ตอนที่ 178 ให้เขาไสหัวไป

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 178 ให้เขาไสหัวไป

พูดเรื่องเงินหยาบคายอย่างนั้นหรือ? เผยเหนียงจื่ออยากลองถามนางนัก แล้วเจ้ามีปัญญาจ่ายหรือเปล่า?

ชายหนุ่มตุ้งติ้งไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ วิ่งกระโดดโลดเต้นออกไปแล้ว แต่พอก้าวพ้นประตูออกไปก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยลงทันที กริยาท่าทางสมเป็นกุลสตรี เพียงแต่ดวงตากลมโตที่มองสอดส่ายไปรอบๆ ได้เผยความในใจของนางออกมาแล้ว

โครงสร้างภายในหลังคาทรงโค้งของโรงเตี๊ยมเป็นห้องพักที่ตั้งเรียงต่อกันเป็นวงกลม ตรงกลางเป็นโถงทรงกลมขนาดใหญ่ มีโต๊ะมีเก้าอี้ เรียบง่ายงามสง่า ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ตรงกึ่งกลางของโถงทรงกลมมีราวกั้นวนเป็นวง เป็นบันไดที่ใช้เดินขึ้นลง

เผยเหนียงจื่อที่เดินตามออกมาเอ่ยถามว่า “คุณหนู ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”

ชายหนุ่มตุ้งติ้งเหลือบซ้ายแลขวา เอ่ยถาม “เซวียนหยวนเต้าคนนั้นพักอยู่ห้องไหน? กลับมาหรือยัง?”

เผยเหนียงจื่อตอบว่า “ข้าจะทราบได้อย่างไรเจ้าคะ อยู่ในห้องกับท่านตลอด ไม่รู้เลยว่ากลับมาหรือยัง”

อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงพูดคุย หลิวเฟิงไห่และไฉเฟยที่อยู่ในห้องข้างๆ จึงเปิดประตูออกมาเช่นกัน

และในเวลานี้เอง ตรงบันไดก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วขึ้นมา เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาก่อน คนที่เดินตามหลังมาคือฉู่อันโหลว จากนั้นถึงจะเป็นพวกหนิวโหย่วเต้าที่ทยอยเดินขึ้นมา

ทันทีที่มาถึงที่นี่ พวกหนิวโหน่วย่อมมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้าง พวกเผยเหนียงจื่อทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำให้คนทางนี้ตะลึงงัน สายตาต่างมองไปที่ดรุณีเยาว์วัยที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีชมพูนางนั้น

เกล้ามวยตั้งสูง เรือนร่างเพรียวบางอ้อนแอ้น เอวคอดอกนูน ดวงตากลมโต ดวงหน้างดงามสดใสเยาว์วัย สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น โดยเฉพาะกลิ่นอายความสดใสอ่อนเยาว์ที่แผ่ออกมา แตกต่างจากคุณหนูตระกูลผู้ดีทั่วๆ ไปที่มักจะดูเรียบร้อยสงวนท่าทีอย่างสิ้นเชิง

หากมิใช่เพราะมีพวกเผยเหนียงจื่อทั้งสามยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้าคงจำนางไม่ได้เป็นแน่

คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มตุ้งติ้งคนนั้นจะเปลี่ยนกลับมาสวมชุดสตรีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นโฉมสะคราญที่หาได้ยากคนหนึ่ง…พวกหนิวโหย่วเต้ามองหน้ากัน

ฉู่อันโหลวเองก็ตกตะลึงกับความงามของสตรีนางนั้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทว่ามิได้เก็บมาใส่ใจ เขามองไปทางห้องที่เสี่ยวเอ้อชี้ให้ ก่อนจะผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้า “ท่านเซวียนหยวน เชิญขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้าได้สติกลับมา หันไปประสานมือกล่าวว่า “เถ้าแก่ ไม่ต้องลำบากแล้ว ท่านไปจัดการธุระของท่านเถอะ”

