เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดแดงยืนอยู่ข้างเตียงน้ำแข็ง ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน!
ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม แล้วนางกล้าเข้ามาได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าจะถูกสังหารหรือ?
อีกทั้ง… นางรู้หรือไม่ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นใคร? กล้าเอนร่างซบเขาอย่างสนิทสนมเช่นนี้ โอหังนัก!?
เมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวาย ชิงหลานเฟยจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู เมื่อใบหน้างามไร้ที่ติเงยขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงไป คิดว่าตนได้พบกับเทพเซียนก็มิปาน
ว่ากันว่าคนชนเผ่าหมานนั้นมีหน้าตาอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นอสูรในคราบมนุษย์ แต่นั่นก็เพราะคนเถื่อนเหล่านี้รักสันโดษ คำบอกเล่าเหล่านี้ก็ได้ยินกันปากต่อปากเท่านั้น แท้จริงแล้วในเผ่าไม่มีใครที่หน้าตาอัปลักษณ์เป็นพิเศษสักคน ที่แย่ที่สุดมองดูแล้วก็มีหน้าตาธรรมดาเท่านั้น
ส่วนคนรูปงามนั้นในเผ่าไม่เคยขาด แค่มองคนที่นอนอยู่บนเตียงก็น่าจะรู้ได้แล้ว เขาเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในเผ่า และแม้จะเป็นบุรุษ แต่ก็ยังดูมีเสน่ห์ไม่ว่าสตรีในเผ่าคนไหน ๆ เป็นที่เลื่องชื่อยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้ ใบหน้าของสตรีตรงหน้าพวกเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงแม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังสวมชุดสีแดงเพลิงน่ามอง คล้ายกับอาทิตย์ผู้ถือตน เผยกลิ่นอายหยิ่งยโสเย็นชาล้อมรอบกาย งามราวกับเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า งามจนไม่อาจละสายตาไปได้
ทว่าชายวัยกลางคนที่นำหน้าพวกเขามากลับมีใบหน้าแข็งกร้าวไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ดูประหลาดใจ เขาทำท่าคล้ายกับในใจจะนึกบางอย่างออก ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ชิงหลานเฟย ยัยแม่มด! เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
ชิงหลานเฟยชะงักไปชั่วขณะ ฉงนที่เขาจำนางได้ แม้ตัวนางเองจะรู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่บ้างเช่นกัน
นางยังไม่ทันนึกออก ชายวัยกลางคนก็หน้าทะมึน เอ่ยเสียงเข้มออกมา “ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้แล้วยังไม่พอ เจ้ายังกล้าไล่ตามเขามาถึงที่ชนเผ่าหมานอีกงั้นหรือ? เจ้าปฏิเสธหนทางไปสู่สวรรค์ เลือกเดินลงนรกเสียแล้ว! ทหาร! จับนางไว้แล้วเอาไปขังไว้ที่คุกน้ำแข็ง!”
ทุกคนยังไม่ทันได้รู้ตัวตนของสตรีงาม หัวหน้าเผ่ากลับออกคำสั่งมาแล้ว พวกเขาหลุดออกจากภวังค์ตกตะลึง ไม่กล้าขัดคำสั่งหัวหน้าเผ่า ดังนั้นจึงตรงไปจับตัวนางไว้ทันที
เพียงก้าวเข้าใกล้ไปไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันได้ออกสักกระบวนท่า กลับพบว่าพวกตนถูกแสงจ้าส่องประกายหนาวเหน็บเหวี่ยงร่างออกมา
ทุกคนไม่ทันระวัง ถูกเหวี่ยงร่างออกไปทันทีจนร่างกระแทกพื้นแข็ง ร้องเสียงเจ็บปวดขึ้นมาทันใด เกิดอะไรขึ้นกัน?
ชิงหลานเฟยเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน นัยน์ตางามเบิกกว้าง ประหลาดใจกับภาพที่ได้เห็น
นางเห็นสีหน้าชายวัยกลางคนพลันเปลี่ยนสีไป เขาเองก็ถูกแสงจ้าเมื่อครู่เข้าโจมตีจนร่างเอนไปเล็กน้อยเช่นกัน โชคดีที่เขาหลบได้อย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นก็คงลงเอยเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังที่มองไม่เห็นอย่างน่าอับอาย ถึงตอนนั้นก็อาจต้องยอมทิ้งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าด้วยความละอายไปเสียก็เป็นได้
“ให้ตายเถอะม่อจิ่งอวี้ เจ้านอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่เช่นนี้ แต่ยังคิดปกป้องนางอีกหรือ? สมควรแล้วที่ต้องนอนนิ่งอยู่นับร้อยปี!” ชายวัยกลางคนพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อโกรธ ๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
ทุกคนหันหน้ามองตากัน ก่อนจะรีบเดินตามเขาออกไป
คนผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “หัวหน้าเผ่า แล้วสตรีในนั้นเล่า? ยังต้องจับขังคุกน้ำแข็งหรือไม่?”
