ไม่ว่านางจะอ้อนวอนขอร้องเท่าไหน แต่ชายหนุ่มก็ไร้การตอบสนอง
ร่างบางนางสั่นน้อย ๆ ชั่วอึดใจหนึ่งจึงยื่นมือไปอังใต้จมูกที่เย็นเฉียบ ราวกับร่างเขาได้แข็งไปแล้ว
ที่ด้านนอกค่ายกล ชิงลั่วเยี่ยนกรีดร้องเสียงสะท้านจิตขึ้น แต่น่าเสียดายว่าค่ายกลนี้เมื่อเปิดใช้แล้วก็ไม่อาจมีใครเข้าไปได้อีก ดังนั้นนางจึงได้แต่ยืนมองอยู่ไกล ๆ มองเขาทรุดลงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น นางทรมานจนหายใจแทบไม่ออก
นางไม่ได้ตั้งใจ นางไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้
นางน่าจะรู้ว่าจิ่งอวี้ไม่มีทางยืนมองชิงหลานเฟยตายโดยไม่ทำอะไรแน่ นางน่าจะรู้ว่าคำสาปที่นางร่ายไปทำให้ร่างเขาว่างเปล่าเหลือเพียงเปลือก เขาร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น มีหรือจะสามารถต้านโซ่ตรวนที่ลงคาถาเอาไว้ได้
ชิงหลานเฟยอาจรอดชีวิต แต่หากเป็นจิ่งอวี้ก็มีแต่ตายเท่านั้น
ที่นางไม่ทันคิดคือแม้เขาจะรู้ว่าตนเองไม่อาจต้านการโจมตีได้ แต่กลับกระโดดเข้ามารับมันแทนชิงหลานเฟยอย่างไร้ความลังเล พุ่งเข้าสู่ความเจ็บปวดและความตายด้วยตนเอง
ทำไมกัน? ทำไมเขาถึงได้โง่เขลาเช่นนี้!?
นางเพียงอยากให้เขารักนางเพียงสักนิด อยากให้มองนางมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่เขากลับขอยอมตายแทนที่จะยอมอยู่กับนางสักเสี้ยววินาทีหนึ่งเลยหรือ? เขาเกลียดชังนางขนาดนั้นเลย?
ภายในค่ายกล ชิงหลานเฟยยืนนิ่งไปนาน ผ่านไปหลายชั่วอึดใจ ราวกับถูกคลายจุด นางค่อย ๆ โอบร่างชายหนุ่มไว้อย่างระมัดระวัง “หนาวหรือไม่? เช่นนั้นท่านไม่ต้องหนาวเหน็บอีกต่อไปแล้วจิ่งอวี้ ข้าจะไปอยู่กับท่านเอง ท่านไม่ต้องกลัว”
“ข้าไม่ปล่อยให้ท่านต้องไปที่นั่นเพียงลำพังหรอก อีกไม่นานข้าจะตามไป ตกลงไหม?”
ชิงหลานเฟยฟุบลงกับไหล่ชายหนุ่ม ที่มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนงดงาม แขนทั้งสองข้างที่ห้อยไร้เรี่ยวแรงพลันยกขึ้นโอบนางไว้ ร่างชิงหลานเฟยชะงักค้างไปในพลัน
มือใหญ่เย็นเฉียบโอบแผ่นหลังนางไว้แผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนระโหยเอ่ยกระซิบข้างใบหู “อย่าทำอะไรโง่ ๆ”
ชิงหลานเฟยเอ่ยเสียงสั่น “จิ่งอวี้?”
เขาไอเบา ๆ ออกมาสองสามครั้ง ดูคล้ายกับสะกดกลั้นไว้ รออยู่นางกว่าจะเอ่ยขึ้นได้อีกครั้ง “เฟยเอ๋อร์ ข้าบอกไปหรือยังว่าข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน?”
สิ้นประโยคนั้น ร่างทั้งร่างเขาก็แข็งค้างไปอีกครั้ง ก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือกำอกแน่น นั่นยิ่งทำให้ตะขอเกี่ยวร่างลึกลงไปอีก ส่งผลให้เลือดยิ่งไหลเนื้อยิ่งปริแตกกว่าเดิม
ชิงหลานเฟยเจ็บปวดใจจนหลั่งน้ำตา ไม่อาจฝืนกลั้นมันไว้ได้อีก “อย่าขยับ! ท่านไม่ต้องขยับแล้ว! บอกข้ามาว่าเจ็บตรงไหน…..”