ฉู่อันโหลวพยักหน้ารับ “ขอรับ เช่นนั้นไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านเดินทางไกลมาถึงที่นี่ย่อมเหนื่อยล้า เชิญพักผ่อนให้สบายใจก่อนขอรับ หากมีเรื่องอะไรเอาไว้ท่านพักผ่อนเติมพลังเต็มที่แล้วค่อยว่ากัน เรื่องอาหารการกินเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ขอเพียงเป็นสิ่งที่ทางโรงเตี๊ยมมี ท่านเอ่ยมาได้เต็มที่เลยขอรับ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หากมีอะไรก็สามารถเรียกใช้เสี่ยวเอ้อได้ตลอดเวลา หรือจะมาหาข้าก็ได้ขอรับ”

“รบกวนแล้วๆ!” หนิวโหย่วเต้ากล่าวขอบคุณ ประสานมือส่งฉู่อันโหลวลงบันไดไป

จากนั้นทั้งกลุ่มตามเสี่ยวเอ้อไปพักผ่อนในห้องใครห้องมัน สภาพของห้องพักดีจนค่อนข้างเหนือความคาดหมายของพวกหนิวโหย่วเต้าอยู่บ้าง

พวกเฮยหมู่ตานตามเสี่ยวเอ้อไปดูห้องของตัวเอง ขณะหนิวโหย่วเต้ากำลังเดินสำรวจภายในห้อง พวกชายหนุ่มตุ้งติ้งก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา

“ดีนี่ ใช้ชื่อปลอมหลอกพวกเรามาโดยตลอด ชื่อจริงของเจ้าคือเซวียนหยวนเต้าอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มตุ้งติ้งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยถามทันที ดวงตากลมโตทอประกายวูบไหว

หนิวโหย่วเต้าพินิจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า อดเกาหลังมือไม่ได้ ยังไม่ค่อยชินกับการแต่งตัวของชายหนุ่มตุ้งติ้งคนนี้จริงๆ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เจ้าเองก็ไม่ได้บอกชื่อกับข้ามิใช่หรือ?”

สาวน้อยตบหน้าอกทันที ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “เฮ่าชิงชิง ข้าชื่อเฮ่าชิงชิง”

เมื่อนางเอ่ยไปเช่นนี้ พวกเผยเหนียงจื่ออึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไร บอกชื่อจริงออกไปได้อย่างไรกัน ตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือว่าอย่าใช้ชื่อจริงตอนอยู่ข้างนอก?

ทว่าบอกออกไปแล้ว ถึงขัดขวางไปก็ไร้ประโยชน์

“เฮ่าชิงชิง…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทวน พินิจนางจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง ยังคงรู้สึกว่าสตรีนางนี้ดูแปลกๆ เหตุใดถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิม ท่าทีต่างจากก่อนหน้านี้เหมือนเป็นคนละคน หรือว่าหลังจากเปลี่ยนการแต่งตัวแล้วนิสัยจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย หรือเป็นเพราะเห็นตนไปมาหาสู่กับฉู่อันโหลวจึงคิดจะมาประจบผูกมิตรด้วย?

แต่ตลอดทางที่ผ่านมา สิ่งที่หญิงสาวผู้นี้เผยออกมาล้วนเป็นอุปนิสัยที่แท้จริง แล้วก็ไม่คล้ายจะเป็นคนประเภทที่ชอบเข้าหาผู้มีอำนาจเลย

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คงมิใช่ว่าแพ้เดิมพันแล้วคิดจะเบี้ยวหนี้กระมัง?”

“เฮ้อ” เฮ่าชิงชิงเปล่งเสียงดูแคลน “เห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน ข้าใช่คนที่จะเบี้ยวหนี้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ? ยินดีเดิมพันย่อมต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ข้ายอมแพ้ เรื่องสัญญาค้างชำระไม่มีปัญหา ข้าจะไปเขียนให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” นางยกกระโปรงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องหนังสือ

“……” หนิวโหย่วเต้ามึนงง หันหน้าไป สายตามองตามนางที่วิ่งเหยาะๆ ไป

คนอื่นๆ เองก็หมุนตัวเดินตามเข้าไปในห้องหนังสือด้วย ก่อนจะเห็นเฮ่าชิงชิงกำลังฝนหมึกอย่างรวดเร็ว จากนั้นดึงกระดาษออกมา เขียนสัญญาค้างชำระฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว สะบัดกระดาษพร้อมเป่าเล็กน้อย เดินมาหยุดตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า ยื่นสัญญาค้างชำระให้ ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยไปว่า “รับไปสิ!”

