ตอนที่ 136 การทดสอบ

โม่หรูเยียนเติบโตขึ้นมาในสํานักคุ้มกันโม่หยวน พูดได้เลยว่านางมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งกับสํานักคุ้มกันแห่งนี้ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยากที่จะตัดขาดได้ นางถึงกับยอมตายดีกว่าต้องทําลายชื่อเสียงของสํานักคุ้มกันโม่หยวน

ในตอนนี้เมื่อปูอี้ถามว่านางพร้อมจะตัดความสัมพันธ์กับสํานักคุ้มกัน โม่หยวนและต้องเปลี่ยนแปลงความคิดทั้งหมดของนางใหม่หรือไม่ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

แต่ความปรารถนาในความแข็งแกร่งของนางก็ยังไม่หมดไปในตอนนี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

อาจเป็นเพราะความปรารถนาและจิตใจที่แปรปรวนของนางทําให้โม่หรูเยียนไม่อาจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่อยู่ในคําพูดของมู่อี้ถ้าหากการเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋แล้วจะต้องตัดขาดกับโลกใบนี้เช่นนั้นเหตุใดมู่อี้ถึงมาอยู่ที่นี่?และยังออกเดินทางไปยังที่ต่างๆด้วย?

ลัทธิเต๋นั้นย่อมมีความแตกต่างจากคนปกติในโลกใบนี้อยู่บ้างแต่ความจริงแล้วมันก็แค่เรื่องอาหารที่พวกเขาทานหรือไม่ก็การปฏิบัติตัวเท่านั้นพวกเขาก็ยังต้องดิ้นรนในโลกใบนี้และบ่มเพาะร่างกายและจิตใจของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นดังนั้นถ้าหากจะพูดจริงๆผู้ที่เข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนธรรมดาเลย

คําพูดของมู่อี้เป็นแค่การหลอกลวงเท่านั้น ถ้าหากจิตใจของโม่หรูเยียนอยู่ในสภาพปกตินางย่อมไม่เชื่อเขาอย่างแน่นอนแต่สถานการณ์ในตอนนี้มันแตกต่างออกไป

“ข้า ” โม่หรูเยียนเปิดปากของนางขึ้นมาแต่ก็ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี

นางอยากจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ความรู้สึกที่เรามีต่อสํานักคุ้มกันโม่หยวนนั้นก็สําคัญยิ่งกว่าในตอนนี้ความคิดทั้ง2อย่างนี้กําลังขัดแย้งกันอยู่ในสมองของนาง

“ท่านไม่จําเป็นต้องให้คําตอบขาในตอนนี้ เพราะนี่คือชีวิตของท่าน ท่านกลับไปคิดให้ดีแล้วค่อยมาบอกคําตอบกับข้าพรุ่งนี้ก็ได้” มู่อี้พูดออกมาเบาๆ คําพูดของเขานั้นทําให้จิตใจของนางรู้สึกมีพลังขึ้นมาและยังทําให้นางรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

หลังจากได้ฟังคําพูดของมู่ โม่หรูเยียนก็พยักหน้าทันทีและในตอนนี้นางไม่ได้ร้องขอที่จะเป็นลูกศิษย์ของมู่อี้อีกต่อไปแล้ว

“ท่านลุงไฉ ท่านช่วยส่งคนมาเก็บกวาดสนามรบแห่งนี้ด้วยนะขอรับ ข้าจะพานางกลับไปพักที่ห้องก่อน”เมื่อเห็นเช่นนี้ม่อี้ก็หันมาพูดกับท่านลุงไฉทันที

“ได้เลย ท่านวางใจเถอะ” ท่านลุงไฉพยักหน้าทันทีและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณไปให้มู่อี้เขาเข้าใจเป้าหมายของมู่อี้เป็นอย่างดี แม้แต่เขาเองก็ยังหวังว่าโม่หรูเยียนจะเคารพม่อี้เป็นอาจารย์ของนาง แต่ความคิดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

