ตอนที่ 63

Dungeon Defence

ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 3 วันที่ 1

เทือกเขาเเบล็ค ทางผ่านภูเขา

แม่มด 20 คนที่ออกไปมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่รอดกลับมา แม่มดทั้ง 12 คน ที่บุกโจมตีมีบางคนได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมา

ผมไม่เห็นฮัมบาบาในหมู่พวกเธอที่กลับมาเลย

“……”

เพราะกลัวเสียความรู้สึกกัน ผมจึงถามออกไปไม่ได้ว่าฮัมบาบาอยู่ที่ไหน ผมทำได้แค่ถามว่าพวกเธอจะสู้ต่อไปได้อีกไหมเเทน ถ้าพวกแม่มดบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เเล้ว ผมจะได้วางแผนให้พวกเธอออกจากสงครามนี้ไป

“ยังบินได้อีกไหม”

“เราจะตอบแทนความกรุณาของ มาสเตอร์ ด้วยชีวิตของเรา”

แม่มดคุกเข่าลงบนหิมะด้วยร่างกายที่เปื้อนเลือด ในตอนที่เลือดของพวกเธอหยดลงไป รอยบุ๋มเลือดก็ถูกสร้างขึ้นในกองหิมะ ผมได้สาบานเมื่อมองดูหลุมสีแดงเหล่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมต้องได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้มาครอง

แม้ว่ากองกำลังของเราจะครอบครองแม่มด 50 คน แต่ผมตั้งใจส่งออกไปเป็นตัวล่อเพียง 20 คนเท่านั้น เพื่อหลอกล่อศัตรู แม่มดทั้ง 20 คนยอมรับคำสั่งที่ไร้เหตุผลโดยไม่โต้เเย้งอะไรสักคำ และเพราะไม่มีการโต้เเย้งเกิดขึ้น พวกเธอทั้ง 9 คนถึงกับต้องยอมพลีชีพของตัวเอง สิ่งที่ทั้ง 9 คนคงกำลังคิดขณะสัมผัสอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวเป็นครั้งสุดท้าย ความโดดเดี่ยวที่ต้องรู้สึกเมื่อพวกเธอต้องตกลงไปสู่ขุมนรกที่มืดมิดไร้ขอบเขต ผมไม่กล้าจะเปรียบเปรยอารมณ์พวกนั้นของผู้ที่จากไปออกมามากกว่านี้ได้ พวกเธอยอมตายเพื่อผม

ผมออกคำสั่งกับนายทหารอย่างเงียบ ๆ

“จงตั้งรั้วไม้รั้วไว้ให้ดี ศัตรูจะใช้กองทหารม้าเป็นทัพหน้าพุ่งเข้าใส่กองกำลังของเรา พวกเราจะจบเห่เเน่ถ้าไม่ตั้งเเนวรับเอาไว้ให้ดี พลหอกจะอยู่เเนวหน้าคอยปกป้องพลหน้าไม้ไว้ และพลหน้าไม้จะต้องเป็นพลังให้พลหอกพึ่งพา จงสู้ไปด้วยกันและเชื่อมั่นในตัวทุกๆคนไว้”

นายทหารออกคำสั่งซ้ำแล้ววิ่งออกไปที่แนวหน้า

ได้ยินจากระยะไกลเสียงกีบเท้าก้องกังวานและทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ขณะกีบเท้าม้ายกขึ้นมาหมู่ฝุ่นหิมะก็ถูกยกขึ้นจากพื้นดิน ทหารม้าของศัตรูใกล้เข้ามา ในคืนที่มืดมิดนี้ ไม่สามารถมองเห็นร่างกายของศัตรูชัดเจนได้ แต่กลับปรากฏออกมาเป็นเหมือนก้อนมวลมหึมาเหมือนเงายักษ์เพียงเงาเดียว ในเงาพวกนั้น เสียงเเซ่ซ้องต่างเข้าปะปนกันไป กีบเท้า ฝุ่นหิมะ และของมาร์เกรฟ ถูกหลอมรวมกันอย่างโกลาหล ทำให้ดูเหมือนทหารศัครูไม่ใช่มีเพียงเเค่พันคน แต่เป็นหมื่นคนต่างหากที่เดินเข้ามาหาทัพเรา

