ตอนที่ 179 ข้าไม่คบสหาย

ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม หยวนกังเองก็ไม่ดึงดัน วางถ้วยชาลงข้างๆ มองสภาพภายในห้องพร้อมเอ่ยว่า “สภาพดีกว่าห้องที่ผมพักอีก ที่นี่ยังมีห้องว่างไหม?”

“ไม่มี!” หนิวโหย่วเต้าตะคอกใส่เขาด้วยความหงุดหงิด

หยวนกังหันหลังเดินไป เปิดประตูเดินออกมา เมินเฮ่าชิงชิงที่เดินเข้ามาหา กระดิกนิ้วเรียกเฮยหมู่ตาน

เฮยหมู่ตานค่อยๆ เดินเข้ามา เอ่ยถามว่า “มีอะไร?”

“จัดห้องพักให้ข้าหนึ่งห้อง!” หยวนกังเอ่ยสั่ง ก่อนจะหันไปเรียกเว่ยตัวแล้วเดินออกไป

“….” เฮยหมู่ตานทั้งโมโหทั้งขบขัน ไม่รู้เช่นกันว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ไม่รู้จักกันเลยสักนิด มาถึงก็เรียกใช้นางแล้ว

นางรับใช้เพียงหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น ไม่ยินดีรับใช้คนอื่น จึงเดินเข้าห้องไปเพื่อสอบถามหนิวโหย่วเต้าทันที

หลังจากหนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างได้ฟังก็รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไปแจ้งกับทางโรงเตี๊ยมหน่อยแล้วกัน ดูว่าจัดห้องเพิ่มให้อีกสักห้องได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ให้เขามาอยู่ห้องเดียวกับข้าแล้วกัน”

พักอยู่ห้องเดียวกับท่านอย่างนั้นหรือ? จากคำพูดประโยคนี้ เฮยหมู่ตานตระหนักได้แล้วว่าเจ้าคนที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเต้าเหยี่ย แม้แต่สตรีอย่างนางที่เคยเปิดอกคุยกับเขามาแล้วอยากจะนอนห้องเดียวกับเขา เขาก็ยังไม่ตอบตกลงเลย

สรุปคือนางหัวร่อต่อกระซิกกับเขาได้ แต่จะคิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้!

หยวนกังที่อยู่ด้านนอกกำลังจะพาเว่ยตัวลงไปด้านล่าง เฮ่าชิงชิงโผล่มาอีกครั้ง ตรงเข้าไปขวางทางลงบันไดเอาไว้ ในที่สุดก็บีบให้หยวนกังหยุดฝีเท้าลงได้

เฮ่าชิงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้ามีนามว่าเฮ่าชิงชิง เป็นสหายของเต้าเหยี่ย ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร?”

“หลีกไป!” หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา

เฮ่าชิงชิงเอ่ยว่า “ต่อไปทุกคนก็นับเป็นสหายกันแล้ว ต้องทำความรู้จักกันไว้บ้างสิ…”

คำว่า ‘สิ’ เพิ่งหลุดออกจากปาก หยวนกังก็ยื่นมือมาดันนางออกไป จากนั้นเดินตรงลงบันไดไป เว่ยตัวตามหลังลงไป

ไฉเฟยปราดเข้ามาทันที “คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ?”

เฮ่าชิงชิงชะโงกหน้ามองร่างที่ลงบันไดไปชั้นล่าง โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”

ไฉเฟยเอ่ยเตือน “คุณหนู พวกเราไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของเซวียนหยวนเต้าผู้นั้น อย่าไปทำให้เขาโมโหส่งเดชจะดีที่สุดขอรับ”

“ข้าจะไปทำให้เขาโมโหทำไม?” เฮ่าชิงชิงหันไปถาม จากนั้นชี้ไปที่ใต้บันได “ถ้าจะทำให้ใครโมโหก็คงเป็นคนเมื่อครู่นี้มากกว่า”

ไฉเฟยเอ่ยว่า “นี่ก็คือสิ่งที่ข้ากำลังจะสื่อถึง พวกเขาน่าจะพวกเดียวกันขอรับ”

เฮ่าชิงชิงถาม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเล่า?”