แต่เขากลับไม่อาจเอ่ยคำได้อีก เมื่อมองดูใต้นิ้วมือที่กำอกตนแน่นของเขาแล้ว นางเห็นว่ามีบางอย่างกำลังเต้นตุบ ๆ อยู่ภายใต้ชุดคลุมดำไม่หยุด
สีหน้านางเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว รีบแหวกเสื้อเขาออก ก่อนจะหรี่ตาลงทันที
ที่ภายในอก บางอย่างสีดำสนิทกำลังขยับเคลื่อนไปมาราวกับว่ามันอยากกระโจนออกจากร่างนี้เต็มแก่ ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว ม่อจิ่งอวี้ก็หน้าซีดลงเรื่อย ๆ
นางพลันนึกถึงคำที่ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยไว้เมื่อก่อนหน้าขึ้นได้ เมื่อคำสาปรักถูกร่ายไว้แล้ว คนถูกสาปจะไม่อาจเข้าใกล้คนที่ตนรักได้อีก กระทั่งคิดหรือเอ่ยถึงก็ยังไม่ได้ หากทำเช่นนั้นแล้วก็จะถูกคำสาปกลืนกิน เจ็บปวดแสนสาหัส
แม้นางจะเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ แต่ก็ไม่เคยพบคำสาปเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงไม่คิดคลายคำสาปโดยไม่ระวังมือ นางกลั้นน้ำตาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน เจือแววสิ้นหวังอยู่เล็กน้อย “จิ่งอวี้ ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยท่านได้…..”
“เฟยเอ๋อร์ สัญญากับข้าว่าเจ้าจะใช้ชีวิตต่อให้ดี…..” ม่อจิ่งอวี้กระซิบข้างใบหู
ชิงหลานเฟยกัดริมฝีปากแน่น “หากท่านตายไป ข้าก็ไม่อยากอยู่คนเดียว”
ร่างเขาเกร็งขึ้นอีก คว้าไหล่นางไว้แน่น จ้องนัยน์ตานาง “สัญญากับข้า”
“จิ่งอวี้……”
“สัญญาสิ!” เขาเกือบตะคอกเสียงโกรธออกมา นัยน์ตาแดงก่ำ
เขารักและเอาอกเอาใจนางมาตลอด นับเป็นครั้งแรกที่เขาตะคอกใส่นางเช่นนี้
ชิงหลานเฟยชะงักไป นางหลบตาเขาไม่ตอบคำ
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าอยากให้ข้าตายไปทั้งที่ยังเสียใจเช่นนี้หรือ?” ราวกับรู้ว่านางกำลังไม่ยอมตกลงอยู่ในใจ ม่อจิ่งอวี้พลันหัวเราะเสียงแผ่ว เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา
“ข้าอยู่ต่อได้อีกไม่นานแล้ว คาถาผูกจิตผนึกพลังในกายข้า คำสาปรักก็หลอมรวมกับร่างข้าแล้ว มีแต่ข้าต้องตายมันจึงจะตายไปพร้อมกับข้า ไม่เช่นนั้นมันก็จะอยู่ต่อไปในร่างข้าเช่นนี้” ม่อจิ่งอวี้จับมือนางแน่น จากนั้นส่งกริชเล่มหนึ่งให้นางกำไว้ “เรื่องนี้มีแต่เจ้าที่ทำได้”
ชิงหลานเฟยดึงมือออกทันที ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีผุดขึ้นมา
“มีแต่เจ้าสังหารข้า ถูกทรยศจากคนที่ข้ารัก ใจข้าจึงจะเสียกำลังที่มีไปจนหมด สุดท้ายจึงจะทำลายคำสาปได้”
ถูกคนที่เขารักที่สุดสังหาร
ชิงหลานเฟยรีบเก็บกริชเล่มนั้นไป ร้องเสียงแหบแห้งออกมา “ข้าไม่อยากทำ!”
“ยิ่งเจ้ายื้อ ข้าก็ยิ่งคิดเรื่องเจ้า ยิ่งทุกข์ทรมานกับคำสาปกลืนกินนี่มากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าต้องตายอย่างน่าสยดสยองเป็นแน่ เหลือเพียงกองกระดูก ถูกอสูรฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ…..”
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว! ไม่ต้องพูดแล้ว…..” ชิงหลานเฟยยกมือขึ้นปิดปาก ได้ยินคำเขาแล้วแทบคุมสติไม่อยู่ บนใบหน้างามมีแต่ความเจ็บปวดทรมาน “เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนี้! ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ?”
บางทีอาจไร้หนทางอื่นแล้ว ในอกม่อจิ่งอวี้นั้น เห็นได้ชัดว่าทากคำสาปกำลังเคลื่อนตัวอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเนื้อเป็นรอยนูนขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาจะเจ็บปวดมากเพียงไหน
ไม่….. นางไม่อยากทำเช่นนั้น นางทำไม่ลงหรอก นางทำเช่นนั้นไม่ได้!