“เป่าแตร”

คนเป่าแตรของเราเป่าลมใส่เเตรเขาสัตว์ ในท้องฟ้ายามราตรี ลมหายใจของทหารศัตรูและลมหายใจของกองกำลังของเราปะปนกัน แม่มดบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

เสียงแตรดังก้องไปบนฟากฟ้า แม่มดและนักเวทย์ศัตรูไปจันหน้า บนพื้นสั่นสะเทือนลั่นด้วยกีบม้า, ทหารราบและทหารม้าปะทะกัน เลือดที่พุ่งออกมาจากท้องฟ้ากระจัดกระจายลงมาและเลือดที่พุ่งขึ้นจากพื้นดินก็พุ่งขึ้นไปยังฟากฟ้า ผืนดินกำลังค่อยๆถูกชโลมชุ่มไปด้วยโลหิต

ผู้ช่วยนายทหารตะโกน

— ฝ่าบาท นี่คือทหารราบศัตรู!

แสงจันทร์ส่องให้เห็นทหารศัตรูที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทางผ่านภูเขาจาง ๆ แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของพวกมัน แต่หอกที่ศัตรูถืออยู่ก็ส่องประกายเจิดจ้าในแสงสลัว กองทัพกลางของผมประกอบด้วยทหาร 2,500 นาย แต่ดูเหมือนว่าทหารของศัตรูจะมีไประมาณ 5,000 นายหากนับรวมทหารม้าเข้ากับทหารราบเเล้ว

แม้ว่ารั้วไม้ที่กองทหารของเรายึดไว้จะแข็งแรง แต่จำนวนทหารที่เรามีมันน้อยมากๆ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างแต่ละรั้วไม้ ทหารม้าของศัตรูได้กดดันทหารม้าของพวกมันไปยังจุดอ่อนนั้นอย่างต่อเนื่อง พลหอกของเราค่อยๆ ถูกผลักกลับออกไป หอกที่ทหารม้าศัตรูแทงทะลุศีรษะของทหารราบคนหนึ่งของเรา หัวหอกลอดผ่านดวงตาของทหารที่โดนเเทง จนทะลุออกมาจากด้านหลังศีรษะ

หลังจากขึ้นม้าและมองออกไปในสนามรบ ผมก็พูดอย่างใจเย็น

“อดทนไว้. พวกเราจะรอดถ้าพวกเราอดทนไว้ให้ดี หากยอมจำนนเเล้วไซร้ กองทัพพวกเราทุกคนได้ย่อยยับเเน่”

ผมรู้สึกขมขื่นกับการทำอะไรไม่ถูก ในคืนที่เลวร้ายนี้ ทหารของผมราวกับยืนสู้เองตามตามลำพัง ทหารของเราจัดการเงาของศัตรูที่เข้ามาใกล้ ทหารของศัตรูก็บุกจู่โจมเข้ามาราวกับน้ำท่วม การต่อสู้ดำเนินไปโดยพวกทหารเเละมีเเค่พวกทหารเท่านั้นที่ล้มลงไป เพราะผมไม่สามารถตายแทนพวกเขาได้ หน้าที่ของการตายนั้นถูกทหารยึดไปแต่เพียงผู้เดียวหมดเเล้ว

กองทหารของเราล้มลงบนหิมะก่อนที่จะตาย ตราบใดที่พวกเขาไม่ใช่พันธมิตร กองกำลังของศัตรูก็พร้อมจะเหยียบย่ำซากศพ กลบฝังไว้ในหิมะ ขนของซากศพที่ถูกฝังไว้สั่นสะไหวตามเเรงะลม เเละเเข็งตัวตามลมหนาว ผมไม่สามารถเอ่ยวาจาเสนาะออกมาได้อีกเเล้ว ความตายได้พัดพาได้ปฏิเสธคำพูดออกไปเสียสิ้น

