ตอนที่ 138 ความลับของชวีหยาง

หลังจากกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่เสร็จสิ้นแล้ว มู่อี้ก็เดินลงมาที่ชั้นล่างของโรงเตี้ยมแต่ในตอนนี้บรรยากาศของโรงเตี้ยมดูเหมือนจะมีเพียงความโศกเศร้าเท่านั้นและนอกจากผู้คุ้มกันของสํานักคุ้มกันโม่หยวนที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย

เจ้าของโรงเตี้ยมและเสี่ยวเอ้อถูกฆ่าตายไปในคืนนั้นด้วยเช่นกัน และโรงเตี้ยมแห่งนี้ก็ไม่มีเจ้าของอีกต่อไป

เมื่อเห็นมู่อี้เดินลงมา ผู้คุ้มกันมากมายต่างก็ยืนขึ้นมาพร้อมกันและจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาเคารพและประหลาดใจ

“ท่านนักพรตเต๋ขอรับ ท่านมาแล้วหรือ” ท่านลุงไฉก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เขารีบเข้ามาทักทายมู่อี้ทันทีที่พบเจอ

” พวกท่านไม่มีใครเป็นอะไรนะขอรับ “ มู่อี้ถามกลับ

“ขอบคุณสําหรับความหวังดีของท่าน พี่น้องทุกคนล้วนสบายดี” ท่านลุงไฉกล่าวขอบคุณ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของมู่อี้คงต้องมีคนตายมากกว่านี้

“แล้วท่านจะทําเช่นไรต่อ?” มู่อี้เหลือบมองหาโม่หรูเยียนที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็ถามท่านลุงไฉออกไปเช่นนี้

“ตําแหน่งของเราห่างจากเมืองลั่วหยางอีกไม่ไกล พวกเราวางแผนที่จะเดินทางไปยังเมืองลั่วหยางก่อนส่งมอบสินค้า และกลับไปที่ชิงเจียงบ้านของพวกเราทันทีหลังจากทําเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น” ท่านลุงไฉมองมาที่มู่อี้อีกครั้งหนึ่งด้วยสายตาที่ดูลังเลใจและถามขึ้นมาว่า ” ท่านนักพรตเต๋าจะไปที่เมืองลั่วหยางพร้อมกับพวกเราหรือไม่ขอรับ?”

แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่คําพูดของท่านลุงไฉก็มีนัยยะสําคัญแฝงอยู่

“ไม่ เป้าหมายในการมาที่เมืองลั่วหยางของข้าสําเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนการไปที่เมืองลั่วหยางในตอนนี้สําหรับข้าไม่ได้สําคัญขนาดนั้นอีกต่อไป” มู่อี้พูดออกมาตรงๆว่าเขาอยากจะแยกตัวออกไป เพราะเป้าหมายหลักที่เขามาเมืองลั่วหยางก็เพราะชวี่ยจวงและชวี่ยจวงก็ไม่ได้อยู่ในเมืองลัวหยาง

ยิ่งกว่านั้นเมื่อได้ต่อสู้กับชวีหยางก็ทําให้มู่อี้เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เฉียจื่อแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาข่าวของหลี่เฉียจือจากปากของเจ้าของชวี่ยจวงผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาวิธีอื่น

ท่านลุงไฉไม่ได้ถามจุดประสงค์ของมู่อี้ แม้ว่าเขาจะคาดคิดเอาไว้อยู่แล้วแต่เมื่อได้ยินว่ามู่อี้จะแยกตัวออกไปเขาก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจดีว่าโลกใบนี้ย่อมมีภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มู่ลี้คือผู้ว่าจ้างของสํานักคุ้มกันโม่หยวนเลย ไม่ว่ายังไงเมื่อไปถึงเมืองลั่วหยางก็ต้องแยกจากกันอยู่แล้วแต่เมื่อผูกพันกันมาเป็นเวลานานและต้องแยกตัวออกจากกันเขาก็รู้สึกเสียใจและผิดหวัง

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าขอให้ท่านนักพรตเต๋าทําเป้าหมายของท่านให้สําเร็จโดยเร็ว แต่ก่อนที่จะจากกันข้ามีอะไรบางอย่างที่อยากจะมอบให้ท่านนักพรตเต๋ขอรับ” ท่านลุงไฉพูดด้วยน้ําเสียงโศกเศร้า