ลายมือนับว่าไม่เลวทีเดียว แต่หนิวโหย่วเต้าที่ได้อ่านสัญญาค้างชำระแล้วใบหน้ากลับยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย “สองล้านอย่างนั้นหรือ? เจ้าแพ้เดิมพันแค่ตาเดียว เหตุใดจึงกลายเป็นว่าค้างชำระสองล้านไปได้ล่ะ?”

เฮ่าชิงชิงโบกมือเอ่ยตอบอย่างสบายๆ ว่า “ดูจากที่เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งแล้ว คาดว่าเดิมพันต่อไปข้าก็คงแพ้เช่นกัน ก็เขียนทีเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเขียนซ้ำสองครั้ง”

“….” หนิวโหย่วเต้าพูดอะไรไม่ออก อ่านสัญญาค้างชำระในมืออีกครั้งว่ามีปัญหาหรือไม่ ไม่อยากตกม้าตายเพราะถูกสาวน้อยคนหนึ่งหลอกเอาได้

เผยเหนียงจื่อกลับก้าวอาดๆ เข้ามาประชิดตัวหนิวโหย่วเต้าอย่างรวดเร็ว มองดูสัญญาค้างชำระที่อยู่ในมือเขา พบว่าเป็นสัญญาค้างชำระที่ระบุชื่อแซ่จริงเอาไว้ ไม่มีเท็จเลยแม้แต่ตัวเดียว สีหน้าพลันคร่ำเคร่งลงทันที จ้องมองเฮ่าชิงชิงด้วยแววตาโมโห

แม้จะกล่าวกันว่าความมั่งคั่งในใต้หล้าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเพียร แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าของที่จำเป็นต้องซื้อขายกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรมีราคาสูง สมุนไพรวิญญาณต้นหนึ่งไม่มีทางที่จะมีราคาเท่ากับผักกาดขาวต้นหนึ่งได้ การที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลหมุนเวียนจึงเป็นเรื่องปกติ แต่อันที่จริงแล้วค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่แท้จริงของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรนั้นแทบจะไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเลย

ยกตัวอย่างเช่น เงินหนึ่งเหรียญทองเพียงพอให้ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งอยู่ได้สบายๆ ไปครึ่งปี

เงินสองล้านเหรียญทองเทียบเท่ากับภาษีทั้งปีของมหานครแห่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมหานครที่มั่งคั่งอีกด้วย

และสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว หากไม่นับเรื่องเวลาและปัจจัยอื่นๆ ล่ะก็ ทรัพยากรสำหรับบำเพ็ญเพียรที่เงินสองล้านเหรียญทองสามารถซื้อได้นั้นเพียงพอให้ใช้บ่มเพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองออกมาได้สิบคนเลยทีเดียว

ดังนั้นนี่จึงเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจนำออกมาใช้จ่ายตามใจชอบได้ง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูผู้นี้กลับทำเหมือนเล่นขายของไปเสียได้ แล้วจะไม่ให้นางโมโหได้อย่างไร!

และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าเหตุใดการที่หนิวโหย่วเต้าปาตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาโดยไม่คิดอะไรตอนอยู่ที่จุดพักม้าถึงสามารถข่มขวัญพวกเขาได้

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองสีหน้าของเผยเหนียงจื่อ จากนั้นยื่นสัญญาค้างชำระให้นาง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสัญญาค้างชำระนี้ใช้ขึ้นเงินได้จริงหรือไม่ การเดิมพันยังไม่จบ เรื่องสัญญาค้างชำระไว้ว่ากันทีหลังเถอะ”

เฮ่าชิงชิงตะโกนขึ้นมาทันที “ข้าไม่หลอกเจ้าหรอกน่า เจ้าไปที่เมืองหลวงแคว้นฉี…”

