“หึ! หลานเฟย เจ้ามักจะคิดว่าตนเองสูงส่ง คิดว่าตนอยู่เหนือคนอื่น ๆ อยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าชังจิ่งอวี้ที่คอยตามรังควานเจ้าหรือ? เหตุใดจึงลืมคำพูดตนเองยามเจ้ากับเขาทะเลาะกันวุ่นวาย เจ้าไล่อย่างไรเขาก็ไม่ไปเล่า? หืมมม?”
น้ำเสียงขบขันของหญิงสาว ไม่รู้ทำไมฟังแล้วจึงเปลี่ยนใจคนให้เหน็บหนาวได้ “ข้ารักเขาก่อนแท้ ๆ ทำไมเขาจึงไม่เห็นความรักของข้า? กลับเลือกไปรักคนที่ไม่เคยสนใจเขาตลอดมา บอกข้าสิ พวกบุรุษทั้งหลายต่างต่ำต้อยกระหายอยากบทลงโทษเช่นนี้ทุกคนเลยหรือไม่?”
นางพูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาของม่อจิ่งอวี้ก็ยิ่งซีดลง ความเจ็บปวดรวดร้าวในอกเหมือนจะรุนแรงขึ้นเมื่อนางปรากฏตัว หัวใจถูกกลืนกินหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
ดูท่านางจะเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา พลันพูดกลั้วเสียงหัวเราะขึ้นว่า “หลานเฟย เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าร่ายคำสาปรักไว้ในหัวใจเขา จากนี้ต่อไป เขาคิดถึงได้เพียงข้า รักได้เพียงข้าเท่านั้น หากไม่ยอมซื่อสัตย์ต่อข้าแม้เพียงเล็กน้อย คำสาปก็จะกัดกินหัวใจในร่าง จนกระทั่งมันหยุดทำงานและตายจากไปในที่สุด”
“แต่เขากลัวความตายไหมน่ะหรือ?”
เสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและแววดูถูกเหยียดหยามตนเอง “ถึงจะต้องตาย แต่เขาก็ยังเลือกจะยืนเคียงเจ้า หากข้าไม่เอาชีวิตเจ้ามาขู่เข็ญเขา มีหรือเขาจะยอมจากเจ้าไป!?”
“ชิงหลานเฟย ทำไมเจ้าถึงดีกว่าข้าทุกอย่างเลยเล่า? แม้แต่หัวใจของผู้ชายคนนี้ก็เป็นเพียงของเจ้าคนเดียวเท่านั้น! เจ้าพูดไว้ไม่ใช่หรือว่าจะหลีกทางให้ข้า? บอกว่าไม่สนใจ บอกว่าจะให้ข้าในทุกสิ่งที่ต้องการ! ทว่าเจ้าโกหกข้า และตอนนี้เจ้าก็ต้องตายเพราะคำโกหกของตนเอง!”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว!” นัยน์ตาชิงหลานเฟยเข้มขึ้น นางหันมองชายหนุ่มข้างกายตนเอง จากนั้นกัดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยเสียงสั่น “จิ่งอวี้ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องเข้ามาพัวพันเช่นนี้”
“เด็กโง่ อย่าร้องไห้เลย” ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจ “ข้าเลือกทางนี้เอง แล้วข้าก็ทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ”
ดูท่านางเห็นภาพอ่อนโยนฉากนั้นแล้วจะยิ่งโกรธ น้ำเสียงนางเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดยามเอ่ยขึ้นอีกครา “จิ่งอวี้ ท่านลืมสัญญาที่ให้ไว้แล้วหรือ? ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถสังหารนางได้ตอนนี้เลย!?”