ผมจ้องมองไปที่ป่าสนทางด้านซ้ายของสนามรบ ฟาร์นาเซ่ ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นราวกับกลั้นหายใจ รู้สึกเหมือนผมสามารถสัมผัสลมหายใจของเธอขณะที่เธอจ้องมองมาเหมือนหมาป่ารองับเหยื่อที่สนามรบด้วยดวงตาสีเขียวของเธอ

ไม่ว่าผมจะล้มก่อน ไม่ว่าทหารของศัตรูจะบุกทะลุแนวป้องกันของเรามาได้ก่อน ไม่ว่าฟาร์เนเซที่กำลังล้อมทหารศัตรูจากด้านหลังจะมาก่อน ผมก็นึกไม่ออกว่าเลยลำดับจะจบลงยังไง ทหารได้สู้จนตัวตายในค่ำคืนนี้ เเละผมก็ทำได้เเค่พูดคำเดิมเหมือนกับที่พูดก่อนหน้านี้

“อดทนไว้. พวกเราจะรอดถ้าพวกเราอดทนไว้ให้ดี…”

▯ผู้พิทักษ์เเดนเหนือ มาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก จอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์ก

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 3 วันที่ 1

เทือกเขาเเบล็ค ทางผ่านภูเขา

“โจมตีต่อไป! อย่าให้พวกมันได้มีเวลาพักส่่งความพิโรธของพวกเราออกไปอย่าได้หยุด!”

ทหารราบเข้าพุ่งไปข้างหน้าทีละคน โดยไม่พักผ่อน กระทั่งค่ำคืนผ่านพ้นไป อย่างไม่ลดละ ก่อนที่เราจะทำลายรั้วไม้ลง เเละเข้าสังหารศัตรู จนได้กำชัยเหนือ เศียรจอมมารเราจึงจะชนะ จะไม่มีหยุดยั้งจนกว่าจะถึงเวลานั้น ฆ่าพวกมัน ฉีกพวกมัน และเเยกพวกมันเป็นชิ้นๆ…… คำสั่งที่ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นอะไรที่ไม่มากไปกว่าการระเบิดของเสียงระเบิดออกมา

ลูกธนูถูกยิงราวกับใช้คนตาบอดยิงเข้ามาหาข้าและเฉี่ยวๆไหล่ข้าไป เลือดไหลซิบออกมาพอให้รู้สึกถึงความอุ่น นายทหารไม่รู้ถึงอาการบาดเจ็บของข้า เเต่ไม่เป็นไร ปล่อยให้ไม่รู้คงจะดีกว่า มันจะดีกว่ามากที่ปล่อยพวกเขาไม่รู้ถึงรอยข่วนของข้า เพราะว่าการต่อสู้นี้เป็นช่วงกลางคืนไม่มีใครมาสังเกตหรอก? ข้าตะโกนเรียกพลังงานที่ลุกโชนเดือดพล่านในตัวออกมา

“บดขยี้พวกมันให้เเหลก!”

คำพูดของข้าถูกกลืนหายไปจากสนามรบ เหลือเเต่เพียงเเต่เสียงต่างๆที่ยังคงดังรบกวนไปทั่วสมรภูมิ หอก เอา!หอกมา……! อัศวินที่ทิ้งอาวุธลงกลางคันเพื่อเปลี่ยนอาวุธได้เริ่มร้องเรียก เขาคว้าหอกโดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ แล้วเริ่มโจมตีต่อ พื้นที่สงครามถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะที่ถูกตีตลบขึ้นมาโดยกีบม้า พวกอัศวินจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนัก เเละอีกครั้งมีคนตะโกนว่า หอก……! เอาหอกมา……! เพื่อพุ่งออกไปราวกับหิมะกำลังกลืนกิน ข้ามองเห็นอะไรบางอย่างชัดเจนบนหลังทหารม้าที่กำลังพุ่งเข้ามาตอนที่ฝุ่นตลบอบอวล แม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร แต่ก็แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่เกินคำบรรยาย นั่นอาจเป็นจุดที่ข้ามองไม่เห็นมองไม่ออกว่ามันเป็นอะไร เเละมันจะกลายเป็นความมืดบอดของข้าไปทั้งชีวิต.