ไฉเฟยขมวดคิ้ว “คุณหนู ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ?”

เฮ่าชิงชิงเท้าแขนไปบนราวกั้น มองลงไปด้านล่าง “บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ช่างน่าดึงดูดนัก มองแล้วเจริญตาเป็นอย่างยิ่ง ข้าชอบ!”

ไฉเฟยยอมใจนางเลยจริงๆ เป็นสาวเป็นนาง กลับพูดจาเช่นนี้โดยไม่กระดาก จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนู ห้ามก่อเรื่องขอรับ”

เฮ่าชิงชิงมุ่ยปาก เอ่ยว่า “ชอบก็คือชอบ หรือว่าไม่ได้? ของที่ชอบก็ต้องคว้ามาให้ได้ มิเช่นนั้นหากถูกคนอื่นแย่งไปแล้วมานั่งเสียใจภายหลังมันก็สายไปแล้ว ต้องลองเข้าหาก่อน ดูว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร”

“…..” ไฉเฟยหมดคำพูด ถือเสียว่าคำพูดนี้ของนางเป็นการล้อเล่นไป เอ่ยกำชับไปว่า “คุณหนู ท่านออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ อย่าได้ก่อเรื่อง แล้วก็ห้ามวิ่งวุ่นวาย หากทำให้พี่เผยไม่พอใจขึ้นมา นางคุมตัวท่านกลับไปได้จริงๆ นะขอรับ” หลังจากเอ่ยเตือนแล้วก็หันหลังเดินออกไป กลับไปนั่งลงที่เดิม เฝ้านางต่อไป

จากนั้นไม่นานนัก เฮยหมู่ตานเดินขึ้นมาจากชั้นล่างพร้อมเสี่ยวเอ้อคนหนึ่ง เสี่ยวเอ้อเปิดห้องให้อีกห้อง

ในชั้นนี้มีห้องพักทั้งหมดเก้าห้อง ขณะนี้ไม่มีผู้อื่นเข้าพัก ทางเผยเหนียงจื่อได้ไปสองห้อง ทางหนิวโหย่วเต้าได้มาสี่ห้อง ยังเหลือห้องว่างอีกสามห้อง จัดให้หยวนกังอีกห้องย่อมไม่มีปัญหา

ส่วนหยวนกังและเว่ยตัวก็เดินกลับมาในเวลานี้เช่นเดียวกัน หอบเสื้อนวมและข้าวของจำพวกไม้กระดานมาด้วยจำนวนหนึ่ง เดินเข้าไปในห้องที่เฮยหมู่ตานชี้บอกห้องนั้น

หยวนกังที่วางข้าวของเสร็จเรียบร้อยหยิบป้ายห้องพักชั้นล่างที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมา โยนให้เสี่ยวเอ้อ บอกให้อีกฝ่ายไปจัดการคืนห้องพักชั้นล่างแทน

พอเสี่ยวเอ้อออกไปแล้ว เฮ่าชิงชิงก็เดินเข้ามา พอหยวนกังออกไป เฮ่าชิงชิงก็เดินตามออกไปด้วย

โครม! เฮ่าชิงชิงที่เดินตามอยู่ด้านหลังหยวนกังหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องของหนิวโหย่วเต้า ประตูที่ปิดลงอย่างกะทันหันเกือบจะกระแทกใส่หน้าของนาง ทำเอานางโมโหจนกระทืบเล็กน้อย

ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้ายังคงยกมือไพล่หลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปด้านนอก หยวนกังนั่งลงริมโต๊ะ เอ่ยถาม “ทำไมไม่เห็นเจ้าหมีเลย?”

“ฉันให้เขากลับไปแล้ว น่าจะกลับไปหาพวกซางเฉาจงแล้ว” หนิวโหย่วเต้าหมุนตัวกลับมา นั่งลงตรงข้ามเขา ยกชาที่เขารินไว้ให้ก่อนหน้านี้ถ้วยนั้นขึ้นมาดื่มเข้าไปช้าๆ

หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “ด้านนอกมีผู้หญิงที่ใส่ชุดสีชมพูอยู่คนหนึ่ง ดูไม่ค่อยปกติเท่าไร”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ทำไม นายมองเห็นปัญหาอะไร?”