ม่อจิ่งอวี้หลุบตาลงหัวเราะเสียงแผ่ว ทว่าในนัยน์ตาไร้แววขัน น้ำเสียงเขาทะมึน ไร้ความอบอุ่นเจือ “วันนี้ข้าเลินเล่อเกินไปจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า หากจะลงมือก็ทำให้มั่นใจว่าข้าไม่อาจหาโอกาสกลับมาล้างแค้นเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะตอบแทนความอัปยศอดสูที่ข้าต้องพบเจอในวันนี้กลับคืนไปเป็นร้อยเท่า”
“หากเจ้าคิดสังหารเฟยเอ๋อร์ ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” น้ำเสียงของเขาเย็นชานัก
เขาดูน่าหลงใหล ดูเป็นบุรุษอบอุ่นอยู่เสมอ แต่เขาก็เอ่ยวาจาไร้หัวใจได้เช่นกัน สำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกรักต้องมีพื้นฐานมาจากใจ ในโลกนี้มีเพียงชิงหลานเฟยที่เอาชนะใจเขาได้อย่างสมบูรณ์ ยอมปกป้องดูแลนางด้วยทุกอย่างที่มี ไม่ยอมให้นางต้องเจ็บปวดแม้เพียงนิด
น้ำเสียงสตรีที่ไม่ยอมเผยตนราวกับชะงักไปกับคำของชายหนุ่ม นางนิ่งเงียบไปนาน
“จิ่งอวี้… .. ” ชิงหลานเฟยกุมมือเขาไว้อย่างเป็นห่วง “ไม่ต้องสนข้า… ”
“ให้ข้าไม่สนเจ้าได้อย่างไร” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยขัด จับมือนางแน่น นัยน์ตาล้ำลึกจ้องมองใบหน้างามของหญิงสาวนิ่ง
“เฟยเอ๋อร์ นับแต่ครั้งแรกที่พบกัน ข้าก็ไม่เคยคิดจะปล่อยมือจากเจ้าเลยสักครั้ง แต่ในเมื่อวันนี้โชคชะตาไม่เป็นใจ ข้าเกรงว่าอนาคตที่มีความสุขของเจ้าคงต้องถูกกลบฝังลงในวันนี้เสียแล้ว”
“ข้าไม่กลัว” ชิงหลานเฟยส่ายหัว “หากได้อยู่กับท่าน แม้ต้องตายวันนี้ข้าก็ไม่เสียใจ”
“เฟยเอ๋อร์ ข้าอยากได้ยินคำที่เจ้าพูดเมื่อครู่อีกสักครั้ง” ม่อจิ่งอวี้ไม่สนใจความรู้สึกเจ็บปวดลึกล้ำราวกับถูกมีดเสียบแทงใจนับพันนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใส่ใจความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ทำเพียงจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วเอ่ยความ
“คำไหนหรือ?” ชิงหลานเฟยถามเสียงฉงน
ม่อจิ่งอวี้หัวเราะเบา ๆ “คำที่เจ้าพูดตอนจูบข้า”
ชิงหลานเฟยไม่แม้แต่จะลังเล เอ่ยขึ้นเสียงเบาในทันที “ ข้ารักท่าน”
ม่อจิ่งอวี้หัวเราะออกมาเสียงดัง ใช้นิ้วไล้ใบหน้านางอย่างอ่อนโยน “ข้ามีความสุขนัก เฟยเอ๋อร์ ข้าเคยได้ยินคำพวกนั้นแต่ในฝัน แต่พอได้ยินเจ้าพูดต่อหน้า ทำให้ข้าคิดว่าข้ากำลังฝันไป”
“หากวันนี้เรารอดพ้นไปได้ ข้าจะบอกให้ท่านฟังทุกวัน” ชิงหลานเฟยกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ได้”
สตรีที่ซ่อนอยู่ในเงามืดไม่เอ่ยเสียงอีกต่อไป นางคงได้เห็นแล้วว่าคนทั้งคู่ตัดสินใจยอมตายไปด้วยกัน