นายทหารพูดขึ้น

“ทหารศัตรูมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ครับ ท่านเเม่ทัพ”

“และเรายังไม่เห็นวี่เเววกองทหารม้าของศัตรูด้วยครับ”

ข้าพยักหน้า

“ดูเหมือนว่าทหารของศัตรูจะมีน้อยกว่า 3,000 นาย จอมมารต้องหนีไปพร้อมกับทหารม้าของมันก่อนเเล้วเเน่ๆ เเลวค่อยให้ทหารชั้นเลวมาขัดขวางเพื่อถ่วงเวลาให้จอมมารหลบหนีอีกที”

ข้าคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่เเล้ว

ดันทาเลี่ยน ตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อข่าวการพ่ายแพ้ของ มาร์บาส ใช้เเม่มดมาถ่วงเวลา ต่อไปก็ใช้กลยุทธ์ม่านควันอีก เเล้วดันทาเลี่ยนก็ถอยกลับพร้อมกับกองกำลังหลักของมัน ถ้าข้ารอจนถึงรุ่งสาง กองกำลังหลักของจอมมารก็จะกลับไปที่ป้อมปราการทมิฬโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

โอ้ ช่างโชคร้ายเหลือเกิน ดันทาเลี่ยน

ความวิตกกังวลของเเกได้ทำลายตัวเเกเอง แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเเกส่งแม่มดออกไป ข้าคงจะรอจนถึงรุ่งสางเเล้ว เเกสั่นกลัวการโดนหมางับไปที่ขา จนบอกหมาว่ากลัวมากๆจนมันเข้ามางับขาเเกเเล้ว

ถึงเเม้เเกจะ สามารถหนีไปพร้อมกับทหารม้าของเเกได้ เเต่ก็ไม่เป็นไร แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ข้าไม่สามารถบั่นหัวให้จำนวนจอมมารลดลงได้ แต่การทำลายล้างกองกำลังหลักของครั้งนี้ก็ถือเป็นการทำให้ฝ่ายเราได้เปรียบครั้งใหญ่เเล้ว

เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของข้าคือการป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงจักพรรดิผูกขาดในชัยชนะเพียงคนเดียว เเค่นี้ข้าก็พอใจเเล้วกับการบรรลุเป้าหมายครั้งนี้

“พวกเรากำลังแหกรั้วไม้ไปแล้ว!”

“ท่านแม่ทัพ ทหารราบของเราบุกทะลวงเข้าไปได้เรียบร้อยครับ!”

นายทหารรู้สึกตื่นเต้น

ในตอนเเรกเริ่มสงคราม กองกำลังของเราเอาชนะศัตรูด้วยจำนวนที่มากล้น เหมือนจับท่อนซุงกระทุ้งพวกมันให้ตกลงไปในแม่น้ำ ถึงเเม้ทหารของศัตรูจะยึดรั้วที่อ่อนแอนั้นเป็นที่มั่นก็เถอะ

เพราะกองทหารของศัตรูอยู่ระหว่างการถอนทัพ พวกมันเลยไม่สามารถตั้งรั้วได้อย่างเเข็งเเรงดีพอ และตอนนี้ รั้วจำนวนไม่กี่อันที่พวกมันได้สร้างขึ้นมาได้ค่อยๆพังทลายลงไป ศัตรูพึ่งพาของโหล่ยโท่ยแบบนี้ในจังหวะของสงครามตอนนี้เรอะ? เป็นเช่นนั้นก็จงถูกน้ำหลากของทหารของของข้าซัดท่วมจนจมน้ำตายไปซะ!

”โปรดให้คำสั่งแก่พวกเราในการโจมตีอย่างเต็มที่เถอะครับ ท่านแม่ทัพ!”

“ให้เรามีส่วนร่วมในชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ด้วย!”

“อืมมมม. ออกไปได้.”