หยวนกังตอบสั้นๆ “เซ้าซี้น่ารำคาญ”

“เซ้าซี้น่ารำคาญ?” หนิวโหย่วเต้างุนงงไปเล็กน้อย ถ้าบอกว่าพูดจาไม่ค่อยน่าฟังน่ะใช่ แต่เซ้าซี้น่ารำคาญอย่างนั้นหรือ?

หยวนกังถามต่อ “นางเป็นใคร?”

“น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา…” กับเขาแล้วไม่มีอะไรที่เล่าไม่ได้ หนิวโหย่วเต้าเล่าเหตุการณ์ตอนพบกันที่จุดพักม้าจนถึงตอนนี้ออกมาคร่าวๆ

หยวนกังกล่าวว่า “แบบนี้แสดงว่าอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นฉี?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ทั่วไปด้วย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นระดับองค์หญิง”

หยวนกังถาม “แล้วผู้หญิงที่ติดตามคุณคนนั้นไว้ใจได้ไหม?”

“เป็นผู้บำเพ็ญไร้สำนักที่รู้จักกันในเมืองไจซิง…” หนิวโหย่วเต้าเล่าเรื่องตอนรู้จักพวกเฮยหมู่ตานออกมา แล้วก็เล่าเรื่องที่พบเจอระหว่างทางด้วย ในเมื่อหยวนกังมาแล้ว ถ้าให้หยวนกังเข้าใจในสถานการณ์บางอย่างไว้ มันจะทำให้หยวนกังเตรียมป้องกันอันตรายได้สะดวกขึ้น แล้วก็บอกเล่าแผนการบางอย่างออกไปด้วย

ทั้งสองไม่เคยมีความลับต่อกัน

หยวนกังที่ฟังจบตกอยู่ในห้วงความคิด หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ จิบชา เอ่ยถามว่า “ไห่หรูเยวี่ยปล่อยนายมาเหรอ?”

หยวนกังตอบว่า “ทำดินปืนไว้นิดหน่อย เลยระเบิดเรือนสุคนธา แล้วก็ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหนีออกมา”

ระเบิดเรือนสุคนธาอย่างนั้นเหรอ? ใบหน้าของหนิวโหย่วเต้ากระตุกเล็กน้อย พูดอะไรไม่ออก ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าระเบิดเรือนสุคนธา เช่นนั้นก็ย่อมไม่ใช่แค่การจุดประทัดแน่นอน แล้วก็ไม่รู้เช่นกันว่าใช้ดินปืนไปมากน้อยเท่าไร เขายากจะจินตนาการถึงความแตกตื่นของมหานครจินโจวได้

“ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะพบคุณในวันพรุ่งนี้”

เมื่อเข้าใจในเรื่องราวบางอย่างแล้ว เขาก็รู้แล้วว่าเต้าเหยี่ยมีหนทางจัดการเรื่องที่ตนกังวลใจแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดในดวงตาของหยวนกังจึงผ่อนคลายลง

“คงมาในวันสองวันนี้แหละ” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย

หลังจากทั้งสองพูดคุยความลับกันอยู่พักหนึ่ง หยวนกังก็ออกมา ผลคือถูกเฮ่าชิงชิงขวางทางไว้อีกครั้ง

เฮยหมู่ตานที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านนอกมองดูภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความมึนงง

ไฉเฟยเองก็ลุกขึ้นแล้วปราดเข้ามาทันที ก่อนหน้านี้หยวนกังปฏิบัติต่อเฮ่าชิงชิงโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ ผลักเฮ่าชิงชิงออกไปด้านข้าง ไฉเฟยกังวลว่าหยวนกังจะลงมือรุนแรงกับเฮ่าชิงชิง

หนึ่งหญิงหนึ่งชายยืนประจันหน้ากัน ฝ่ายชายรูปร่างสูงใหญ่ หญิงสาวต้องเงยหน้ามองเขา

หยวนกังหลุบตามองนาง ใบหน้าเรียบเฉย ท่าทีเย็นชา

เฮ่าชิงชิงเงยหน้ามองเขา ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง สบตากับอีกฝ่าย ไม่มีการหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย

หยวนกังถาม “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ยอมคุยกับตนอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว เฮ่าชิงชิงจึงยิ้มออกมา ประสานมือกล่าวไปว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากผูกมิตรเป็นสหายด้วย”

หยวนกังตอบอย่างเฉยชา “ข้าไม่เคยคบสหาย!”