“หุบปาก! หากกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะคุมตัวท่านกลับไปทันที!” เผยเหนียงจื่อตวาดตัดบท พับสัญญาค้างชำระแล้วเก็บไว้

เฮ่าชิงชิงมุ่ยปาก พอได้ยินว่าจะคุมตัวนางกลับไปก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว

ในเวลานี้ เฮยหมู่ตานที่ไปดูห้องของตนมาแล้วเดินเข้ามา มองเห็นคนทั้งกลุ่มอยู่ในห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่

หนิวโหย่วเต้าเดินออกมาจากห้องหนังสือ เอ่ยกับนางว่า “คนที่เจอกันที่โถงโรงเตี๊ยมผู้นั้น เจ้าไปตามเขามา” เขาหมายถึงหยวนกัง

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเขาใช้ชื่อแซ่จริงลงทะเบียนไว้หรือไม่”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายของนาง นางคิดจะไปสอบถามที่โต๊ะเก็บเงินว่าหยวนกังพักอยู่ห้องไหน จึงส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น เขาจะทำให้เจ้าหาตัวพบแน่ เจ้าไปเดินวนรอบโรงเตี๊ยมสักรอบก็จะเจอเขาเอง”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ หันหลังเดินออกไปทันที

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปผายมือไปทางพวกเผยเหนียงจื่อ คล้ายกำลังถามว่า มีธุระอื่นอีกหรือไม่?

ทั้งกลุ่มขอตัวออกจากห้องไป

เมื่อออกจากห้องไป เฮ่าชิงชิงก็ปักหลังอยู่ในโถงด้านนอก ไม่ยอมกลับไปยังห้องของตัวเอง นั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เอ่ยด้วยท่าทางคล้ายจะอารมณ์เสีย “น่าหงุดหงิดจริงๆ ขอข้าอยู่เงียบๆ คนเดียวหน่อย”

“อยู่เฝ้าคุณหนูไว้คนหนึ่ง อย่าปล่อยให้คุณหนูเที่ยววิ่งเพ่นพ่าน!” เผยเหนียงจื่อเองก็คล้ายจะยังไม่คลายโทสะเช่นกัน หลังสั่งกำชับเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป นางกับเฮ่าชิงชิงพักอยู่ห้องเดียวกัน

หลิวเฟิงไห่ก็กลับห้องไปเช่นกัน ไฉเฟยที่เหลืออยู่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล คอยเฝ้าเฮ่าชิงชิงเอาไว้

หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป มีเสียงฝีเท้าแว่วขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง เฮยหมู่ตานกลับมาแล้ว หยวนกังและเว่ยตัวก็ทยอยโผล่หน้าออกมาเช่นกัน

เฮ่าชิงชิงรีบลุกขึ้นมา เร่งเดินเข้าไปหา พยักหน้าส่งยิ้มให้เฮยหมู่ตาน จากนั้นส่งยิ้มสดใสปานฤดูใบไม้ผลิให้หยวนกัง “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันที่โถงโรงเตี๊ยมแล้ว”

หยวนกังกวาดตามองอย่างเย็นชา ไม่ได้ส่งเสียงตอบแม้แต่น้อย ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนางเลย ก้าวอาดๆ ต่อไป

เฮ่าชิงชิงที่ถูกเมินมองดูหยวนกังเดินเข้าไปในห้องของหนิวโหย่วเต้า เบะปากพร้อมแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง แต่ก็มิได้จากไปไหน หากแต่ยกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูห้องหนิวโหย่วเต้า

ไฉเฟยที่อยู่ไม่ไกลจ้องมองมาทางนี้ ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้กำลังทำอะไรอยู่

ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดตามองออกไปด้านนอก ขณะที่เฮยหมู่ตานกำลังจะรายงานว่าพาคนมาแล้ว หยวนกังที่เดินเข้ามาในห้องก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะ จ้องมองภูเขาหิมะที่อยู่ไกลออกไป ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่ควรมาเลย”

หยวนกังไม่พูดอะไร

หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา สายตามองผ่านหยวนกังไปที่เว่ยตัว คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “ให้เขาไสหัวไป!”