ข้าพยักหน้าเห็นด้วย

เหล่านายพลต่างโบกธงส่งเสียงคำราม ในที่สุด กองหนุนของเราก็รุกเข้าแนวหน้าเช่นกัน เสียงแตรดังก้องขึ้น

แตรของแต่ละกองร้อยมีโทนเสียงที่แตกต่างกัน แต่สนามรบนั้นไม่เป็นระเบียบเกินกว่าจะแยกแยะโทนเสียงออกมาได้ ความวุ่นวายนี้จะสิ้นสุดลงในไม่ช้าเเละเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง

— ……

ในจังได้ยินเสียงเเตรของฝั่งเราข้าก็ได้ยินเสียงบางอย่างเข้ามาในหูของข้า แท้จริงแล้วมันคือเสียงแตร

อย่างไรก็ตาม ก็รู้สึกว่าเสียงนั้นมันอยู่ไกลสุดตาและดังกังวาลมากกว่าเสียงอื่นใดทั้งหมด

— บูนวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

อย่างน้อยข้าก็แน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ได้มาจากกองทัพของเรา เป็นเสียงที่มาจากพวกปีศาจ? ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าเสียงมันก็น่าจะมาจากข้างบน แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังได้ยินเสียงจากป่าที่อยู่อีกฟากหนึ่ง หลังจากเสียงนั้นเว้นช่วงไป ข้าก็มองไปที่ดงต้นสน

— บูนนนนนนนนนนนนนนนนนน บูนนนนนนนนนนนนน บูนนนนนนนนนนน……

เสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ มันกำลังใกล้เข้ามาเร็วกว่าความเร็วของการเดินเท้าของคนทั่วไป เสียงเเตรไม่ได้ถูกเป่าโดยทหารราบ แต่โดยทหารม้า แสงจันทร์สาดส่องระหว่างช่องว่างในก้อนเมฆ ในป่าที่สว่างไสว กิ่งก้านบนต้นสนสั่นสะเทือนเลื่อนสะท้าน จนหิมะที่เกาะตามกิ่งต้นสนต้องตกลงมาจากต้น

เมื่อหิมะตกจากกิ่งก้านหมดไปเเล้ว หญิงสาวคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากป่าสน

หญิงสาวกำลังขี่ม้าสีดำ เธอสะบัดหิมะที่ตกลงมาบนหัวของเธอเบาๆ ตามการเคลื่อนไหวของหญิงสาว ม้าดำก็พ่นลมหายใจออกมา พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำ แต่ไอน้ำกลับระเหิดพุ่งออกจากหญิงสาว ทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่นเพียงคนเดียวท่ามกลางลมหนาวที่รุนแรง

“……”

หญิงสาวเหลือบมองไปทางนี้ รู้สึกราวกับว่าเธอสบตากับข้า แต่ข้าไม่รู้สึกเลยว่าเธอจ้องมองด้วยตาของข้า แต่มองมาที่ร่างกายทั้งหมดของข้าเเทน ดวงตาของเธอไม่มีอารมณ์และไม่แยแสเหมือนฤดูหนาว เธอเพียงแค่ธำรงตำแหน่งของเธอเหมือนสายลม หญิงสาวเปิดปากของเธอ

คำพูดที่เธอเอ่ยออกมาน่าจะเป็นคำนี้มากที่สุด

– เข่นฆ่าพวกมันสิ้น

ในตอนนั้น

ช่วงเวลาที่คำพูดของเธอล่องลอยไปในอากาศ

เสียงแตรก็โหมกระหน่ำ

— บูนววววววววววววววววววววววววววววว

ทหารม้าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากป่าสน เซนทอร์ที่เกิดมาพร้อมกับใบหน้ามนุษย์และมีขาของม้าส่งเสียงร้องต่อสู้ ทหารม้าปีศาจกระโดดข้ามด้านหลังข้าไป ก้าวข้ามรั้วไม้ และรุกคืบต่อไปเพื่อเข้าตีกองทหารของเรา

เพราะพวกมันจู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ที่ด้านหลัง พวกทหารของเราจึงสับสน แม้ว่าพวกเขาจะรีบตั้งการป้องกัน แต่ก็กันไว้ได้ไม่หมดเพราะรั้วไม้ขวางไว้ทำให้เกิดช่องว่าง รั้วไม้กำลังขวางทางกองทัพของเราอยู่ ด้วยความตกใจครั้งใหญ่ ข้าทำได้เพียงมองดูทหารวิ่งไปมาอย่างสับสนและกองทัพกำลังจะถูกตีเเตก

นี่คือความพ่ายแพ้ของข้า

อ๊าาา.