พลันได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของชายวัยกลางคนดังขึ้น “ขังอะไรกัน? ไม่เห็นหรือว่าไอ้พวกไร้ประโยชน์นั่นยังเข้าใกล้นางไม่ได้? เจ้าอยากจับตัวเองขังคุกหรือไร?”
ทุกคน “…..”
ทำไมหัวหน้าเผ่าถึงเรียกพวกเขาว่าไอ้พวกไร้ประโยชน์เล่า? ตัวท่านเองก็เข้าใกล้นางไม่ได้เช่นกันไม่ใช่หรือ? เช่นนั้น… ท่านหัวหน้าก็เป็น… ไอ้คนไร้ประโยชน์ด้วยงั้นหรือ?
สุดยอดไปเลยท่านหัวหน้า! ท่านเป็นหัวหน้าเผ่า พูดอะไรออกมาก็ถูกต้องทั้งนั้น หากท่านเอาแต่ฉุนเฉียวใส่ลูกน้องเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ทุกคนสับสนกว่าเดิม ท่านไม่รู้หรือ?
พริบตาเดียว ทุกคนก็หายไปจนหมด
ชิงหลานเฟยหันกลับมา ลดสายตาลงมองบุรุษบนเตียงน้ำแข็ง มือบางกุมมือเขาไว้แน่น ทว่าความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่นางแตะต้องตัวเขา ครั้งนี้ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใดแผ่ออกมาอีก
นอกจากรู้สึกว่ามือเขาเย็นลงกว่าเดิมเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกว่าผิวมือเขานุ่มนัก
“จิ่งอวี้ ท่านได้ยินสิ่งที่ข้าพูดใช่หรือไม่?”
“คราวนี้ให้ข้าเป็นฝ่ายติดตามท่านไปบ้างดีหรือไม่? ข้าจะรอจนกว่าท่านจะตื่น ตื่นขึ้นมาแล้วท่านจะได้เห็นหน้าข้าได้ทันที เช่นนั้นท่านจะมีความสุขใช่หรือไม่?”
นางเพิ่งจะพูดจบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เมื่อจู่ ๆ นางก็รู้สึกว่ามือที่จับอยู่กระตุกเล็กน้อย
—————————–
ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดเมื่อชาติก่อนขัดเกลาชิงอวี่ให้เป็นคนนอนตื่นแต่เช้าตรู่ ไม่ว่าจะเข้านอนดึกเพียงไหน นางก็มักตื่นแต่รุ่งสาง ตื่นแล้วก็ไม่อาจกลับไปหลับตานอนได้อีก
หลังจากที่พักอยู่ในหอเมฆาเคลื่อนมาได้สองวัน โหลวจวินเหยาก็พบว่าแม่นางน้อยเป็นคนที่ตื่นเร็วมาก แต่วันนี้ผ่านยามเช้ามาครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากห้องนางเลย
ชิงอวี่เลือกห้องที่อยู่ด้านในบนชั้นสองที่สงบเงียบกว่าเล็กน้อย ห้องของโหลวจวินเหยาอยู่ชั้นสาม ยามเดินลงมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาชิงอวี่ เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางถามขึ้น “จิ้งจอกน้อยออกไปไหนงั้นหรือ?”