นี่กลับมิใช่คำโป้ปด สำหรับเขาแล้ว คำว่า ‘สหาย’ นั้นเป็นทั้งเครื่องประดับตกแต่งที่ไร้ประโยชน์ แล้วก็เต็มไปด้วยความเสแสร้ง เขาไม่ต้องการของตกแต่งเช่นนี้ และไม่ต้องการความเสแสร้งพรรค์นี้

เขาเป็นคนที่ไม่มีสหาย มีเพียงพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย!

อีกทั้งในชาติก่อน เขาเองก็เคยเห็นเต้าเหยี่ยคบค้ามิตรสหายมามากมาย ประเภทไหนล้วนมีหมด ยุ่งเหยิงรุงรัง เจ้าปลิ้นปล้อนข้าเสแสร้ง เต้าเหยี่ยเป็นคนที่ชอบคบค้าสหาย แต่เขาไม่ชอบ เขาไม่มีมนุษย์สัมพันธ์แบบเต้าเหยี่ย แล้วก็ไม่คุ้นชินกับคำพูดตามมารยาทที่ดูเปลือกปลอมแบบนั้น

ดังนั้นเรื่องการคบค้าสหายยกให้เต้าเหยี่ยจัดการไปดีกว่า

“เอ๋…” เฮ่าชิงชิงเอ่ยด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ “คนเราจะไม่คบสหายได้อย่างไร?”

หยวนกังชี้ไปทางประตูที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยว่า “คนที่อยู่ในห้องชอบคบค้าสหาย ถ้าอยากผูกมิตรก็ไปหาเขา”

เฮยหมู่ตานพยายามกลั้นหัวเราะ นางเห็นด้วยกับคำพูดนี้ เต้าเหยี่ยคล้ายว่าไปไหนก็ล้วนแต่พูดเรื่องคบค้าสหายจริงๆ

เฮ่าชิงชิงเอ่ยว่า “ข้าเป็นสหายกับเขาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”

“หยวนกัง!” หยวนกังบอกชื่อไป จากนั้นถามว่า “ยังมีธุระอีกหรือไม่? ถ้าไม่มีก็หลีกไป”

เจอคนแบบนี้เข้า เฮ่าชิงชิงเองก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน กระทั่งคำพูดตามมารยาทก็ไม่มี เอ่ยตรงๆ ว่าไม่คบสหาย แล้วแบบนี้นางยังจะพูดอะไรได้ล่ะ?

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย จู่ๆ นางพลันรวบรวมความกล้าเอ่ยไปว่า “หยวนกัง ข้าชอบเจ้า!”

แม้ว่าจะเชิดคางด้วยท่าทางที่ดูเย่อหยิ่ง แต่พอเอ่ยออกไปแล้ว สองแก้มยังคงแดงเรื่อร้อนผ่าวอยู่บ้าง

“……” ไฉเฟยพูดไม่ออก เกือบจะตะโกนเรียกบรรพบุรุษของนาง

“…..” เฮยหมู่ตานตกตะลึง

หยวนกังเอ่ยสั้นๆ “อย่างนั้นหรือ?”

เฮ่าชิงชิงสองมือไพล่หลัง ยืดอกเชิดหน้า เอ่ยอย่างทระนง “ทำไม ไม่ได้หรือ?”

หยวนกังกล่าวว่า “ได้ แล้วเจ้าจะพิสูจน์ให้เห็นอย่างไรว่าเจ้าชอบข้า?”

เฮ่าชิงชิงเอ่ยไปว่า “เจ้าอยากให้ข้าพิสูจน์อย่างไรล่ะ?”

