ตอนที่ 180 ผิดจารีต

แต่แน่นอน ก็มีสาวสวยมา ‘ชอบ’ เจ้าลิงอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ความ ‘ชอบ’ นี้ค่อนข้างฝืนใจอยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นเพราะรู้ข้อมูลรายละเอียดของเจ้าลิง จึง ‘ชอบ’ ด้วยเพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ไม่ใช่การชอบโดยบริสุทธิ์ใจ

แล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าลิงจะไม่ชอบสาวสวยเช่นกัน ของสวยงามใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น มองแล้วก็เพลินตาดีมิใช่หรือ

ในชาติก่อน ด้วยทรัพย์สินและความสามารถของเจ้าลิง มีหรือที่เขาจะขาดแคลนสาวสวย? มีสาวงามแวะเวียนมามากหน้าหลายตา เพียงแต่ด้วยนิสัยของเจ้าลิงที่ไม่มีทางยอมรับในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เขาจึงไม่มีทางชอบพอผู้หญิงเพียงเพราะหน้าตาสะสวย

พอพบเจอมากเข้า เจ้าลิงก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกต่อต้านสาวงามที่เป็นฝ่ายประเคนตัวเข้าหาเขาก่อน

หากว่ากันในมุมหนึ่งแล้ว เจ้าลิงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่เหมือนตัวเขาที่สบจังหวะก็ไหลตามน้ำไปได้ตลอดเวลา

เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เจ้าลิงมิใช่ว่าไม่เคยมีประสบการณ์ แล้วก็มิใช่ว่าไม่เคยลิ้มลองรสชาติเรื่องพวกนั้น แต่สุดท้ายแล้วนิสัยของเจ้าลิงยังคงหวนคืนสู่นิสัยที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีผู้หญิงแบบที่ชอบ เพียงแต่ผู้หญิงที่เขาชื่นชอบมักจะทำให้หนิวโหย่วเต้าต้องกุมหัวอยู่เสมอ

เจ้าลิงชอบผู้หญิงที่ใสซื่อเรียบง่าย ลักษณะนิสัยคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ประเด็นสำคัญคือเจ้าลิงชอบผู้หญิงแนวสาวชนบท ประเภทที่เอาการเอางาน ยกจอบจับเสียมทำไร่ไถนา กลับถึงบ้านก็ทำกับข้าวได้ หนักเอาเบาสู้ หน้าตาจะสะสวยหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงไม่น่าเกลียดจนชวนให้คนตกใจแบบซางซูชิงก็พอ

เจ้าลิงบอกว่าอาชีพอย่างพวกเรานี้ รับประกันไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นวันไหน เผลอๆ อาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ดังนั้นการหาผู้หญิงที่ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ย่อมต้องดีกว่า

เอาเถอะ! หนิวโหย่วเต้ายอมรับว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง เพียงแต่รู้สึกว่ามาตรฐานของเจ้าหมอนี่สูงไปหน่อย ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าไร

ในมุมมองของหนิวโหย่วเต้า เขาคิดว่าผู้หญิงประเภทนั้นหายากยิ่งกว่าโฉมสะคราญที่งามเลิศเสียอีก

แต่จะบอกว่าหายากก็ไม่ได้เช่นกัน เรื่องราวต่างๆ มากมายล้วนแต่มีความสัมพันธ์กันอยู่ นับแต่โบราณมา ในบรรดาผู้ที่ออกบวชบำเพ็ญทุกขกริยามีผู้หญิงอยู่สักกี่คนกัน? ธรรมชาติของผู้หญิงต้องการความรู้สึกปลอดภัย มีผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะที่ไม่แสวงหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม? ผู้หญิงประเภทนั้น ถ้าหาผู้ชายที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบเดียวกันก็ยังอาจจะใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปได้ แต่ถ้ามาเจอผู้ชายแบบเจ้าลิง เมื่อได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ขาดแคลนอะไร สักวันย่อมต้องเปลี่ยนไปอยู่ดี ย่อมต้องตามหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เว้นเสียแต่เจ้าจะตัดขาดจากโลกภายนอกได้

มาตรว่าจะเป็นสาวงาม แต่ถ้าทุกคนพากันบอกว่าเธอน่าเกลียด เธอก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาทำตัวติดดิน ต่อให้เป็นผู้หญิงขี้เหร่ แต่ถ้าทุกคนพากันยกยอปอปั้น สุดท้ายก็จะหลงระเริงและไม่ฟังใคร

แต่ถึงเขาจะอธิบายหลักเหตุผลนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าลิงมีแนวคิดความแน่วแน่เป็นของตัวเอง เฝ้าตามหาผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบทนลำบากทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเหมือนอย่างแม่ของเขามาโดยตลอด

หลังรู้ว่าจู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่ ‘ขาวสวยรวย’ แบบเฮ่าชิงชิงมาสารภาพรักกับเจ้าลิง หนิวโหย่วเต้าจะไม่รู้สึกยินดีได้หรือ?