มู่จากไปพร้อมกับโม่หรูเยียนและท่านลุงไฉก็เริ่มออกคําสั่งต่อผู้คุ้มกันทุกๆคนทันที ในตอนนี้ยันต์สะกดวิญญาณของมู่อี้ได้ทําลายพิษผีดิบที่อยู่ในร่างกายของทุกๆคนไปแล้ว มีคนมากมายที่ต้องเสียชีวิตอยู่ที่นี่แต่อย่างน้อยก็มีผู้รอดชีวิตอีกหลายคน แม้ว่าพวกเขาจะหายจากอาการบาดเจ็บแต่ก็คงไม่อาจเป็นผู้คุ้มกันได้อีกในชีวิตนี้

แต่สํานักคุ้มกันโม่หยวนก็จะยกย่องพวกเขาให้เป็นผู้กล้าตลอดไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตในอนาคตเลยแต่ทุกๆคนก็ล้วนต้องผิดหวังเพราะพวกเขาไม่อาจทําอาชีพผู้คุ้มกันและออกเดินทางท่องโลกกว้างได้อีกต่อไป

เมื่อได้เข้ามาเป็นผู้คุ้มกันแล้วย่อมไม่มีใครอยากจะออกจากสายอาชีพนี้และเมื่อพวกเขาต้องลาจากมันจริงๆ พวกเขาจึงรู้สึกรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้และนี่คืออารมณ์ที่ผู้คุ้มกันทุกคนแสดงออกมา

มู่อี้กลับเข้ามาในโรงเตี้ยมพร้อมกับโม่หรูเยียนแต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องพักนั้นเขาก็หันกลับมาและมองออกไปในระยะไกลๆทันที พื้นที่ตรงนั้นมีเพียงความมืดและไม่มีอะไรอยู่เลยหลังจากจ้องมองอยู่สักพักหนึ่งมู่อี้ก็หันกลับมาและส่งโม่หรูเยียนให้เข้าไปในห้องพักของนาง

หลังจากได้เข้ามาในห้องแล้วเขาก็รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว ร่างกายของมู่อี้สั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากสีแดงสดๆกลายเป็นสีฟ้าที่ดูซีดเซียวอย่างยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูน่าสะพรึงกลัวมากสําหรับโม่หรูเยียน

“ท่านนักพรต เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน?” ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของมู่อี้ทําให้โม่หรูเยียนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและมันยังทําให้จิตใจที่แปรปรวนของนางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องพูดไปและอย่าให้ใครทราบเรื่องนี้” มู่อี้กัดฟันพูด น้ําเสียงของเขาถูก บีบจนเล็ดรอดออกมาตามช่องฟัน

เขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ก่อนจะเริ่มต่อสู้กับชวีหยางแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆไม่มีทางทําให้เขาหายเป็นปกติได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขายอมเสียสละตนเองอย่างไม่ลังเลเพื่อระเบิดพลังของตะเกียงทองแดงออกไปทันที

ความจริงแล้วหลังจากที่ตะเกียงทองแดงระเบิดพลังออกไปนั้น มู่อี้ก็ไม่เหลือพลังอีกต่อไปแล้วแต่ท่าที่ของเขาก็ยังคงสงบนิ่งมากและทําให้ชวีหยางไม่อาจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติได้เลยและรีบออกไปจากที่นี่ด้วยความหวาดกลัว

ชวีหยางอํามหิตมากเพียงใดนั้นดูได้จากวิธีการที่เขาใช้ทดสอบมู่ลี้หลังจากชวีหยางออกไปจากที่นี่แล้วมู่อี้ก็ไม่คิดว่าเขาจะออกไปจากที่นี่จริงๆ

การระเบิดพลังออกมาอย่างกะทันหันของมู่อี้ก่อนหน้านี้ถ้าหากชวีหยางไม่ได้รู้สึกสงสัยเช่นนั้นก็ถือว่าผิดปกติแล้ว แต่ข้อสงสัยก็เป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น ชวีหยางย่อมไม่กล้าที่จะกลับมาลงมืออีกครั้งหนึ่งเพราะด้วยร่างกายที่ไม่พร้อมในการต่อสู้ทําให้ชวีหยางเก็บความสงสัยของตนเองเอาไว้ในใจเท่านั้น

