ในขณะนี้ เขาไม่มีโอกาสเหมาะสม หลี่ฉางโซ่วอดจะฟุ้งซ่านไม่ได้ เขาแบ่งพลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปดูคนที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้นั่นคือ จิ่วอู
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขวิกฤติของสำนักตู้เซียนจากรากฐาน มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะป้องกันไม่ให้สำนักบำเพ็ญเต๋าประจิมหรือกลุ่มอื่นๆ กล้าวางแผนร้ายต่อสำนักตู้เซียนอีก
ต้องเผยภาพความยิ่งใหญ่!
ในขณะที่สำนักตู้เซียนอยู่ในปากเหวแห่งความตาย หากจิ่วอูร้องไห้ดี ร้องไห้จนทำให้มีปรมาจารย์บางคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินออกมาช่วยโจมตีกลับ ไม่เพียงแต่สำนักตู้เซียนจะสามารถเอาชนะวิกฤติในเวลานี้ได้ แต่พวกเขายังไม่ต้องกังวลใดๆ ในอนาคตอีก!
ทว่า…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้อยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้ว
อาจารย์ลุงจิ่วอูยังคงสะอื้นไห้และคร่ำครวญ ซึ่งทำให้คนที่ได้ยินและเห็นเขารู้สึกเศร้าใจได้จริงๆ แต่รอบๆ รูปเคารพ…ไม่มีความผันผวนใดๆ
เขาร้องไห้หนักไม่พอหรือ
คนไม่พอหรือ
หรือไม่ได้อารมณ์
หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างรวดเร็วขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมให้ความสนใจกับการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย และควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ให้แอบติดตามพวกเขาไปให้ทันอย่างลับๆ
จิ่วอูร้องไห้อีกครั้ง ยังคงไม่มีอักขระเต๋าใดๆ อยู่รอบๆ รูปเคารพ
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดพลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาร่ายเวทวายุวัจน์ระดับเซียนและแอบส่งเสียงของเขาไปยังโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตู
“ศิษย์น้องโหย่วฉิน ไปคุยกันข้างนอกเถิด”
โหย่วฉินเสวียนหย่าตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็หันหลังกลับและออกไปโดยไม่ลังเล
หลี่ฉางโซ่วส่งเสียงกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าอาจารย์ลุงจิ่วอูร้องไห้อยู่ข้างใน และจู่ๆ ข้าก็คิดว่านี่อาจเป็นวิธีช่วยพวกเรา เพียงแต่ว่าวิธีการร้องไห้ของอาจารย์ลุงจิ่วอูนั้นผิดไป”
“ข้าเป็นแค่ลูกปลาตัวเล็กๆ จึงไม่มีใครฟังข้า…ในฐานะหัวหน้าศิษย์ของสำนักตู้เซียน เจ้าเต็มใจจะลองดูหรือไม่ หากยินยอม เจ้าเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าทันที แล้วค้นหาสภาพแวดล้อมรอบตัวนาง แต่ก็ไม่พบหลี่ฉางโซ่ว
ทันใดนั้น บรรดาศิษย์ก็ได้ยินเสียงดังจากเบื้องบนเหนือพวกเขา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองทันทีและเห็นเมฆระเบิดแสงสาดประกายออกมาพร้อมด้วยคลื่นแห่งพลังต้นกำเนิดพุ่งลงมาด้านล่าง
เหล่าเซียนหยวนสองร้อยคนที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดได้ปลดปล่อยพลังเซียนของพวกเขาออกมา พวกเขาใช้ค่ายกลที่เรียบง่ายเพื่อสร้างปราการคุ้มกันป้องกันไม่ให้บรรดาศิษย์ถูกกระทบจากคลื่นพลังกระแทกที่มาจากผลพวงของการต่อสู้
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงคำรามอีกครั้ง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีม่วงก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่เมฆ!