อ๊ากกกกกกกก—.

ทหารของเราถูกผลักเข้ามุม ทหารพยายามซ่อนตัวอยู่หลังรั้วไม้ ทหารขัดแย้งกันเอง รั้วไม้ไม่สามารถรับมือกับการต่อสู้และพังทลายลงไป พวกทหารได้ล้มลงกับพื้น พ่นไอหิมะออกมาจากปากขณะกระแทกพื้นโลก ทหารได้พลีชีพตัวเองไปบนกองหิมะเเล้ว

เด็กหญิงยังคงยืนอยู่อย่างสูงส่งที่ชายป่าและมองลงมาที่การต่อสู้ เธอยกมุมปากของตัวเองให้สูงขึ้นและพ่นลมหายใจออกมา เธอไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอื่นอีก รู้สึกราวกับว่าสนามรบไม่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวคนนี้โดยสิ้นเชิง

โอ้พระเจ้า

ท่านปล่อยให้มีปีศาจอยู่รอดได้ยังไง?

ท่านปล่อยให้ปีศาจกำชัยเหนือมนุษย์ได้อย่างไร?

หรือเป็นการเติมเต็มความยุติธรรมของท่านที่นี่บนแผ่นดินของเราใช่ไหม? ความพ่ายแพ้ของชายชราคนนี้เหมาะสมในความชอบธรรมของท่านเเล้วหรือ? การรังสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของท่านคือยอมให้จอมมารเข่นฆ่า เผาทำลาย และเย้ยหยั่นเชลยศึก จนได้รับชัยชนะเเล้วใช่ไหม?

“……”

ข้าแหงนมองท้องฟ้า

แม่มดและนักเวทย์กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในท้องฟ้ายามค่ำคืน อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่แม่มดเคยได้รับได้แแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกรี้ยวกราด และตอนนี้ผู้วิเศษก็กำลังอดทนต่อความมุ่งร้ายนั้นอยู่ แม่มดซึ่งมีจำนวนต่ำกว่า 20 คน ตอนนี้ดูเหมือนจะมีมากกว่า 30 คน ไปเเล้ว ผู้วิเศษของเราได้พ่ายลง พวกเขาเเพ้ ศีรษะและแขนถูกขาด พวกมันกลายเป็นดอกไม้ฤดูหนาวสีแดงและถูกเด็ดกลีบทีละกลีบร่วงลงจากฟากฟ้า

“……”

ข้าถูกหลอก

ถูกหลอกจนพ่ายแพ้

เเละเพราะข้าแพ้ ข้าจึงสมควรจะตาย

“……”

ข้าได้ใส่หมวกเกราะลงไป

หมวกที่ได้ซึบซับความเย็นจากลมหนาว ความรู้สึกเย็นยะเยือกจากเหล็กแทรกซึมลึกเข้าไปในหัวของข้าและในความคิดของข้า ขณะลืมเรื่องเหล่าทวยเทพและละเลยความยุติธรรมไปจากใจ ข้าได้เพียงเพ่งมองไปยังเส้นทางที่จะวิ่งไปข้างหน้า

เด็กหนุ่มได้คว้าตัวข้าไว้

“ท่านผู้สูงศัพดิ์ ท่านมีแผนจะออกไปหนไหนครับ……?”