ทันใดนั้นค่ายกลรูปดาวหกแฉกก็พลันเปล่งแสงจ้า ท้องฟ้ากลายเป็นสีเลือดหม่น อีกาทมิฬเคล้าไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายบินวนอยู่เหนือศีรษะ ส่งเสียงครวญครางน่าเวทนา ราวกับกำลังไว้ทุกข์ให้ชีวิตทั้งหลายที่กำลังจะสิ้นลงในไม่ช้า
“เฟยเอ๋อร์ อย่ายืนอยู่ตรงนั้น!” ทันใดนั้น ม่อจิ่งอวี้ก็คว้าแขนนางไว้แล้วดึงนางไปด้านหลัง จากนั้นกระแทกหนึ่งฝ่ามือเข้าปะทะโครงกระดูกสีเลือดที่พุ่งเข้ามา
โครงกระดูกนับพันพลันคลานออกมาจากกลางค่ายกลที่โครงกระดูกสีเลือดยืนอยู่ พวกมันหัวเราะเสียงน่าขนลุก ก่อนจะล้อมคนทั้งสองไว้ เผยกลิ่นอายชั่วร้ายน่าขวัญผวา กลิ่นอายเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิญญาณทุกข์นับหมื่นที่ถูกพวกมันกลืนกินลงไป สามารถโจมตีจิตใจคนได้ ทำให้ไม่มีจิตคิดต่อสู้อีกต่อไป
มันทำให้รู้สึกราวกับไร้หวังใดหลงเหลือ เห็นแต่ภาพความเลวร้ายที่อย่างไรก็จะต้องเกิด
ม่อจิ่งอวี้ประมาทความบ้าบิ่นของสตรีนางนี้ต่ำไป อีกทั้งยังประเมินพลังของค่ายกลต่ำไปกว่าความเป็นจริง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าค่ายกลโบราณที่มีแต่ในตำนาน มาวันนี้จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาให้เห็นกับตา
นัยน์ตากระจ่างของเขาหม่นแสงไปชั่วขณะ ไม่อาจเห็นสิ่งใด มีแต่เพียงภาพการฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือดเท่านั้น จังหวะนั้น เขาเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารเท่านั้น จิตใจของเขามืดบอดไปจนสิ้น
เมื่อเห็นหญิงสาวใบหน้างดงามที่กำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาเป็นกังวล คำสั่งเดียวในหัวเขาก็พลันกระจ่าง สังหารเสีย!
ดวงตาของม่อจิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดเช่นเดียวกับท้องฟ้าด้านบน ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ยามมองชิงหลานเฟย ดาบเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือ เขาชี้มันไปทางนางทันที
ชิงหลานเฟยพลันมีสีหน้าตกตะลึง “จิ่งอวี้…”
น้ำเสียงยามเขาตะโกนออกมาช่างเย็นชานัก “ตายเสีย!”
“จิ่งอวี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ชิงหลานเฟยไม่คิดหลบเลี่ยง เพียงแต่ยืนเอ่ยถามเขาอยู่เช่นนั้น นัยน์ตาไม่เผยความกลัวสักเสี้ยวหนึ่ง
เพราะนางรู้ว่าชายคนนี้ไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน
เป็นไปตามคาด เมื่อเห็นว่านางยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ม่อจิ่งอวี้ก็เผยความลังเล ก่อนบนใบหน้าจะเจือรอยโศก จากนั้นเขาก็เค้นคำพูดออกมา “เฟยเอ๋อร์ ไปซะ! รีบไป…..”