ชิงหลานเฟยได้แต่เซถอยไปหลายก้าว ร่างแข็งเกร็งขึ้นในพลัน ราวกับว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้านางไร้แววฝืนทนกล้ำกลืน นางก้มลงเก็บกริชที่นางโยนทิ้งไป นัยน์ตาไร้ความรู้สึก จากนั้นเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทีละก้าว
ม่อจิ่งอวี้เผยรอยยิ้มมุมปาก จ้องมองนางด้วยความรัก ด้วยสายตาอ่อนโยนยิ่ง
จนกระทั่งปลายแหลมของกริชสั้นเสียบเข้าอกเขาไว้ โลหิตแดงฉานก็พุ่งออกมา เลือดอุ่น ๆ กระเซ็นเลอะใบหน้าชิงหลานเฟย นางพลันฟื้นคืนสติราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน
นางสังหารเขาด้วยสองมือนี้จริง ๆ
เมื่อครู่ จิตใจนางว่างเปล่า ไม่รับรู้สิ่งใด พอตั้งสติได้ ในมือก็ถือกริช ด้านแหลมเสียบร่างชายที่นางรักไปแล้ว อีกทั้งยังเสียบลึกจนถึงด้ามจับ ไม่รู้ว่ากริชนั้นแทงเข้าร่างลึกถึงไหนเพียง
ทากคำสาปสีดำไหลออกมาจากร่างพร้อมกับเลือดมากมายที่พุ่งออกมา เขานอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่าตายไปแล้ว
มีแต่ข้าต้องตายมันจึงจะตายไปพร้อมกับข้า…..
นี่เขา…..
“จิ่งอวี้”
“จิ่งอวี้”
“จิ่งอวี้ ตอบข้าสิ?”
“ข้ากลัว จิ่งอวี้ ข้าสังหารท่านไปแล้วจริงหรือ? เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความจริงใช่หรือไม่?”
“จิ่งอวี้ ท่านบอกว่าจะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิต ว่าจะไม่ทอดทิ้งข้า”
“ท่านบอกว่า….. ในใต้หล้านี้ไม่มีใครรักข้าไปมากกว่าท่านแล้ว”
“ท่านบอกว่าอยากได้ลูกสาวงดงามเหมือนข้า อยากได้ลูกชายหล่อเหลาเหมือนท่าน”
ชุดสีแดงจัดของนางกระจายคลุมพื้นรอบคนทั้งสองเป็นวงกว้าง เงาสีแดงเข้มเองก็กระจายตัวออกไป ด้วยโลหิตยังคงหลั่งไหลออกมาจากร่างเขาเรื่อย ๆ
นางช้อนคอเขาไว้ กอดร่างที่เย็นชืดราวน้ำแข็ง ก้มลงกระซิบข้างหูเขาที่แทบไม่ได้ยินสักคำ ราวกับหมายจะให้คนรักของนางได้ยินเท่านั้น “เดิมทีข้าอยากทำให้ท่านตกใจ”
“ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ เป็นไปอย่างที่ท่านต้องการทุกอย่าง พวกเขาเป็นเด็กแฝด อายุครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว”
“สามีข้า ได้ยินเช่นนี้ท่านยินดีหรือไม่?”
ขอบตานางแดงก่ำ สะอึกสะอื้นจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำได้อีก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกเขาว่าสามี แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจได้ยินนางอีกต่อไป
“ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ว่าข้าเองก็รักท่านเช่นกัน? ข้ารักท่านมาก” ชิงหลานเฟยเอ่ยยิ้ม ๆ จ้องมองใบหน้าชายหนุ่มที่หลับตาสนิท น้ำตาไหลอาบสองแก้มงาม
ทว่าช่างน่ากลัวนัก มันเป็นน้ำตาสีโลหิต
ทันใดนั้น แสงทองสว่างจ้าก็สว่างวาบออกมาจากร่างหญิงสาว ปกคลุมท้องฟ้าสีเลือดไว้จนหมด มันสว่างมากจนกระทั่งไม่อาจเห็นคนทั้งสองในค่ายกลได้อีกต่อไป
นั่นมันอะไรกัน?
