ตอนที่ 137 ความทรงจําในความฝัน

“ต้าหนิว ไปเฝ้าที่หน้าประตูเอาไว้ห้ามใครเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด” หลังจากเนียนหนิวเอ้อร์ปรากฏตัวออกมา นางก็ไม่ได้สนใจโม่หรูเยียนแต่กลับออกคําสั่งต่อต้าหนวที่อยู่ข้างๆทันที

ต้าหนิวทําตามคําสั่งของเนียนหนิวเอ้อร์อย่างว่าง่ายยิ่งกว่าคําสั่งของมู่อี้เสียอีก ดังนั้นมันจึงเปิดประตูห้องออกไปทันทีโดยไม่พูดอะไรและยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพร้อมกับถือขวานยักษ์เอาไว้ในมือของมัน

ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ห้ามเข้าไปในห้องนี้เด็ดขาด

ภายในห้องนั้น ทันทีที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ปรากฏตัวออกมาต้นไผ่แห่งชีวิตก็ลอยเข้ามาอยู่ในมีอของนางทันทีและจากนั้นนางก็หันไปพูดกับโม่หรูเยียนด้วยน้ําเสียงออกคําสั่งว่า “แบกพี่ชายไปนอนบนเตียง”

โม่หรูเยียนได้ยินคําพูดของเด็กสาวในตอนนี้และรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที อย่างน้อยจากคําพูดของเนี่ยนหนิวเอ้อร์นางก็ได้ทราบสิ่งที่สําคัญอย่างหนึ่งนั่นก็คือมู่อี้คือพี่ชายของเด็กสาวคนนี้ดังนั้นไม่ว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็นวิญญาณหรืออะไรก็ตามนางย่อมไม่ทําร้ายม่อี้อย่างแน่นอน

โม่หรูเยียนจึงแบกมู่อี้ไปนอนบนเตียงทันที สําหรับผู้ฝึกยุทธอย่างนางนั้นการแบกปูอี้ไปถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย

เนียนหนิวเอ้อร์ถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือและเดินตามโม่หรูเยียนไปด้วยเช่นกัน แต่นางก็เหลือบมองไปที่โม่หรูเยียนด้วยสายตาที่ดูรําคาญใจเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบโม่หรูเยียนเลย

เพราะในมุมมองของนางนั้นเหตุผลที่ม่อี้ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะโม่หรูเยียน

ส่วนเรื่องตัวตนของชวีหยางและเป้าหมายในการไปที่เมืองลั่วหยางของมู่อี้นั้น นางไม่เคยสนใจและคิดว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโม่หรูเยียนเท่านั้น นี่คือความคิดที่ปราศจากเหตุผลของเด็กสาวคนหนึ่ง

แม้ว่าโม่หรูเยียนจะไม่สามารถอ่านความคิดใครได้และไม่รู้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กําลังคิดอะไรอยู่แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากสีหน้าและท่าทีของเนียนหนิวเอ้อร์ว่าเด็กสาวคนนี้คงไม่ชอบนางแน่นอน

แม้ว่ามันจะฟังดูแปลกประหลาดไปบ้างแต่นางก็ไม่ได้สนใจเด็กสาวคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นน้องสาวของมู่ลี้

หลังจากโม่หรูเยียนวางมู่ลงบนเตียงแล้ว นางก็รีบถอยออกมาและเปิดทางให้เนียนหนิวเอ้อร์ได้เข้าไปทันที

เนี่ยนหนิวเอ้อร์ลอยมาอยู่ที่ข้างเตียงและจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังจากนั้นนางก็แตะปลายด้านหนึ่งของต้นไผ่แห่งชีวิตไปที่ระหว่างคิ้วของมู่อี้และปลายอีกด้านหนึ่งอยู่ที่ระหว่างคิ้วของนาง

” ฟุ้บ!”

ทันใดนั้นต้นไผ่แห่งชีวิตก็เปล่งแสงออกมาทันที แสงสีเขียวห่อหุ้มร่างกายของมู่อี้เอาไว้และเมื่อเวลาผ่านไปแสงสีเขียวที่ต้นไผ่แห่งชีวิตส่องแสงออกมานั้นก็มีสีเข้มมากยิ่งขึ้น แต่ร่างกายของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็จางลงไปอย่างเห็นได้ชัด

จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมาเนียนหนิวเอ้อร์ก็ตกลงมาจากกลางอากาศทันที ในตอนแรกนั้นนางสามารถลอยตัวไปมาได้แต่ในตอนนี้แค่ลอยตัวอยู่เฉยๆก็ยังทําไม่ได้เลย