พวกเฮยหมู่ตานตามเข้ามาในห้อง พบว่าหนิวโหย่วเต้านั่งยิ้มซื่อบื้ออยู่บนเก้าอี้ เฮยหมู่ตานจึงอดถามไม่ได้ “เต้าเหยี่ย หยวนกังผู้นี้เป็นสหายของท่านหรือเจ้าคะ?”

“เป็นพี่น้อง!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยตอบ

เว่ยตัวที่กลับเข้าไปในห้องมองดูหยวนกังอย่างกระวนกระวายใจ

หยวนกังที่กำลังรื้อค้นตรวจสอบภายในห้องหันหน้ากลับมา นิ่งไปทันที มองดูเขา เข้าใจว่าเขากำลังกังวลอะไรอยู่ คงกังวลว่าเต้าเหยี่ยจะไม่ยอมรับเขา กังวลว่าจะไล่เขาไป

แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเต้าเหยี่ยค่อนข้างใจร้ายกับเว่ยตัวผู้นี้จริงๆ!

แต่หยวนกังเข้าใจดี เต้าเหยี่ยเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็น จนบางครั้งดูคล้ายเลือดเย็นไร้ความปราณี เต้าเหยี่ยไม่อยากมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกต่อไป ดังนั้นการตนเลือกจะเก็บเว่ยตัวไว้ ในอีกมุมหนึ่งแล้วก็นับว่าเป็นการทิ้งปัญหาไว้ให้เต้าเหยี่ย

และนี่ก็เพราะเป็นตนเอ่ยปาก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เต้าเหยี่ยไม่มีทางยอมตกลงเด็ดขาด

หยวนกังเอ่ยปลอบใจว่า “วางใจเถอะ เต้าเหยี่ยไม่มีทางไล่เจ้าอีกแล้ว”

เว่ยตัวพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ขอบ…ขอบคุณ!”

หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “ลืมบอกเจ้าไปเลย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปักหลักอยู่ที่มณฑลเป่ยโจวแล้ว เจ้าจะกลับไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือเปล่า?”

เว่ยตัวส่ายศีรษะ “เจ้าสำนักอยู่…อยู่ไหน…ที่…ที่นั่น…ก็คือ…สำนักสวรรค์พิสุทธิ์…ข้าจะ…ติดตาม…เจ้า…เจ้าสำนัก…ไม่ไปไหน!”

ดวงตาหยวนกังทอแววชื่นชมออกมา ความจริงเขารู้สึกชื่นชมเว่ยตัวเป็นอย่างมาก คนที่ทำให้เขาชื่นชมได้มีอยู่ไม่มาก เว่ยตัวนับเป็นหนึ่งในนั้น “ดี! เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ เจ้านับถือเขาเป็นเจ้าสำนักมันก็เรื่องหนึ่ง แต่เขาจะยอมรับหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คำว่า ‘เจ้าสำนัก’ เก็บไว้ในใจได้ แต่อย่าได้พูดออกมา เขาไม่ชอบคำเรียกนี้ ต่อไปเจ้าเรียกเขาว่า ‘เต้าเหยี่ย’ แล้วกัน”

“ได้…” เว่ยตัวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง!”

“ไม่มีอะไรแล้ว” หยวนกังตบไหล่เขา สื่อว่าให้เขาสบายใจได้

เว่ยตัวถอนใจออกมายาวๆ เสมือนยกภูเขาออกจากอก …..

ในห้องพักอีกห้องหนึ่ง หลังจากฟังไฉเฟยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจบแล้ว สีหน้าเผยเหนียงจื่อพลันคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที จ้องมองเฮ่าชิงชิงพร้อมกัดฟันเอ่ยว่า “คุณหนู ทำไมทำตัวแบบนี้ล่ะเจ้าคะ ท่านยังเป็นดรุณีแรกแย้มคนหนึ่ง ไปพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้กับบุรุษโดยไม่สะทกสะท้านได้อย่างไรเจ้าคะ?”