หยวนกังหันไปเอ่ยกับเว่ยตัว “เจ้าออกไปก่อน!”

เว่ยตัวก้มหน้าเดินออกไป

ขณะที่เฮยหมู่ตานกำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับเต้าเหยี่ยอย่างไรกันแน่ ใครจะไปรู้ว่าสายตาของหยวนกังจะหันมองมาที่นางด้วย พร้อมเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “เจ้าก็ออกไปด้วย!”

“….” เฮยหมู่ตานผงะไป อยากถามเขายิ่งนักว่าเจ้าเป็นใครกัน? มีสิทธิ์อะไรมาไล่ข้าออกไป?

ทว่านางยังไม่ทันดึงสติกลับมาได้ หนิวโหย่วเต้าก็พยักหน้าให้นางแล้วเอ่ยว่า “ออกไปเถอะ”

เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก ทำได้เพียงหันหลังเดินออกไป ก่อนจะก้าวพ้นประตูออกไปก็ได้หันมองคนทั้งสองที่อยู่ในห้องอีกครั้ง จากนั้นปิดประตู พอหันหน้ากลับไปก็เห็นเว่ยตัว แล้วก็มองเห็นเฮ่าชิงชิงที่เดินลอยชายไปมาอยู่ตรงหน้า

เว่ยตัวก้มหน้าไม่พูดไม่จา เฮ่าชิงชิงมีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับอยู่บนใบหน้า

ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “นายกับเจ้าติดอ่างคนนั้นมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง?”

หยวนกังตอบว่า “คนนี้ใช้ได้ มีความภักดีต่อคุณ คนแบบนี้หาได้ยาก!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ฉันไม่สนว่าเขาจะใช้ได้หรือไม่ เขาเป็นคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ให้เขาไสหัวไปซะ!”

หยวนกังเอ่ยว่า “ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เขายอมรับแค่คุณ ทั่วทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่ยึดตามกฎของสำนักคอยช่วยพูดแทนคุณมาตลอด”

หนิวโหย่วเต้าถาม “เขาพูดนายก็เชื่อแล้วเหรอ?”

หยวนกังกล่าวว่า “เขาเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้าตะลึงไปเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง? ระหว่างทางเจออุบัติเหตุ เขาเคยช่วยนายไว้?”

หยวนกังอธิบายว่า “เขาคุกเข่าอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ของหนิงอ๋องนานมาก คุกเข่าจนสิ้นใจอยู่ตรงหน้าประตู เกือบถูกทหารแบกไปฝังทั้งเป็นแล้ว ในช่วงเวลาสุดท้ายไป๋เหยาพบว่าเขายังมีชีพจรเต้นแผ่วๆ อยู่ เลยยื้อชีวิตเขากลับมาจากปรโลก หมดสติไปเป็นเวลานานกว่าจะฟื้นขึ้นมา นับว่าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปักหลักอยู่ที่มณฑลเป่ยโจวแล้ว ให้เขากลับไปซะ ติดตามพวกเราไปไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี ฉันเองก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก”

หยวนกังกล่าวว่า “เป็นเขาที่เสนอตัวมาลำบากเอง ผมขาดคนอยู่ ผมจะเอาคนนี้”

หนิวโหย่วเต้าถลึงตาใส่ “เหลวไหล!”

หยวนกังตอบสั้นๆ “ตกลงตามนี้”

หนิวโหย่วเต้ายกมือชี้หน้าเขาอย่างดุดัน ยกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องด้วยความโมโห

หยวนกังเห็นน้ำชาที่อยู่ด้านข้างเดือดแล้ว จึงเทใส่ถ้วยชา เดินเข้าไปหาเขาแล้วยื่นให้

หนิวโหย่วเต้าสะบัดแขนเสื้อใส่ “นายไม่ต้องมาเล่นไม้นี้ แค่เห็นนายก็หงุดหงิดแล้ว ไม่ดื่ม!”

………………………………………