ร่างกายของมู่อี้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยแสงสีเขียวเข้มราวกับรังไหม ทุกๆครั้งที่เขาหายใจแสงสีเขียวเข้มนี้จะเข้าไปในร่างกายของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่แสงเข้าไปในร่างกายของเขานั้นร่างกายที่กําลังสั่นเทาของมู่อี้ก็จะดูดีขึ้นเล็กน้อย แม้แต่คิ้วที่กําลังขมวดอยู่ของมู่อี้ก็คลายออกมาเห็นได้ชัดว่าเขากําลังดีขึ้นอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ใบหน้าเล็กๆของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ยิ้มขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็กลับเข้าไปในต้นไผ่แห่งชีวิตและต้นไผ่แห่งชีวิตก็ลอยไปวางอยู่ข้างๆมู่อี้ราวกับว่านางกําลังนอนหลับไปพร้อมกับมู่ลี้ในตอนนี้

เมื่อเห็นว่าลมหายใจของมู่อี้สงบนิ่งมากยิ่งขึ้นและความเจ็บปวดที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเขาได้หายไปอย่างช้าๆ โม่หรูเยียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันที แต่สิ่งที่นางได้เห็นก่อนหน้านี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของนางและความคิดต่างๆก่อนหน้านี้ของนางก็กลับมาอีกครั้ง

แต่โม่หรูเยียนก็อดทนได้ไม่นานนัก หลังจากนั้นนางก็พิงศีรษะของตนเองกับเตียงและหลับไปทันที

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ทําให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าด้วยเช่นกันแต่นางก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมากมาย ในตอนนี้เมื่อเห็นว่ามู่อี้ไม่เป็นอะไรแล้ว นางก็ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป

มู่อี้ฝันขึ้นมา สําหรับมู่อี้แล้วปกติเขาจะนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนและไม่เคยเห็นความฝันมาเป็นเวลานานแล้ว ในความฝันของเขาที่เกิดขึ้นตอนนี้ดูเหมือนเขาจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งช่วงเวลาก่อนที่เขาจะอายุครบ 6 ขวบ ในความฝันเขาเห็นหญิงสาว หญิงสาวที่ดูอ่อนโยนอย่างยิ่งแต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดมู่ ก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นได้เลย

แต่สัญชาตญาณในใจของเขาก็บอกทันทีว่าหญิงสาวคนนี้คือมารดาของตนเอง

ในความทรงจําที่เกิดขึ้นนั้นเขาไม่เห็นบิดาของตนเองเลย แม้ว่าจะได้เห็นมารดาแต่ก็เป็นการม องเห็นที่คลุมเครือเท่านั้น ราวกับเศษส่วนของความทรงจําที่กระจัดกระจายไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้

ในวันที่ 2 เมื่อลู่อี้ตื่นขึ้นมานั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงอาการชาที่แขนซ้ายของตนเองทันทีจึง รีบหันศีรษะไปดูและเห็นว่าโม่หรูเยียนกําลังนอนอยู่บนแขนของเขา เส้นผมที่ดําสลวยของนางกระจัดกระจายอยู่บนร่างกายของเขา และแม้แต่จมูกของเขาก็ยังได้กลิ่นหอมอ่อนจากร่างกายของนาง

“โอ้!”

บางทีการเคลื่อนไหวของมู่อี้อาจทําให้โม่หรูเยียนรู้สึกตัวขึ้นมา นางรีบยกศีรษะของตนเองนมาและลูบต้นคอของตนเองที่มีอาการเคล็ดขัดยอกเพราะท่านอนที่ผิดปกติ จากนั้นสายตาของนางก็มองมาที่มู่อี้ช้าๆ

“อะไรกัน!”

เมื่อได้เห็นมู่ สัญชาตญาณของโม่หรูเยียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น จากนั้นนางก็พยายามลุกขึ้นจากเตียงแต่เพราะว่านอนท่าเดียวตลอดทั้งคืนทําให้ร่างกายของนางมีอาการชาขึ้นมาเล็กน้อย ทันทีที่นางพยายามลุกขึ้นจากเตียงนั้นร่างกายของนางก็ล้มลงไปบนร่างกายของม่อี้อีกครั้ง

“แค่ก!”