“ข้าไม่เห็นนางเลย หรือนางจะตื่นสาย?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงอู้อี้พลางยัดเปาะเปี๊ยะเข้าปาก จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียกคน “เหลียนจี ไปห้องแม่นางน้อยที ไปดูว่านางตื่นหรือยัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลียนจีก็รับทราบและเดินขึ้นบันไดไป แต่ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากด้านบน ได้ยินเสียงร้อนรนของเหลียนจีดังตามมา “นายท่าน แม่นางน้อยดูไม่ปกติ ข้าเรียกอย่างไรนางก็ไม่ยอมตอบ”
โหลวจวินเหยารีบลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ส่วนไป๋จือเยี่ยนก็รีบกลืนเปาะเปี๊ยะแล้วเดินตามไปติด ๆ
เด็กสาวนอนอยู่บนเตียง มือทั้งสองวางไขว้กันบนหน้าท้อง ท่าทางนางกำลังหลับอย่างสงบ ยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับที่ปลายริมฝีปากอีกด้วย ดูกำลังฝันดีทีเดียว หากไม่สนใจใบหน้าที่ซีดขาวจนผิดปกติของนางก็คงคิดว่านางเพียงหลับไปเท่านั้น
สายตาโหลวจวินเหยาทะมึนลง เดินเข้าไปยังข้างเตียงของเด็กสาว ฝีเท้าของเขาค่อนข้างหนัก แต่เด็กสาวกลับไม่รู้สึกอะไร ปกตินางจะมีความตื่นตัวสูง ประสาทสัมผัสเฉียบแหลม สามารถคงสติไว้ได้ระดับหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหลับลึกขนาดนี้มาก่อน
ที่ใต้ผ้าห่ม นางสวมเพียงชุดคลุมตัวในตัวบาง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันกลับไม่สลักสำคัญอะไร
โหลวจวินเหยาดึงผ้าห่มลงมาเล็กน้อย กดนิ้วลงบนลำคอของเด็กสาว และก็พบว่ามันเย็นมาก เขาพลันนิ่วหน้าขึ้นทันที เมื่อลองจับมือนางก็พบว่ามันเย็นเฉียบเช่นกัน
“แม่นางน้อยเป็นอะไรไปหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของโหลวจวินเหยา
โหลวจวินเหยาหลีกทางให้เขา เอ่ยคำพลางขมวดคิ้ว “เจ้าไปดูนาง ข้าจับไม่พบ… ชีพจรนางเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็สลัดท่าทางเกียจคร้านทิ้งไปในพลัน รีบนั่งลงข้างเตียงเด็กสาวทันที เขาวางนิ้วบนข้อมือเด็กสาว ส่งจิตเข้าไปตรวจสอบดู ทว่าราวกับเข้าไปในดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ทุกสิ่งอย่างเป็นสีขาวโพลนไปจนหมด ไม่สามารถตรวจจับสัญญาณชีพได้เลย
“แม่นางน้อย…. ” ดวงตาของไป๋จือเยี่ยนเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ร่างกายภายในถูกแช่แข็งไปหมดแล้ว!”
โหลวจวินเหยานัยน์ตาลึกล้ำขึ้น “เป็นไปได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูจากสภาพภายในแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็นานกว่าสี่ชั่วยามแล้ว ข้าว่านางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นสีหน้าคงไม่สงบเช่นนี้ มันอาจจะเริ่มตอนนางกำลังฝัน จากนั้นก็ลงมือรวดเร็วจนนางไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งใด หากไม่ฟื้นในสิบสองชั่วยาม ข้าเกรงว่านางอาจจะไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาอีก” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงกังวล ในใจรู้สึกหนักหน่วงนัก
เมื่อเห็นโหลวจวินเหยายังยืนเงียบไร้คำ ร่างกายแผ่กลิ่นอายกดดันออกมา ไป๋จือเยี่ยนก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำออกมาในที่สุด “ทว่าพวกเราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ข้าจึงไม่รู้ว่าควรจะรับมือมันอย่างไรดี”
ในตอนที่บรรยากาศภายในห้องยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ แสงทองสีจางก็แผ่ออกจากร่างชิงอวี่ แสงทองนั้นราวกับว่าถูกกักขังอยู่ภายใน อยากจะออกมาด้านนอกให้ได้ จากนั้นแสงก็เข้มขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็พุ่งออกมาจากร่างเด็กสาว ก่อเกิดเป็นร่างมนุษย์คนหนึ่ง
เด็กหนุ่มผมทองชุดทอง ใบหน้าหล่อเหลา ตัวสูงไม่ใช่น้อยพลันปรากฏตัวขึ้นในห้อง ชายหนุ่มอีกสองคนมองเขาอย่างระแวดระวัง โหลวจวินเหยานัยน์ตาประกายเฉียบคม ราวกับภายในกำลังมีบางอย่างคุกรุ่นอยู่
ไอสังหารในดวงตานั้นเห็นได้เด่นชัดเป็นยิ่งนัก จั้งไหมย่อมสัมผัสได้ เขาจึงเอ่ยคำทันที “ก่อนจะถูกซัดพลังใส่เพราะความเข้าใจผิด ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าข้าเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู”
แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนพลังจนเต็มที่แล้ว แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาก็ดูมีพลังลึกล้ำไม่ใช่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นสหายของนายหญิง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอยากให้มีการต่อสู้ระหว่างกันเกิดขึ้น
ไป๋จือเยี่ยนมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “เจ้า… .. ไม่ใช่มนุษย์หรือ?”