เฮ่าชิงชิงมุ่ยปากเอ่ยไปว่า “ข้าจะรักชอบผู้ใด จะชิงชังผู้ใดแล้วมันทำไม? เหตุใดต้องปกปิดความชื่นชอบและเกลียดชังด้วยล่ะ? หากเจอคนที่เกลียดข้าก็จะด่าออกมา หากเจอคนที่ชอบข้าก็บอกไปตรงๆ ไฉนถึงกลายเป็นเรื่องหน้าไม่อายไปได้เล่า? ข้าถูกใจเขา ข้าชอบเขา เจ้าจะทำไม?”

เผยเหนียงจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “เพิ่งได้พบหน้ากัน อีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนก็ยังไม่รู้ ท่านกลับกล้าบอกว่าชอบแล้ว มีความชอบแบบไม่ใช้สมองแบบนี้ที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ?”

เฮ่าชิงชิงกล่าวว่า “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับจำนวนครั้งที่พบหน้ากันด้วยหรือ? คนที่ทางบ้านแนะนำให้เหล่านั้น ข้าพบหน้าอยู่หลายครั้งก็ยังไม่เห็นถูกใจเลย แต่หยวนกังคนนี้เพียงแค่ได้เห็นหน้าข้าก็รู้สึกถูกใจแล้ว ข้าเองก็รู้สึกแปลกเช่นกัน แล้วข้ายังจะทำอันใดได้อีกล่ะ? อีกอย่าง ข้าเคยเห็นคนใจสกปรกเจ้าเล่ห์ในวังหลวงมามากมาย หยวนกังคนนี้น่าจะไม่ใช่คนเลว เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายชาตรี เต็มไปด้วยความองอาจผ่าเผย ไม่มีทางเสแสร้งแกล้งทำได้ เขาไม่ใช่คนเลวแน่!”

เผยเหนียงจื่อเอ่ยว่า “ท่านยังไม่รู้จักเขาเลยสักนิดก็กล้าพูดจาเช่นนี้แล้ว หากอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้วล่ะเจ้าคะ?”

เฮ่าชิงชิงสะบัดหน้าใส่ “มีแล้วจะทำไม หากชอบก็ต้องแย่งมา ไยต้องทำให้ตนเองคับข้องหมองใจด้วย เรื่องสำคัญที่สุดในที่ชีวิตก็ต้องหาที่ตัวเองพอใจ!”

ไฉเฟยและหลิวเฟิงไห่หน้าดำคร่ำเคร่ง หากเป็นบุรุษพูดจาเช่นนี้ พวกเขายังพอรับได้ ทว่าการที่สตรีมาพูดจาเช่นนี้อย่างโจ่งแจ้ง มันเรียกได้ว่าเป็นการผิดจารีตอย่างร้ายแรง พวกเขาเคยเห็นคนหน้าไม่อายมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

“ท่าน…” เผยเหนียงจื่อชี้นิ้วใส่นาง โมโหจนหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “ดูจากท่าทางของท่านแล้ว หรือว่าคิดจะย่องเข้าห้องของเขาจริงๆ?”

เฮ่าชิงชิงยกมือไพล่หลัง แค่นหัวเราะหึหึพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าต้องคิดดูก่อน แต่ทำไมถึงต้องคิดว่าเป็นข้าที่เสียเปรียบด้วยเล่า ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ใครกันแน่”

สำหรับทั้งสามคนแล้ว วาจานี้ประหนึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงมา ฉีกกระชากแนวคิดด้านศีลธรรมของทั้งสามคนลงอย่างสิ้นเชิง ร่างกายของทั้งสามคนถูกสายฟ้าฟาดใส่จนไหม้เกรียม พบว่าคุณหนูผู้นี้ช่างกล้าเอ่ยออกมาจริงๆ!

เผยเหนียงจื่อโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ยกสองมือปิดหน้า ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ รู้สึกอยากจะบ้าตาย

ในตอนที่ลดมือลง จู่ๆ นางพลันลงมืออย่างกะทันหัน สกัดจุดเฮ่าชิงชิงจนยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ จากนั้นหันกลับไปเอ่ยกับไฉเฟยและหลิวเฟิงไห่ว่า “ถ้าขืนยังปล่อยไว้เช่นนี้จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็แบกรับความรับผิดชอบนั้นไม่ไหว กลับเถอะ! รีบติดต่อทางตระกูลให้ส่งคนมารับทันที!”