เรื่องเช่นนี้ถ้าหากว่าเขาไม่มั่นใจเขาย่อมไม่ลงมือทําแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงรีบหนีออกไปจากที่นี่ทันที

แต่ความจริงแล้วเมื่อเขาหนีออกไปจากที่นี่นั้นเขากลับซ่อนตัวสังเกตการณ์และตรวจสอบมู่ อยู่ห่างๆ ถ้าหากมู่อี้แสดงความผิดปกติหรือความอ่อนแอออกมาเมื่อใด เช่นนั้นเขาก็พร้อมที่ จะกลับมาสังหารมู่อี้อีกครั้งทันที

และเขาก็ตั้งใจทิ้งกลุ่มผีดิบเอาไว้ที่นี่เพื่อทดสอบมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง

ส่วนผลลัพธ์ที่ได้มานั้น มู่อี้ก็ไม่ทําให้เขาต้องผิดหวังและสังหารผีดิบที่เหลืออยู่ไปทั้งหมดอย่าง ง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้นมู่ลี้ยังช่วยเหลือผู้คุ้มกันทุกๆคนที่ได้รับบาดเจ็บจากพิษผีดิบอีกด้วย

อย่างน้อยที่สุดในสายตาของคนธรรมดาถ้าหากมู่อี้ไม่มีพลังหลงเหลืออยู่แล้วเขาย่อมทําเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่นอนแต่นั่นก็ในสายตาของคนธรรมดาเท่านั้น

จนกระทั่งมู่อี้กลับเข้าไปในโรงเตี้ยมพร้อมกับโม่หรูเยียนจึงไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไปและชวี่หยางก็ไม่มีโอกาสลอบสังเกตการณ์อีกต่อไปแต่การทดสอบของชวีหยางก็ยังไม่จบลง

ด้านหน้าโรงเตี้ยมนั้นมีการทดสอบครั้งสุดท้ายของชวีหยางเกิดขึ้นแม้ว่าการทดสอบของชวี่หยางจะไม่ได้ผลทุกๆอย่างจนทําให้เขาหมดหวังและออกจากที่นี่ไป ท้ายที่สุดมู่อี้ก็เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ

แต่ชัยชนะที่ได้รับมานั้นเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าสําหรับมู่ลี้ เพราะในครั้งนี้สิ่งที่เขาต้องสูญเสีย นั้นมันมากเกินไป

ชวีหยางนั้นเป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่คิดจะใช้วิธีการเช่น นี้กลับมู่อื้อย่างแน่นอนแต่ในท้ายที่สุดนั้นเขาก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารมู่อี้ไป

แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะคิดเรื่องนี้ได้แต่มันก็คงสายไปแล้ว

หลังจากมู่อี้พูดจบ เขาก็หมดสติไปทันที

แม้ว่าเขาจะหมดสติไปนั้นร่างกายของเขายังคงชักกระตุก เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการได้ เหงื่อมากมายไหลออกมาจากร่างกายของเขา จนในที่สุดทั่วร่างกายของเขาก็กลายเป็นสีแดงฉาน

โม่หรูเยียนไม่เคยพบเจอกับเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้สึกลนลานอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าควรทําเช่นไรดีและความสงบนิ่งที่นางมีมาโดยตลอดก็หายไปแล้วในตอนนี้

โชคดีที่นางยังคงจําคําพูดของมู่อี้ก่อนที่เขาจะหมดสติไปได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ออกไปนอกห้องพักและไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับใครแม้แต่ท่านลุงไฉก็ตาม

ในตอนนี้ม่อี้ถือต้นไผ่เอาไว้ในมือของเขา ต้นไผ่ต้นนั้นส่องแสงขึ้นมาทันทีและมีเด็กสาวที่ดูงดงามคนหนึ่งลอยออกมาจากภายในนั้น

แม้ว่าเด็กสาวผู้นี้จะดูงดงามและน่ารักอย่างยิ่ง แต่การที่นางออกมาจากต้นไผ่ที่อยู่ในมือของมู่อี้ก็ทําให้โม่หรูเยียนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที นางเคยเห็นผีดิบมาก่อนหน้านี้อย่างน้อยในตอนนี้นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์คืออะไร