักหน้าตอบกลับไปมันจะเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาทั้งสองคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่?

อย่างน้อยนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเขาและในตอนนี้เขาก็คิดว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะสอนคนอื่น

เส้นทางการบ่มเพาะของโม่หรูเยียนและมู่อี้ก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ม่อี้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในจิตใจของนางได้เป็นอย่างดี แต่เส้นทางการบ่มเพาะของโม่หรูเยียนนั้นถือว่านางอยู่ในเส้น ทางวิทยายุทธและเมื่อเทียบกับการฝึกฝนจิตใจของเขาแล้วมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนี้พลังของโม่หรูเยียนอาจพูดได้เลยว่ามาถึงจุดคอขวดแล้ว ต่อจากนี้นางต้องตามหาเส้นทางของตนเองต่อไปแทนที่จะมาร้องขอให้ม่อี้รับนางไปเป็นศิษย์

เรื่องพวกนี้มู่อี้เชื่อว่าถ้าหากจิตใจของโม่หรูเยียนอยู่ในสภาพปกติ นางสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้อย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้จิตใจของโม่หรูเยียนตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายหากก้าวเดินต่อไปผิดทางมันก็จะส่งผลต่ออนาคตของนางด้วยเช่นกัน

“นายหญิงน้อยขอรับ ..”

ท่านลุงไฉเดินเข้ามาหามู่อี้เงียบๆ ยันต์สะกดวิญญาณของมู่อี้ได้ชําระล้างพิษผีดิบที่อยู่ในร่างกายของเขาออกไปจนหมดแล้วและมันยังทําให้อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคําพูดของโม่หรูเยียนก่อนหน้านี้สายตาของเขาก็จ้องมองมาที่โม่หรูเยียนทันทีเพราะเขารู้ดีว่ าโม่หรูเยียนเป็นคนเช่นไร เขาได้เฝ้ามองนางเติบโตมาตั้งแต่เด็กแม้ว่าภายนอกของโม่หรูเยียนจะ ดูเย็นชาราวกับว่านางไม่ได้สนใจอะไรเลยแต่จริงๆแล้วมันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย

ก่อนที่ท่านลุงไฉจะได้พูดอะไรออกมา มู่อี้ก็ยื่นมือออกมาหยุดไม่ให้เขาพูดต่อทันที

หลังจากนั้นมู่อี้ก็จ้องมองมาที่โม่หรูเยียนและถามขึ้นมาว่า “ท่านอยากจะเคารพข้าเป็นอาจารย์จริงๆหรือ?”

เมื่อได้ยินคําถามของมู่อี้ โม่หรูเยียนก็รีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ใช่เจ้าค่ะ!”

“ข้าเกิดโตมาในตระกูลเต้ แม้ว่าตระกูลของข้าจะไม่มีกฎเกณฑ์ในการห้ามรับผู้หญิง มาเป็นศิษย์ แต่ท่านก็ต้องทราบเอาไว้เรื่องหนึ่งเมื่อท่านได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋แล้ว ท่านจะต้องตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับโลกใบนี้ นั่นหมายความว่าท่านจะต้องออกจากสํานักคุ้มกันโม่หยวนและสํานักคุ้มกันโม่หยวนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านอีกต่อไป ท่านทําเช่นนั้นได้หรือเปล่าล่ะ?”

ตอนนี้โม่หรูเยียนไม่ได้ตอบคําถามของมู่อี้กลับมาทันที แต่นางรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

โม่หรูเยียนอยากจะแข็งแกร่งขึ้นมาจริงๆแต่เป้าหมายของนางนั้นก็เพื่อช่วยเหลือสํานักคุ้มกันโม่หยวนและปกป้องผู้คุ้มกันทุกๆคน ดังนั้นการที่นางต้องทําลายความสัมพันธ์กับพวกเขาและตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับโลกใบนี้ เช่นนั้นแล้วการที่นางแข็งแกร่งขึ้นมาจะมีประโยชน์อะไรกัน?