“ข้ากลัวความอัปยศที่ข้าจะได้รับจากการมีชีวิตรอดกลับมาได้ เเกก็หนีไปเถอะ. ขี่ม้าสำรองของข้าและไปให้ไกลจากที่นี่”

เด็กหนุ่มไม่ได้ออกไปไหน เขาขึ้นขี่ม้าสำรองและชักดาบออกมา ข้าไม่สามารถหยุดเขาได้

หลังจากที่เราหันหัวม้าของเราพุ่งเข้าใส่กองกำลังของศัตรู เด็กคนนั้นเป็นคนแรกที่ล้มลงเพราะถูกลูกธนูยิง เขาอดทนต่อลูกดอกได้ 3 ดอก เเละดอกสุดท้ายได้ทิ่มไปที่คอพรากชีวิตไปจากเขา เด็กหนุ่มกลิ้งออกจากอานลงไปที่พิ้น เเต่ข้ายังไม่ล้มข้าเลยเดินหน้าต่อไป

ในขณะนั้นเอง มีคนตะโกนมาทางข้า

“ทำไมน่ะ นั่นมันมาร์เกรฟไม่ใช่เหรอ!”

“……!”

ดวงตาของข้าถูกลากไปมองด้วยเสียงที่ข้าไม่เคยจะลืม

เหนือกำแพงเนื้อมนุษย์และม้า จอมมาร ดันทาเลี่ยน อยู่บนนั้นอยู่หลังของม้า

จอมมารยิ้มกว้าง

“จะรีบไปไหนล่ะ มาร์เกรฟ! ท้องฟ้ายามค่ำคืนมันไม่วิจิตรการเหมันย์ไม่โสภา พอหรอกหรือ? เจ้าจะไม่รีรอให้โลหิตของทหารพ่นสาดชโลมไปทั่วทุกสิ่งเเต่งเเต้มทุกอย่างจนงดงามเหมือนกันหรอกหรือ? หากเจ้ารีบร้อนตายไป อาจจะพลาดทิวทัศน์เเสนสวยที่ข้าบอกไปเลยนา ไม่ต้องรีบร้อนไปเสียหรอก!”

“……เเกกกก ไอ้ตัวสถุนนนน.”

“อา มาร์เกรฟเจ้าาอาจจะแก่เกินไปที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์นี้ไปเเล้วก็ได้ เจ้าคงเคยพูดและโกรธตัวเองเพราะเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก. ข้าสุภาพต่อผู้สูงอายุเสมอ ข้าจะเช็ดล้างผัดเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เต็มไปด้วยอาจมของเจ้าให้เอง”

ดันทาเลี่ยน เงยหน้าหัวเราะออกมาไปทางท้องฟ้า

“ได้โปรดอย่าปฏิเสธเลย เราไม่ได้มีความผูกพันธ์พิเศษระหว่างเราสองหรอกหรือ มาร์เกรฟ?”

“เเกก ไอ้ปีศาจวายร้ายย—!”

ข้าได้พุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่จอมมารอยู่พร้อมกับม้าของข้า

เซนทอร์เข้ามาขวางข้าอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องจอมมาร

ขณะที่ข้าฟันและตัดหัวพวกเซนทอร์อย่างสิ้นหวัง มีบางอย่างที่มีพลังมากมาชนเข้ากับด้านหลังศีรษะของข้า หัวของข้าได้สั่นและสูญเสียการทรงตัวไปสิ้น

ใบหน้าของข้าถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่หนาวเย็น ขณะรู้สึกว่าใบหน้าเย็นชาและศีรษะร้อนขึ้น ข้าได้หลับตาลง

เสียงหัวเราะที่ว่างเปล่าของเจ้าหญิงแห่งจักรพรรดิก็เล็ดลอดผ่านเข้ามาในโสตหูของตัวเอง

— เซอร์โรเซนเบิร์ก, เซอร์โรเซนเบิร์ก โอ้ โรเซนเบิร์ก……

เเละแล้วข้าก็ได้หมดสติไป

………………………………………………………..

มีข่าวดีมาบอกทางผู้แปลตอนจบของ เล่ม 2 เขาอนุญาตให้เอามาลงnekopost เเล้วนั่นหมายความว่าไม่ต้องแปลใหม่ไง ยิปปี้ // เเต่ก็ต้องพิมใหม่อยู่ดี……