มันเงยหัวขึ้นและคำรามในขณะที่เปลวเพลิงรอบๆ ตัวมันกวาดพัดออกไปทั่วทุกทิศทาง และบีบให้ศัตรูเซียนจินที่อยู่ข้างหน้ามันต้องรีบล่าถอยไป!
มันช่างน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
อย่างไรก็ตาม มีพลังลมปราณสีดำอยู่ล้อมรอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ดูอ่อนลงเล็กน้อย
ในขณะนั้น ผู้อาวุโสฉีหลิงแห่งสำนักตู้เซียนก็กลับสู่ร่างหลักของเขาแล้ว!
และเมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่าได้ยินคำเตือนของหลี่ฉางโซ่ว นางก็ขมวดคิ้ว
หลี่ฉางโซ่วจึงถามว่า “เจ้าจำคำแนะนำทั้งหมดของข้าได้หรือไม่ หากจำได้ชัดเจน ก็จงพยักหน้าให้เห็น”
โหย่วฉินเสวียนหย่าจึงพยักหน้าหนักแน่น
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวต่อว่า “จำไว้อย่าลืมแม้แต่คำเดียว จงจดจำคำเหล่านี้เอาไว้ในใจด้วยปราณวิญญาณของเจ้า”
“หลังจากนี้ อย่าบอกว่าข้าบอกอะไรกับเจ้าไป แค่บอกว่าเจ้ารู้สึกถึงบางอย่างได้เท่านั้น!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ นางประทับใจในคุณธรรมและอุปนิสัยอันยอดเยี่ยมของศิษย์พี่ฉางโซ่วมากอยู่แล้ว
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อว่า “จากนี้ จงค้นหาความรู้สึกที่จะทำให้อารมณ์ของเจ้าออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจและคิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ้าเศร้าและโกรธ”
เรื่องร้ายที่ปลุกอารมณ์ให้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ…?
โหย่วฉินเสวียนหย่ารู้สึกสับสนเล็กน้อย และภายใต้การแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว นางก็พยายามค้นหาความรู้สึกนั้นอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่า นางจะไม่มีอะไรต้องเศร้า ตระกูลของนางไปได้ดีและการฝึกฝนของนางก็ราบรื่น อาจารย์ของนางก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีเช่นกัน
จู่ๆ โหย่วฉินเสวียนหย่ารีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดอะไรไม่ออกเลย!”
เสียงของนางค่อนข้างดังและบรรดาศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองมา
ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าหันกลับมาทันทีและหันหน้าไปทางหอไป่ฝาน
เสียงของหลี่ฉางโซ่วก้องอยู่ในหูของนางอย่างไม่รีบร้อน “อย่ากังวลไป ในช่วงเวลาเช่นนี้ ยิ่งเจ้ากังวลมากเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้น”
“อืม… ลองนึกถึงสิ่งที่เจ้ารักมากที่สุด อาจเป็นสัตว์เลี้ยงหรืออะไรทำนองนั้น”
โหย่วฉินเสวียนหย่าพึมพำ “ขอข้านึกถึงสัตว์วิญญาณที่ศิษย์พี่มอบให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ ดีมาก สังเกตอารมณ์ของเจ้า ลองนึกภาพว่าหางของมันกระดิกไปมาตรงหน้าเจ้าอย่างเบาๆ แล้ว…”
“อยู่ดีๆ มันก็ถูกหินภูเขากระแทกกะทันหันและตายลงอย่างน่าอนาถสุดๆ หัวของมันมีเลือดออก มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง แล้วเจ้าก็ฝังมันเอาไว้”
ในเวลานี้ โหย่วฉินเสวียนหย่ากัดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ และภาพเหตุการณ์ที่นางฝังสัตว์วิญญาณตัวน้อยนั้นก็ผุดขึ้นมาออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของนาง นางรู้สึกผิดและสีหน้าท่าทีของนางก็ดูเศร้ามาก
ทว่าในไม่ช้าหลี่ฉางโซ่วก็พบว่าอารมณ์ของนางเป็นความเศร้าโศกอย่างแท้จริงและมีความโกรธน้อยกว่า
ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวเสริมอีกว่า
“จากนั้น เจ้าไม่ได้สนใจไปสักพักแล้ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าซากสัตว์วิญญาณนั้นถูกขโมยไป เจ้าค้นหาร่องรอยของมันมาโดยตลอดในขณะที่ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า…”
โหย่วฉินเสวียนหย่าก้าวไปข้างหน้าและเข้าไปในหอไป่ฝานอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เสียงของหลี่ฉางโซ่วเป็นเหมือนเสียงปีศาจที่ส่งผลต่อจิตใจของนาง
เขากล่าวว่า “มีคนขุดมันออกมาและย่างมัน”
ทันใดนั้นดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง
ในความมืดมิดนั้น จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วพลันส่งข้อความเสียงออกมาทันที
“ใช่แล้ว! ทำแบบนั้นแหละ! สัมผัสอารมณ์เหล่านั้นต่อไป! ไปด้านข้างของอาจารย์ลุงจิ่วอู!”