ชิงหลานเฟยไม่สนใจคำเหล่านั้น นางซัดพลังใส่โครงกระดูกที่ล้อมรอบคนทั้งคู่อยู่ทันที โครงกระดูกทั้งหลายมุ่งโจมตีนาง ต่างซัดพลังมาทางนางทั้งสิ้น
แม้นางจะเป็นสตรีคนเดียวเผชิญหน้ากับศัตรูนับไม่ถ้วน หากแต่พลังบำเพ็ญของชิงหลานเฟยก็ไม่ได้ต่ำต้อย นางไม่ได้อ่อนแอบอบบางเช่นรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์มีฝีมือคนหนึ่งแห่งแดนเมฆาสวรรค์ ทว่าตอนนี้นางติดอยู่ในค่ายกลโบราณ ราวกับถูกมัดมือมัดเท้า เสียเปรียบจต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่บ้าง
อาจเพราะเห็นว่านางยังยืนหยัดอยู่ได้ เสียงหัวเราะของสตรีนางหนึ่งก็ดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ ศัตรูในเงามืดเผยอริมฝีปากร่ายคาถาออกมา
พริบตาต่อมา โครงกระดูกสีเลือดที่อยู่กลางค่ายกลก็เปล่งแสงสีแดงวาบขึ้นมา โซ่ตรวนเหล็กหนักหน่วง หนาเท่าแขนบุรุษ อีกทั้งยังมีหนามแหลมคมก็พุ่งเข้ามารัดแขนชิงหลานเฟยไว้ในพลัน
คาถาผูกมัดถูกร่ายไว้บนโซ่เหล่านั้น หากถูกมันพันธนาการหัวไหล่แล้ว ไม่เพียงแต่จะสูญสิ้นแรงกายที่เคยมี แต่พลังบำเพ็ญยังถูกทำลายลงเรื่อย ๆ ไม่อาจฟื้นคืนพลัง จนสุดท้ายต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
มีหรือที่ชิงหลานเฟยจะไม่รู้จักการโจมตีนี้?
สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที พยายามหลบโซ่ที่ไล่ล่านางราวกับมีตาเห็นอย่างสุดชีวิต
ม่อจิ่งอวี้ยังคงทรมานกับคำสาป ด้วยหัวใจเขากำลังถูกกลืนกิน อีกทั้งยังถูกค่ายกลตรึงเอาไว้ แทบกดความต้องการสังหารเฟยเอ๋อร์เอาไว้ไม่อยู่ เขากำลังพยายามกดความกระหายนั้นไว้ นัยน์ตาเขาจ้องนิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
ตรงนั้นไร้ผู้ใด แต่ด้วยนางร่ายคำสาปใส่เขาไว้ เขาจึงรู้ว่านางอยู่ตรงนั้น
ดวงตาม่อจิ่งอวี้พลันเข้มขึ้น “ชิงลั่วเยี่ยน นางเป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าอยากสังหารนางมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“น้องสาวหรือ? นับแต่ที่นางช่วงชิงท่านไป นางก็ไม่ใช่น้องสาวของข้าอีก” หญิงสาวหัวเราะเหยียด
“ข้าเป็นคนที่คอยตามตอแยนางไม่หยุดเอง นางไม่ได้เกี่ยวอะไร หากเจ้าจะเกลียดใคร เจ้าเกลียดข้าเถอะ!”
“ฮ่า ๆ ๆ…..”
นางหัวเราะลั่นคล้ายเสียสติอยู่นาน จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยนไร้พิษภัยเช่นนางคนเดิม “จิ่งอวี้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยถามท่านแล้ว ข้าไม่รังเกียจที่ท่านอยู่กับหลานเฟย เพราะข้ากับนางต่างก็เป็นพี่น้องกัน ในเมื่อพวกข้าสองพี่น้องตกหลุมรักบุรุษคนเดียวกัน เช่นนั้นให้พวกเราทั้งสามคนมีความสุขด้วยกันไม่ได้หรือ? ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม”
“แต่ตอนนั้นท่านว่าไว้อย่างไร? บอกว่าท่านมีนางเพียงคนเดียวในหัวใจ ไม่อาจมีที่ว่างให้ใครอื่นอีก? ฮ่า ๆ… มีตรงไหนที่ข้าเทียบนางไม่ได้บ้าง? ทั้งหน้าตาหรือนิสัยใจคอ ข้าดีกว่านางทุกอย่าง แล้วทำไมท่านถึงต้องตกหลุมรักนางด้วย!?”
“ท่านทรยศข้า หลานเฟยก็ทรยศข้า คนสองคนที่ข้ารักที่สุด กลับเป็นคนที่ทำร้ายข้าลึกล้ำที่สุดเช่นกัน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าสองคนออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไร!?”