“ขอรับ!” ไฉเฟยและหลิวเฟิงไห่พยักหน้าตอบรับ จากนั้นหลิวเฟิ่งไห่รีบเดินออกไป

ดวงตาของเฮ่าชิงชิงกลอกกลิ้งไปมา ท่าทางคล้ายร้อนใจ

…..

บนภูเขาหิมะ คนจำนวนสองร้อยกว่าคนเหินร่อนลงบนยอดเขา สวมเสื้อผ้าสีเดียวกัน ทั้งหมดเป็นศิษย์ของสำนักเซียนสถิต ผู้นำคือชายขราแขนขาดผู้หนึ่ง เป็นอูเซ่าฮวนผู้อาวุโสแห่งสำนักเซียนสถิต สองฝั่งซ้ายขวายังมีผู้อาวุโสยืนอยู่อีกสองคน

เพื่อจัดการหนิวโหย่วเต้าแล้ว สำนักเซียนสถิตได้ส่งผู้อาวุโสมาสามคน แล้วก็ยังมีศิษย์อีกสองร้อยกว่าคนด้วย ไม่ใช่ขบวนทัพเล็กๆ เลย

เกาซู่ชงและชุยหย่วนจากทางเมืองไจซิงก็อยู่ในขบวนนี้ด้วย

เวลานี้ร้านค้าที่อยู่ในเมืองไจซิงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแล้ว พวกเขาถูกเรียกตัวกลับไปสำนักเซียนสถิตแล้ว หลังกลับไปถึงสำนักแล้วจะมีผลลัพธ์ตามมาอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็คงจะรู้ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าหนีรอดไปได้เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่ทำให้สำนักเซียนสถิตได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมหาศาลด้วย เสียหายไปเกือบล้านเหรียญทอง! ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงสามารถหาเงินจำนวนนี้กลับคืนมาได้?

เสียหายอย่างหนัก!

แล้วก็สืบพบแล้วว่าใครเป็นผู้ปล้นร้านค้าไป มีคนในเมืองไจซิงเห็นพวกเฮยหมู่ตานขนของออกมาจากร้านค้าของสำนักเซียนสถิตในคืนนั้น แล้วก็มีคนเห็นพวกเขาไปเยือนร้านค้าอื่นๆ อาทิร้านค้าของสำนักวิญญาณ์ด้วย เห็นได้ชัดว่านำเอาข้าวของไปขายให้ร้านค้าของสำนักวิญญาณ์และสำนักอื่นๆ

การซื้อขายภายในเมืองไจซิงเป็นอย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่ เพียงแค่คิดดูก็รู้ว่าของจะต้องถูกขายไปในราคาถูกอย่างแน่นอน สำนักเซียนสถิตปวดใจจนแทบจะหลั่งโลหิตออกมา!

แต่เมื่อไปสอบถามจากสำนักวิญญาณ์และสำนักต่างๆ อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางยอมรับในเรื่องนี้ มีคนนำของดีมาขายให้ในราคาถูก พวกเขาไหนเลยจะยอมคายออกมาง่ายๆ ด้วยระดับของสำนักเซียนสถิตย่อมไม่มีทางทำอะไรสำนักวิญญาณ์ได้ เลิกฝันที่จะทวงเอาของเหล่านั้นคืนมาได้เลย!

แม้นจะเอาเขาข้ามเมฆามาเป็นข้ออ้างก็ไร้ประโยชน์ หลังเกาซู่ชงและชุยหย่วนถูกเรียกตัวกลับสำนักก็ถูกลงโทษอย่างหนักทันที

แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่เกาซู่ชงคาดไว้เลย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองที่แสนมีเกียรติอย่างเขาได้ถูกลดขั้นให้ไปเฝ้าประตูใหญ่ของสำนักเซียนสถิต จะได้รับทรัพยากรบำเพ็ญเพียงหนึ่งส่วนจากจำนวนที่เคยได้รับปกติเป็นเวลาสิบปี