จั้งไหมตอบยิ้ม ๆ ดวงตาโค้งขึ้นจนคล้ายกับจันทร์สองเสี้ยว “ใช่แล้ว ข้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธของนายหญิง”
จิตวิญญาณอาวุธ… .. เป็นสิ่งที่มีเพียงผู้มีพลังสูงส่งเช่นคนจากแดนเมฆาสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติในการถือครองได้ จิตวิญญาณนั้นเกิดขึ้นเมื่ออาวุธวิญญาณเลื่อนระดับจนถึงขั้นสูงสุด สามารถเปลี่ยนรูปเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งยังมีสติปัญญาไร้ขอบเขตเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง
หรือก็คือจิตวิญญาณอาวุธนั้นเป็นสิ่งที่มีพลังสะท้านสะเทือนชั้นฟ้า เทียบเท่าได้กับการที่จอมยุทธ์มีกระบวนท่าลับทรงพลังซุกซ่อนเอาไว้ แม้เจ้านายจะได้รับบาดเจ็บ มันก็ยังสามารถโจมตีใส่ศัตรูได้ในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้ศัตรูไม่ทันตั้งตัว
เด็กหนุ่มผมทองมองไปยังเด็กสาวที่หลับสนิทบนเตียง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันมองโหลวจวินเหยาแล้วเอ่ยเสียงเครียด “ตอนนี้มีแต่ท่านที่จะช่วยนายหญิงของข้าได้”
“ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่?” โหลวจวินเหยาถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเหมือนจะรู้ความบางอย่าง “สองวันมานี้นางยังสบายดี ไม่มีอะไรผิดปกติ เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ในชั่วข้ามคืน?”
“อาจเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของนายหญิง ร่างกายของนายหญิงถูกพลังในสายเลือดล่ามโซ่ตรวนเอาไว้อยู่ตลอด โดยใช้ร่างกายเป็นสื่อกลาง ทำเช่นนี้เพื่อยื้อชีวิตของคนผู้หนึ่งไว้ ตอนนี้อาการของคนผู้นั้นกำลังค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นนายหญิงจึงถูกผลสะท้อนกลับมาเต็มที่”
พูดถึงตอนนี้ สีหน้าจั้งไหมก็ทะมึนลง “กล่าวกันว่าเสือร้ายยังไม่กินลูกตน เทียบกับอสูรแล้วเห็นได้ชัดว่ามนุษย์นั้นชั่วร้ายขนาดไหน ไม่รู้หรือไรว่าทำเช่นนี้ลูกของพวกเขาก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาของโหลวจวินเหยาก็ส่องประกายวาบ คำพูดกล่าวมาชัดเจนเช่นนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความหมาย…
แน่นอนว่าเป็นฝีมือของอาหลาน นางทำทั้งหมดก็เพื่อยื้อลมหายใจสุดท้ายของบุรุษผู้นั้นไว้ นางต้องสูญเสียสิ่งมีค่าราคาแพงไปขนาดไหนกัน? นางไม่เพียงยอมเสียพลังบำเพ็ญนับร้อยปีและกายเนื้อของตนเอง แต่ยังใช้การเกิดใหม่ของลูก ๆ เป็นเครื่องมือฟื้นชีวิตให้เขาด้วยเช่นกัน
ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกขุ่นเคืองต่อผู้อาวุโสที่เขาเคารพรักเป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างเล็กที่มักจะมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ตอนนี้กลับนอนนิ่งไร้ชีวิต คนที่อาจจะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีก อาจหลับฝันไปเช่นนี้ตลอดกาล มันเป็นภาพที่ไม่อาจทำให้เขานิ่งเฉยได้
ชีวิตเด็กสาวที่ยังสดใสมีพลังนัก จะปล่อยให้หายไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ในใจโหลวจวินเหยาก็รู้สึกโศกเศร้านัก รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปแล้วไม่อาจลงมือทำอะไรได้
“ข้าจะช่วยนางได้อย่างไร?”
“หากจำไม่ผิด นายหญิงเคยช่วยท่านถอนคำสาปมาก่อน การทำเช่นนั้นย่อมต้องใช้เลือดในร่างของนาง ตอนนี้มีเพียงท่านที่มีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่หลุดไหลเวียนอยู่ในกาย ท่านใช้เลือดนั้นผสมเข้าร่างนายหญิง และเมื่อวิชาที่แช่แข็งร่างนายหญิงหยุดลง นางก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”