เมื่อถูกกระแทกลงมาอย่างกะทันหันมู่อี้ก็ไอออกมาทันที บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขายังคงบาดเจ็บอยู่ในตอนนี้และโม่หรูเยียนก็กระแทกลงมาที่หน้าอกของเขาซึ่งเป็นตําแหน่งที่เขาได้รับบาดเจ็บจากชวีหยางเมื่อวานนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องส่งเสียงออกมาทันที

“ขอโทษด้วย ข้า ข้าแค่ ” โม่หรูเยียนรีบลุกขึ้นมาทันที ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง และไม่กล้าจ้องมองมู่อี้แม้แต่น้อย

“ไม่เป็นไรขอรับ เมื่อคืนนี้คงลําบากท่านแล้ว” มู่อี้พูดพร้อมกับจ้องมองมาที่โม่หรูเยียน เพราะในตอนนี้เขากําลังนอนอยู่บนเตียงนอนของนาง แม้แต่โม่หรูเยียนที่เป็นเจ้าของห้องก็ยังไม่ได้นอนบนเตียงและทําได้เพียงนอนอยู่ข้างๆเตียงตลอดทั้งคืนเท่านั้น

“ความจริงแล้วเมื่อคืนข้าไม่ได้ทําอะไรเลย เป็นน้องสาวของท่านที่ช่วยเหลือท่านเอาไว้” โม่หรูเยียนพูดไปตามความจริง เมื่อคืนนี้นางแทบไม่ได้ทําอะไรเลย

“เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่ก็ต้องขอบคุณท่านด้วยเช่นกัน” มู่อี้ตอบกลับมา เขายังคงจดจําสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้อย่างคลุมเครือ แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแต่การรับรู้ของเขาก็ไม่ได้หายไปด้วยเขาสามารถรับรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้

ต้นไผ่แห่งชีวิตเป็นสมบัติล้ําค่าแห่งสวรรค์และโลกจริงๆและมันยังทําให้พลังของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การที่มันมีจิตวิญญาณในตัวเองทําให้มันล้ําค่ายิ่งกว่าสมบัติชิ้นอื่นๆและจิตวิญญาณของมันก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

หลังจากเติบโตขึ้นมาหลายปีต้นไผ่แห่งชีวิตก็ได้สะสมพลังอันบริสุทธิ์เอาไว้เป็นจํานวนมากในอดีตนั้นพลังงานบริสุทธิ์เหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับมู่อี้เลยและเขาก็ไม่ได้อยากใช้พลังของต้นไผ่แห่งชีวิตแต่ในครั้งนี้มู่อี้ต้องเดิมพันทุกๆอย่างเพื่อเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะ ซึ่งสิ่งที่เขาใช้เดิมพันไปนั่นก็คือแก่นแท้แห่งชีวิตของตนเอง

ดังนั้นแม้ว่ามู่อี้จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาในครั้งนี้ได้แต่แก่นแท้แห่งชีวิตของเขาก็ไม่อาจจะเติมเต็มให้กลับมาเหมือนปกติได้ แต่ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้ส่งพลังอันบริสุทธิ์จากต้นไผ่แห่งชีวิตเข้ามาในร่างกายของมู่ลี้

ในตอนนั้นร่างกายของมู่อี้ที่อยู่ในสภาพที่ว่างเปล่าแทบจะกลืนกินพลังทั้งหมดเข้าไปทันทีพูดได้เลยว่าพลังอันบริสุทธิ์ของต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นเข้ามาได้ถูกที่ถูกเวลาไม่เพียงแต่มันจะเข้ามาแทนที่ แก่นแท้แห่งชีวิตที่มู่อี้ได้สูญเสียไปก่อนหน้านี้แต่มันยังทําให้รากฐานของมู่อี้หนักแข็งแก ร่งยิ่งขึ้นและแม้แต่การหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่ของวันที่ผ่านมานั้นก็ถือว่าสําเร็จด้วยเช่นกัน

พูดได้เลยว่ามู่อี้เหมือนได้รับของขวัญจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บของเขาจะหายเป็นปกติแต่ร่างกายของเขาก็แข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อได้รับอะไรมาก็ต้องจ่ายสิ่งตอบแทนออกไป ต้นไผ่แห่งชีวิตได้สูญเสียพลังไปมากแม้ว่าจะไม่ได้กระทบถึงจิตวิญญาณของมันแต่ก็มีผลกระทบต่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ด้วยเช่นกันอย่างน้อยก็ในตอนนี้แสงของต้นไผ่ที่ส่องออกมาอย่างสลัว รวมถึงเนียนหนิวเอ้อร์ที่นอนหลับอยู่ตลอดเวลา ก็เพียงพอที่ทําให้เขามองเห็นปัญหาแล้ว

แต่วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ได้จบลงแล้วและมู่อี้ก็ไม่มีทางส่งคืนพลังที่เข้ามาในร่างกายของเขากลับไปได้ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงจดจําเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เอาไว้ในใจ