ชุยหย่วนไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหลัก ดีกว่าเกาซู่ชงอยู่หน่อย แม้นจะถูกลงโทษเช่นเดียวกับเกาซู่ชง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว สถานะภายในสำนักของเขาไม่อาจเทียบเกาซู่ชงได้ ถึงจะเป็นการลงโทษแบบเดียวกัน แต่สำหรับเขาแล้วนับว่าค่อนข้างเบา

ครั้งนี้ที่สำนักส่งทั้งสองคนออกมาอีก เป็นเพราะทั้งสองเคยประมือกับหนิวโหย่วเต้า อย่างน้อยก็พอจะให้คำแนะนำได้บ้าง ส่วนชุยหย่วนเคยพบตัวจริงของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว จึงสามารถระบุตัวเป้าหมายได้ และนับว่าเป็นการให้โอกาสทั้งสองได้ทำคุณไถ่โทษด้วย

เกาซู่ชงมองว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะได้ทำคุณไถ่โทษจริงๆ

ทว่าชุยหย่วนไม่อยากได้โอกาสนี้เลย เนื่องจากมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้ หนิวโหย่วเต้าปล่อยเขาไปแล้ว เขายังตามมาสังหารหนิวโหย่วเต้าอีก หากว่าหนิวโหย่วเต้าแฉเรื่องนั้นออกมาจะทำอย่างไร? แต่ก็ช่วยไม่ได้ จะไม่มาก็ไม่ได้ เขาไม่มีสิทธิ์เลือก!

ระหว่างที่เดินทางมา ภายในใจชุยหย่วนร้อนรุ่ม หากคิดจะฆ่าคนปิดปากก็ต้องหาโอกาสให้ได้ก่อนมิใช่หรือ? ประเด็นสำคัญคือตนมิใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต้าเลย แล้วก็ไม่มีความสามารถพอจะไปฆ่าปิดปากได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะส่งข่าวเตือนหนิวโหย่วเต้าอย่างไรดี ทว่าก็ไม่สามารถติดต่อได้

ทันทีที่ได้รับข่าวจากตระกูลซ่ง พวกเขาก็ต้องออกเดินทางไกล ตลอดทางแทบจะมิได้หยุดพักเลย เดินทางมาด้วยความรีบเร่ง ต่างมอมแมมเปื้อนฝุ่นกันถ้วนหน้า

พวกเขาไม่ได้ยกโขยงไปที่หอหิมะเหมันต์กันทั้งหมด หากแต่ทิ้งผู้อาวุโสคนหนึ่งไว้คอยคุมสถานการณ์ ส่วนอูเซ่าฮวนพาศิษย์สิบกว่าคนเหินลงเขาไป

พอมาถึงในหุบเขา ทั้งคณะเร่งเดินทางไปยังร้านค้าของสำนักเซียนสถิต

“อาจารย์?”

เมื่อเซียวเถี่ยผู้เป็นเถ้าแก่ร้านมองเห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามา เขาก็รีบเข้าไปคารวะอูเซ่าฮวนทันที อูเซ่าฮวนคืออาจารย์ของเขา

เซียวเถี่ยเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหลังจากที่ทางนี้เพิ่งส่งข่าวกลับไปหาทางสำนักได้ไม่นาน คนที่ทางสำนักส่งมาก็เดินทางมาถึงแล้ว

อูเซ่าฮวนใช้แขนที่เหลือข้างเดียวพยุงเขาขึ้นมา เอ่ยถามว่า “พบตัวเป้าหมายหรือยัง?”

เซียวเถี่ยประสานมือตอบว่า “พบแล้วขอรับ หนิวโหย่วเต้าเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้ง เพียงแต่สถานการณ์เกิดความเปลี่ยนแปลง…” เขาเล่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าอยู่กับฉู่อันโหลวให้ฟัง

กลุ่มคนที่เร่งเดินทางมาพากันงุนงง

แววตาชุยหย่วนวูบไหว ลอบรู้สึกดีใจ บางครั้งเมื่อพลั้งเดินผิดทางแล้วก็ยากจะย้อนกลับมาได้อีก

อูเซ่าฮวนตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามเสียงขรึม “เขาไปชิดเชื้อกับฉู่อันโหลวได้อย่างไร เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

“ศิษย์เองก็ไม่ทราบจริงๆ ขอรับว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้จนปัญญาจะสืบความได้” เซียวเถี่ยตอบอย่างนอบน้อม

…………………………………………………