ชิงลั่วเยี่ยนเบิกตากว้าง มองเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ไม่นาน เสียงหญิงสาวก็ดังขึ้นมาจากในค่ายกล มันดังแว่วมาราวกับเดินทางมาจากสถานที่โบราณอันห่างไกล
“ขอเลือดข้าจงผสานร่างเขาขึ้นใหม่ ขอวิญญาณข้าส่งให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยพลังบำเพ็ญนับร้อยปีและกายเนื้อข้าขอยอมพลี ผนึกความทรงจำของลูก ๆ ข้า หยุดยั้งการเติบโตไว้ ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตใหม่ ในโลกอีกใบหนึ่ง เติบโตอย่างมีความสุข ปลอดภัย และไร้กังวล”
สิ้นคำนาง นางก็แผ่มือสองข้างออก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ชุดสีแดงจัดกระพือไปราวกับถูกลมแรง ราวกับหงส์ไฟร่ำไห้เป็นสายเลือด ราวกับว่าเผยความงดงามเจิดจรัสก่อนจะตายลง
ยังมีวิชาลับที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นวิชาต้องห้ามมิอาจให้ผู้ใดใช้ แต่หากมีใจซื่อตรงมั่นคงมากพอก็จะสามารถถือครองพลังอันยิ่งใหญ่ มีพลังท้าทายสวรรค์ เปลี่ยนชะตาได้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในเงื้อมมือพวกเขา แต่คิดใช้วิชาต้องห้ามย่อมต้องจ่ายค่าราคาสูง พบกับจุดจบไม่น่าอภิรมณ์
ชิงหลานเฟย….. เสียสติไปแล้วหรือ?
นางรู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่?
ชิงลั่วเยี่ยนส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ นางคิดผิดไปหรือ? คนทั้งสองยินยอมพร้อมใจจะทำเพื่ออีกฝ่ายถึงขนาดนี้ ดูท่าจะยังมีสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามีค่าความสำคัญกว่าชีวิตตนเองอยู่
นั่นก็คือความรัก เป็นสิ่งที่ทำร้ายบุรุษนับไม่ถ้วน ทำลายหัวใจสตรีทั้งหลายจนแหลกสลาย เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานนับแต่ช้านานมา เป็นพิษที่ร้ายแรงกว่ายาพิษใด ๆ
แสงสว่างค่อย ๆ จางลง พริบตานั้นร่างนางก็ล้มลงกับพื้นราวกับหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง ทว่านางฝืนความเจ็บปวดที่กำลังกัดกินร่างเอาไว้ พยายามลากร่างตนไปข้างหน้าเพื่อซบลงกับร่างชายหนุ่มแล้วกอดเขาไว้แน่น แต่แล้วนางก็พลันกระอักเลือดออกมา
“ข้าขอโทษด้วย ข้าจะปล่อยท่านไว้ในสถานที่อันโดดเดี่ยวหนาวเหน็บคนเดียวได้อย่างไรกัน?”
“จิ่งอวี้ อภัยให้กับความเห็นแก่ตัวของข้าด้วย ข้าเห็นท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปพร้อมกับความเจ็บปวด ดีกว่าทนเห็นท่านตายไปต่อหน้าข้า เช่นนั้นมันโหดร้ายต่อข้าเกินไป”
“หากข้ายังมีโอกาสกลับมา ถึงตอนนั้น…… พวกเราอยู่เคียงข้างกันตลอดไปเลยได้หรือไม่?”
เงาร่างโปร่งแสงหลายเงากำลังลอยออกจากร่างนางไป พวกมันคือแก่นวิญญาณที่กำลังโบยบินออกจากร่างของนาง เป็นสิ่งที่นางต้องใช้ยามใช้วิชาต้องห้าม อีกไม่นาน….. เลือดในกายนางจะไหลออกมาจนหมด พลังบำเพ็ญถูกทำลายสิ้น กลายเป็นร่างเปล่าไร้ค่าที่ค่อย ๆ ตายจากไป
แต่นางไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้สักนิด
เป็นตอนนั้นเองที่ความทรงจำของนางหยุดชะงักลง
ชิงหลานเฟยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองชายหนุ่มที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงน้ำแข็ง ดูแล้วเป็นบุรุษที่อ่อนโยนผู้หนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ นางพลันคลี่ยิ้มออกมา
ม่อจิ่งอวี้…..
เขายังมีชีวิตอยู่ เขาฟื้นคืนชีวิตแล้วจริง ๆ
ถึงตอนนี้เขาจะไร้การตอบสนองใด แต่ก็ยัง….. หายใจอยู่ หมายความว่าสักวันหนึ่งต้องฟื้นขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่รู้เลยว่าบาดแผลเขาสาหัสถึงเพียงไหนจึงหลับมานานนับร้อยปีโดยไม่ลืมตาตื่นสักครั้ง
ชิงหลานเฟยซบลงบนอกชายหนุ่ม ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเสียงเบานัก ในใจรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในที่สุด….. ก็ได้พบกันอีกครั้ง
จิ่งอวี้ ไม่ว่าจิตใจข้าจะขุ่นมัวสับสนมานานกี่ปี แต่ทันทีที่ข้าได้พบท่าน ข้าก็จำเรื่องทุกอย่างได้
หากแต่ความสงบสุขเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน ประตูที่ปิดแน่นสนิทพลันถูกกระแทกออก จากนั้นเสียงฝีเท้าทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาด้านใน