“อะไรหรือขอรับ?” มู่อี้จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

แต่ไม่นานหลังจากนั้นมู่อี้ก็รู้ว่าสิ่งที่ท่านลุงไฉพูดถึงมันคืออะไรและเขาก็เห็นผู้คุ้มกัน 2 คนเดินเข้ามาที่นี่พร้อมกับชายชราคนหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา ชายชราคนนี้คือชายชราที่สามารถเรียกแมลงออกมาได้แต่ในการต่อสู้เมื่อคืนนั้นอี้ได้โจมตีเขาด้วยยันต์ปราบปีศาจและจากนั้นก็ไม่เคยสนใจเขาอีกเลย ไม่คิดเลยว่าชายชราจะหนีออกไปไม่ได้และถูกจับตัวเอาไว้เช่นนี้

ยังมีผู้คุ้มกันที่ถือกล่อง 2 กล่องเอาไว้ในมือเดินตามมาด้วยเช่นกัน

“เดิมทีพี่น้องของพวกเราอยากจะสังหารชายชราผู้นี้ทันที แต่ข้าไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เขาถูกจับกุมตัวเขากลับพยายามร้องขอพบหน้าท่านนักพรตเต๋ก่อน ข้าไม่รู้ว่าเขามีเจตนาเช่นไรดังนี้นจึงมัดตัวของเขาเอาไว้ก่อนและให้ท่านนักพรตเต๋าเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้” ท่านลุงไฉพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายชราทันที

“ไม่ต้องหรอกขอรับ สังหารเขาได้เลย” มู่อี้ตอบกลับมาทันทีเพราะเขาเองก็ไม่มีสิ่งที่ต้องการจากชายชราผู้นี้ ชายชราคือผู้ที่สังหารเจ้าของโรงเตี้ยมแห่งนี้และมีผู้คุ้มกันอีกหลายคนที่ต้องตายเพราะมือของเขา ดังนั้นสําหรับชายชราผู้นี้มู่ ไม่ได้รู้สึกใจอ่อนแม้แต่น้อย

“ท่านนักพรตเต๋ ไม่ ท่านนักพรตเต๋ ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ ข้ารู้ความลับของชวีหยาง ข้ารู้เรื่องหลี่เฉียงื่อ ขอร้องล่ะท่านนักพรตเต๋อย่าฆ่าข้าเลย” เมื่อได้ยินว่ามู่อี้บอกให้ฆ่าเขาทันที สีหน้าของชายชราก็ดูตื่นตระหนกขึ้นมาและรีบร้องตะโกนอ้อนวอน

แต่คําพูดของเขาก็ทําให้ม่อี้รู้สึกสนใจขึ้นมาได้สําเร็จ

มู่ลี้ยื่นมือออกมาห้ามผู้คุ้มกันทั้งสองคนและจ้องมองที่ชายชราพร้อมกับถามว่า “เจ้ารู้จักหลี่เฉียรื่องั้นหรือ? หากว่าเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะให้คนสับเจ้าออกเป็นหมื่นชิ้น และข้าจะเป็นผู้ทรมานดวงวิญญาณของเจ้าด้วยตนเอง ดวงวิญญาณของเจ้าจะต้องถูกทรมานไปอีกหลายสิบปี”

“ข้าจะกล้าทําเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านนักพรตเต๋ ข้าสาบานได้เลยว่าสิ่งที่ข้าจะพูดหลังจากนี้คือความจริง” ชายชราดูหวาดกลัวกับคําพูดของมู่อี้ เขารู้ดีว่าสิ่งที่มู่อี้พูดมานั้นไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการทรมานดวงวิญญาณถ้าหากเป็นคนอื่นอาจไม่มีทางทําได้แต่เขาเชื่อว่ามู่ต้องทําได้แน่นอน

เพราะทุกๆคนต่างก็เห็นด้วยสายตาของตนเองว่านักพรตเต๋ผู้นี้สามารถต่อสู้กับดวงวิญญาณและภูตผีปีศาจได้อย่างง่ายดาย

“เช่นนั้นเจ้าก็พูดเรื่องความลับของชวีหยางมา เรื่องของหลี่เฉียจอด้วย” จากนั้นมู่อี้ก็จ้องมองไปที่ชายชราด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังและเขารู้ดีว่าชวีหยางเป็นผู้ที่พาชายชราคนนี้มาที่นี่เห็นได้ชัดว่าชายชราและชวีหยางต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี บางทีชายชราอาจจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆก็ได้

“ได้เลย ได้เลย ชวีหยาง”

“เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าทุกๆคนออกไปจากที่นี่ก่อน” เมื่อชายชรากําลังจะพูดออกมานั้นท่านลุงไฉก็ขัดจังหวะขึ้นมาทันทีและโบกมือไล่ทุกๆคนให้ออกไปจากที่นี่ จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับมู่อี้เพื่อเป็นการขอโทษและออกไปจากโรงเตี้ยมแห่งนี้ทันทีเหลือเพียงมู่อี้และชายชราที่อยู่ที่นี่เท่านั้น

ท่านลุงไฉผ่านประสบการณ์มามากกว่าครึ่งชีวิตของเขาและย่อมรู้ดีว่าเรื่องไหนควรฟังเรื่องไหนไม่ควรฟังในโลกใบนี้มีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้จะดีกว่า ในทางกลับกันยิ่งเขารู้มากเท่าไหร่ความตายก็ยิ่งเข้ามาใกล้เขามากเท่านั้น

เขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของมู่อี้ในการมาที่เมืองลั่วหยางครั้งนี้คืออะไรและเขาก็ไม่ได้อยากถามเรื่องนี้แต่หลังจากได้ยินชายชราคนนั้นพูดถึงชวีหยางเขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะฟังดังนั้นเขาจึงสั่งให้ผู้คุ้มกันทุกๆคนออกไปก่อน..

“ยังอายุน้อยเพียงนี้แต่กล้าออกมาเผชิญโลกกว้างด้วยตนเองเลยงั้นหรือ?” ชายชราพูดออกมาเบาๆหลังจากเห็นว่าท่านลุงไฉและคนอื่นๆออกจากที่นี้ไปแล้ว แต่เมื่อสายตาของมู่อี้จ้องมองมาที่เขาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “ท่านนักพรตเต๋าถ้าหากว่าข้าบอกความลับของชวีหยางให้กับท่าน ท่านจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่? ”

“เจ้าพูดออกมาก่อน” มู่อี้ตอบกลับมาอย่างเย็นชา เขาไม่คิดจะปล่อยให้ชายชราผู้นี้รอดไปได้แต่คําพูดของชายชราก็ทําให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ

ชายชรารู้สึกตกใจทันทีเมื่อได้ยินคําพูดของมู่อี้แต่เขาก็ทราบอย่างชัดเจนว่านักพรตเต๋อายุน้อยที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้สามารถเอาชนะชวีหยางได้ การจะสังหารตนเองก็ไม่ต่างอะไรจากบดขยิ้มดตัวหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าสร้างเรื่องหลอกลวงต่อหน้าม่อี้และเขาทําได้เพียงต้องบอกเรื่องราวของชวีหยางออกไปเท่านั้น

เมื่อพูดถึงชวีหยาง ผู้คนอาจจะไม่ได้รู้จักชื่อของชายคนนี้แต่ถ้าหากพูดถึงชวี่ยจวงคนส่วนใหญ่ย่อมรู้จักแน่นอนและยังมีบางคนที่รู้สึกหวาดกลัว ชวี่ยจวงถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควรในยุทธภพแห่

และชวีหยางก็มีพรสวรรค์โดดเด่นในด้านหนึ่งนั่นก็คือ การสร้างผีดิบ

ชวีหยางได้สืบทอดศาสตร์แห่งการสร้างผีดิบมาจากตระกูลของเขา การสร้างผีดิบนั้นสามารถทําให้ศพกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ผู้คนต่างกล่าวขานว่าชวี่ยจวงนั้นสามารถทําให้ศพกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่งดังนั้นแม้ว่าชวีหยางได้ก่อกรรมทําเข็ญเรื่องที่เลวร้ายขึ้นมาหลายครั้ง แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้

ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครกล้าโจมตีชวี่ยจวงแต่คนเหล่านั้นรู้ว่าที่ชวี่ยจวงนั้นมีศพที่มีชีวิตอยู่มากมายและศพเหล่านั้นก็ทําให้ชวี่ยจวงแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

สําหรับหลี่เฉียชื่อนั้นเขาเองก็เป็นผู้สร้างผีดิบคนหนึ่ง ถ้าหากพูดถึงความไม่พอใจและความเกลียดชังระหว่างเขากับชวีหยาง ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่เรื่องหนึ่งที่ยืนยันได้นั่นก็คือพวกเขาทั้งสองคนเป็นปรปักษ์กันอย่างแน่นอนไม่ใช่อย่างที่ชวีหยางเคยพูดเอาไว้ว่ามันเป็นเพียงความไม่พอใจเท่านั้น

เปยหมิงที่อยู่เคียงข้างชวีหยางนั้นก็มาจากตระกูลหลี่ด้วยเช่นกัน