“หลังจากจุดธูปสามดอกแล้ว ก้มศีรษะทำความเคารพบูชาสามครั้งแล้วกล่าวคำเหล่านั้น!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และก้าวไปข้างหน้าทันใดขณะที่หลี่ฉางโซ่วก็ปลดปล่อยเวทวายุวัจน์ทันที
เขาไม่กล้าเข้าไปในหอไป่ฝาน และทำได้เพียงใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้และสังเกตจากระยะไกลเท่านั้น
ในเวลานั้น โหย่วฉินเสวียนหย่า หัวหน้าศิษย์ของสำนักตู้เซียน เดินไปรอบๆ จิ่วอูที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วหยิบธูปสีม่วงสามดอก จุดไฟ และวางลงในกระถางธูป
หลังจากนั้น นางก็ถอยหลังไปสองก้าวและคุกเข่าลงบนเบาะนั่งสมาธิข้างๆ จิ่วอูก่อนจะโขกศีรษะลงสามครั้ง
จิ่วอูหันศีรษะไปมองอย่างไม่เข้าใจ
เส้นผมยาวของนางดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย และชุดสีฟ้าเยือกเย็นของนางก็เบ่งบานราวกับดอกบัวในขณะสีหน้าของนางดูค่อนข้างเศร้า…
“ข้าเป็นศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋า นามเสวียนหย่า ข้าขอนมัสการท่านบรรพชนไท่ชิงแห่งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า!”
“ผู้ก่อตั้งสำนักตู้เซียน ปรมาจารย์ตู้เอ้อร์ได้สืบทอดพระสูตรนิรกรรม ซึ่งใช้เป็นรากฐานของสำนัก และท่านบรรพชนไท่ชิงเป็นบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าดั้งเดิม”
“วันนี้ ปีศาจจากภายนอกวางแผนโจมตีเราและสร้างความบาดหมางระหว่างเหล่าศิษย์ พวกมันมีเจตนาชั่วร้าย ทั้งที่พวกมันไม่เคยมีความบาดหมางกับสำนักตู้เซียน! สำนักตู้เซียนไม่ได้ยั่วยุปีศาจเหล่านี้! ศิษย์หวังว่าท่านบรรพชนจอมปราชญ์จะโปรดสังเกตเห็นด้วยเถิด!”
จากนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็คุกเข่าลงอีกครั้งและเริ่มอ่านพระสูตรนิรกรรมเล่มแรก
จิ่วอูตกตะลึง เหตุใดถึงรู้สึกเหมือน…ที่นางเพิ่งพูดไปมันก้าวหน้ากว่าที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้เสียอีก…
เวลานี้…
ขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าท่องบรรทัดที่สองของพระสูตรนิรกรรม รูปเคารพตรงหน้านางก็สั่นเล็กน้อย
แล้วทันใดนั้น อักขระเต๋าที่อธิบายไม่ได้ ตรวจจับไม่ได้ และคลุมเครือก็ลอยออกมาจากรูปเคารพและหายไปจากรูปเคารพ!