หยวนกังตอบว่า “มาที่ห้องข้า หลับนอนกับข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

พวงแก้มเฮ่าชิงชิงร้อนผ่าวขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าหยวนกังจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ ดุดันกว่านางมากนัก ความมั่นใจที่ฝืนแสดงออกมาเมื่อครู่ก็หายวับไปในชั่วพริบตาด้วยเช่นกัน เอ่ยอย่างขวยเขินว่า “จะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ? พวกเรายังไม่คุ้นเคยกัน…”

คำพูดยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกไฉเฟยลากตัวออกมา ดึงไปไว้ด้านหลัง ไฉเฟยจ้องมองหยวนกังพลางตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “บังอาจ!”

ด้วยเสียงตวาดนี้ ทำให้คนทั้งหมดที่พักอยู่ในชั้นนี้พากันโผล่หน้าออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” หนิวโหย่วเต้าเปิดประตูออกมาเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร!” หยวนกังหันไปตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นไม่สนใจคนอื่นอีก สาวเท้าเดินจากไป เดินไปที่ประตูห้องของตน ดันเว่ยตัวกลับเข้าห้องพักไปพร้อมกัน

เฮยหมู่ตานที่ตกตะลึงเป็นอย่างมากเรียกได้ว่ายืนตาค้างมองตามอย่างทึมทื่อ

นางพบว่าคนประเภทเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกันจริงๆ ด้วย ในสายตานางเต้าเหยี่ยนับเป็นคนประหลาดคนหนึ่ง ยามนี้ได้เจอคนที่อาการหนักกว่าเขาเข้าเสียแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเผยเหนียงจื่อเข้ามาสอบถาม

ไฉเฟยปล่อยมือจากแขนเฮ่าชิงชิง ชี้เฮ่าชิงชิงที่ใบหน้าแดงก่ำพร้อมเอ่ยว่า “ท่านถามคุณหนูเองเถอะ! พี่เผย ข้าว่ารีบกลับกันเถอะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวแน่!” กล่าวจบก็สะบัดหน้าจากไป

ดูจากท่าทางของไฉเฟยแล้ว เห็นได้ชัดถูกคุณหนูใหญ่ผู้นี้ทำให้โมโหเข้าเสียแล้ว เผยเหนียงจื่อคว้าแขนเฮ่าชิงชิงแล้วลากตัวออกไป ไปหาไฉเฟยเพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ส่วนทางด้านนี้ พวกเหลยจงคังทั้งสามเองก็ล้อมวงเข้ามา สอบถามเฮยหมู่ตานว่าเกิดอะไรขึ้น

เฮยหมู่ตานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก บอกเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ออกมา

พวกเหลยจงคังสบตามองหน้ากัน

หลงนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่แท้ก็แค่นี้เองอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าแสยะยิ้มเล็กน้อย หันหลังกลับเข้าห้องไป

เขาไม่รู้ว่าการสารภาพรักของเฮ่าชิงชิงเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่จากที่ได้สัมผัสระหว่างเดินทางมาด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นคล้ายจะเป็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งคนหนึ่ง ชอบหรือเกลียดก็ล้วนแสดงออกมาไม่ปิดบัง เผลอๆ อาจจะเป็นหญิงสาวที่กล้ารักกล้าเกลียดกล้าสารภาพรักจริงๆ ก็ได้!

แต่หยวนกังเป็นคนแบบไหน เขากลับทราบกระจ่างดี

หยวนกังในชาติก่อนรูปร่างผอมแห้ง ไม่ทำตัวโดดเด่น ไม่เปิดเผยความสามารถของตัวเอง ซ้ำยังไม่อวดรวย อีกทั้งไม่ชอบพูดจาหวานๆ แล้วก็ยิ่งไม่มีคารมวาทศิลป์ด้วย ไม่มีความน่าเสน่หา เย็นชาเฉยเมย กิริยาท่าทางแข็งกระด้างง แล้วจะมีผู้หญิงมาชอบคนแบบนี้ได้อย่างไร?

…………………………………………….