ม่อจิ่งอวี้หรี่ตาลง เหลือบมองหญิงสาวอีกด้านที่กำลังพยายามหลบโซ่ตรวนที่พุ่งเข้าใส่อย่างสุดความสามารถ ทันใดนั้น มือโครงกระดูกจำนวนมากก็พุ่งขึ้นจากพื้น คว้าข้อเท้านางไว้ได้จนนางไม่อาจเคลื่อนกายหนีได้อีก
โซ่ที่มีตะขอแหลมพลันพุ่งเข้าใส่หัวไหล่ชิงหลานเฟยทันที นางเบิกตากว้าง หน้าซีดลงทันที
เมื่อร่างกายเย็นยะเยือก ใบหน้าไร้สีเลือด ร่างชุ่มเลือดอุ่น ๆ ของคนผู้หนึ่งก็พลันสวมกอดนางจากด้านหลัง
ร่างอบอุ่นของเขากระตุกรุนแรงครั้งหนึ่งก่อนจะแข็งค้างไป แม้ว่าจะเป็นเสียงเบานัก แต่นางก็ยังได้ยินเสียงในลำคอที่เขากัดฟันข่มไว้ ได้ยินเสียงตะขอแหลมเกี่ยวเข้าร่าง มันช่างเจ็บปวดใจนัก
“จิ่งอวี้…”
ชิงลั่วเยี่ยนพลันออกมาจากที่ซ่อน ใบหน้างดงามของนางมีน้ำตานองหน้า มองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตน “ทำไมท่านจึงโง่เขลาเช่นนี้!”
ชิงหลานเฟยเพิ่งจะตั้งสติได้ พบว่าคนที่สวมกอดนางจากด้านหลังก็คือจิ่งอวี้
แขนที่โอบร่างนางไว้แผ่วเบาค่อย ๆ คลายออก ก่อนเสียงดัง ‘ตุบ’ จะดังขึ้น เป็นเสียงเขาทรุดลงกับพื้น
ชิงหลานเฟยหันไปมองท่าทางแข็งค้าง ก่อนจะรู้สึกว่าสายตานางพลันพร่ามัว
เสื้อคลุมสีดำของเขาชุ่มไปทั้งตัว ที่ชายชุดมีของเหลวสีแดงหยดลงพื้นไม่หยุด เปลี่ยนพื้นดินกลายเป็นสีแดงฉาน
เขาคุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่ง ก้มหน้าลงต่ำ ไหล่ทั้งสองข้างถูกโซ่เหล็กขึงไว้แน่นหนา ท่ามกลางเลือดชุ่มโชกและเนื้อหนังที่ปริแยกออก บาดแผลเผยให้เห็นลึกถึงกระดูกสีขาว
ในตอนนั้นหูทั้งสองของนางไม่อาจได้ยินเสียงใด
นางยืนตะลึงอยู่เช่นนั้น มองชายหนุ่มที่ทรุดตัวก้มหน้าลงกับพื้น เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับตายไปแล้ว
นั่นมัน… ม่อจิ่งอวี้…..
ชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งทรงพลังที่อยู่เหนือใครอื่นในใต้หล้า ชายหนุ่มที่จดจำคำพูดที่นางเอ่ยไปอย่างนั้นเมื่อนานมาแล้วได้ทุกคำพูด ชายหนุ่มที่นางรักสุดหัวใจ
คนที่จู่ ๆ ก็ยัดเยียดตนเองเข้ามาในชีวิตนางเช่นนั้น…
ชายที่นางหลงรักเข้ากระดูก
เป็นบุรุษของนาง ของชิงหลานเฟย
นัยน์ตานางแดงก่ำราวกับกำลังจะร้องไห้ ทว่านางพยายามกลั้นมันไว้อย่างสุดความสามารถ นางเดินเข้ามาช้า ๆ หมอบลงข้าง ๆ เขา แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ่งอวี้”
“ท่าน… .. หันมามองข้าได้หรือไม่?”
“อย่านิ่งเงียบไปแบบนี้สิ? ข้าจะทำตัวดี ๆ เชื่อฟังท่านแล้ว อย่าเมินข้าอีกเลย”
น้ำเสียงนางสั่นสะท้าน น้ำตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อ เป็นเสียงที่เจือด้วยแววโอนอ่อน อย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน