ตอนที่ 168 เรามาคบกันไหม

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 168 เรามาคบกันไหม ?

ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายเห็นว่าหยางหยางถูกตีก็ไม่มีใครคิดจะห้าม เพราะรู้สึกว่าเด็กแบบนี้สมควรโดนแล้ว

ทั้งสามเข้าไปในร้านของหลินม่ายด้วยกัน

โจวฉายอวิ๋นลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเขามา

คุณหมอหนุ่มไม่ได้มากินข้าวที่ร้านเลยตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้หล่อนเริ่มกังวลใจเพราะกลัวว่าเขาจะไม่กลับมาอีกเลย

โจวฉายอวิ๋นทักทายเขาอย่างระมัดระวัง “ทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยมาเลยล่ะคะ?”

“ช่วงนี้ผมยุ่ง ๆ น่ะ” ชายหนุ่มว่าพลางวางโต้วโต้วลงที่พื้นแล้วหันไปคุยกับหลินม่าย “ออกไปกินข้าวด้วยกันไหม?”

หลินม่ายชะงัก กระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “เรากินมื้อเย็นกันแล้วค่ะ”

ฟางจั๋วหรานที่เตรียมการทุกอย่างเอาไว้นิ่งค้างเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้

ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงไม่มีทางที่จะได้เห็นเขาตกอยู่ในอาการแบบนี้

แต่กับเรื่องการสารภาพรักเป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกประหม่าเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้คุณหมอหนุ่มไม่แน่ใจว่าจัดการกับเรื่องตรงหน้าอย่างไรดี

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เลยดันหลังหลินม่ายให้ออกไปกับเขา “อาจารย์ฟางอุตส่าห์ชวนออกไปทั้งทีก็ไปเถอะน่า จะคิดอะไรมาก”

โต้วโต้วเห็นแบบนั้นก็เริ่มหน้ามุ่ยบ้าง “หนูก็อยากไปด้วย”

โจวฉายอวิ๋นรีบห้าม “เอาไว้ครั้งหน้านะ ครั้งนี้ไม่ได้หรอก”

เด็กน้อยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ?”

คนเป็นป้ากลอกตา “เพราะคุณอากับแม่ต้องไปไกล หนูยังไม่หายดี ป้าไม่อยากให้หนูเหนื่อย”

เหตุผลนี้ทำให้เด็กน้อยต้องยอมแพ้ เจ้าตัวเล็กพองแก้มอย่างหงุดหงิด แต่ก็เชื่อฟังแล้วบอกให้หลินม่ายซื้อของอร่อยกลับมาฝากด้วย

หลินม่ายรู้ตัวแล้วว่านี่คือการชวนไปเดท

ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครนอกจากหลี่หมิงเฉิงที่ชวนเธอไปเดทเลย

ในสายตาของหญิงสาว แม้ว่าหลี่หมิงเฉิงกับเธอจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงเขาจะพยายามจะขยับความสัมพันธ์เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง เธอก็ยังไม่เคยมองเขาเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อนได้

แต่พอมาเป็นฟางจั๋วหราน หลินม่ายกลับใจเต้นแรงเมื่อคิดว่านี่คือการไปเดท

หลี่หมิงเฉิงมองดูหลินม่ายและฟางจั๋วหรานออกไปด้วยกันก็กังวลใจ อดไม่ได้ที่จะบ่นโจวฉายอวิ๋นที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้ทั้งสองได้ออกไปด้วยกัน “ถ้าอยากจะเป็นแม่สื่อให้หลินม่าย ทำไมไม่เป็นผมบ้างล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นหันไปมองเขา “ฉันก็ต้องจับคู่ที่ดูเป็นไปได้สิ ม่ายจื่อคิดอะไรกับนายหรือเปล่า มองแล้วหล่อนมีใจให้นายบ้างไหมล่ะ?”

คนที่ไม่ใช่ ไม่ว่าจะพยายามทำคะแนนแค่ไหนก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี

หลินม่ายกลายเป็นลูกแมวตัวน้อยที่เชื่อฟังคุณหมอฟาง แต่มีท่าทางกระวนกระวาย

เขาพาเธอมาที่โรงแรมข่ายเฉวียนเหมิน

บริกรเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างอัธยาศัยดี

เธอยิ้มหวานให้แขกทั้งสอง “เป็นมื้อค่ำนะคะคุณลูกค้า”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ผมจองห้องส่วนตัว ห้องที่ 6 เอาไว้ครับ”

พนักงานสาวได้ยินแบบนั้นก็ลอบมองหลินม่ายด้วยความประหลาดใจ

คนที่นี่รู้กันหมดว่ามีลูกค้าใจป้ำจองห้องหมายเลข 6 ไว้ สั่งให้จัดดอกกุหลาบจนเต็มห้อง ว่ากันว่าคงเตรียมไว้สำหรับสร้างความโรแมนติกให้หญิงสาวสักคน

น่าแปลกใจนิดหน่อยที่หนุ่มหล่อขนาดนี้จะจัดห้องแบบนั้นเพื่อผู้หญิงแสนธรรมดาอย่างหล่อน

ถึงผู้หญิงคนนี้จะจัดว่าหน้าตาสวยอยู่บ้าง แต่การแต่งตัวค่อนข้างจะธรรมดา

ต้องทำบุญด้วยอะไรถึงมีผู้ชายแบบนี้มาตกหลุมรัก ทั้งหล่อเหลาแต่ดูจะฐานะดีมาก

น่าอิจฉาชะมัด

พนักงานฝืนยิ้มแล้วพาแขกทั้งสองไปยังห้องหมายเลข 6

ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก กลิ่นหอมของกุหลาบก็ฟุ้งมาแตะจมูก

หลินม่ายตกตะลึงไปในทันทีที่เห็นกุหลาบหลากสีสันในห้องนั้น

น่าจะเพิ่งช่วงปี 1980 นี่เองที่มีโรงแรมหรู ๆ มาเปิดพร้อมกับบริการตกแต่งห้องส่วนตัวตามใจลูกค้าแบบนี้

ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารแนวคลาสสิก

พนักงานเสิร์ฟเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “จะให้เริ่มเสิร์ฟอาหารเลยไหมคะ”

ชายหนุ่มตอบด้วยการพยักหน้า

หล่อนจึงก้าวถอยหลังลอบมองชายหนุ่มอยู่นิดหน่อยก่อนจะออกจากห้องไป

ผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อทั้งอัธยาศัยดี ดูดีอย่างกับเป็นดารา ทำให้หล่อนอยากจะแอบมองเขาอีกหน่อย

หลินม่ายมองดูดอกกุหลาบรอบตัว “ราคาต้องไม่เบาแน่ ๆ เลยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานที่กำลังจัดการกับแก้วเครื่องดื่มร้อนได้ยินหญิงสาวพูดแบบนั้นก็ตอบว่า “ไม่ขนาดนั้นหรอก”

หลินม่ายส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ “คนมีเงินแบบคุณอาจจะรู้สึกว่าไม่ขนาดนั้น แต่คนธรรมดาอย่างฉันมันออกจะน่าตกใจ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ เขาค่อย ๆ รินชาเก๊กฮวยใส่แก้วร้อนแล้วส่งให้เธอ “ถ้าต้องจ่ายสิบหยวนให้คนอื่นผมก็อาจจะรู้สึกว่ามันมากไป แต่เพราะเป็นคุณผมเลยคิดว่ามันเล็กน้อย”

หลินม่ายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ชี้ไปที่ดอกกุหลาบทั้งหมดในห้อง “ดอกไม้เยอะขนาดนี้ พวกเขาคิดแค่สิบหยวนเหรอคะ”

มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นไปได้

ฟางจั๋วหรานเริ่มนิ่ง คิดว่าจะอธิบายกับเธอยังไงดี เมื่อพูดไปแบบนั้นแล้วก็คงต้องบอกไปตามตรง

เขายิ้มเล็กน้อย “ผมเป็นคนเตรียมดอกไม้พวกนี้มาเองก่อน”

หลินม่ายดูเหมือนจะนึกอะไรออก เธอพูดกับเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แค่ออกมากินข้าวกับฉัน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยนี่คะ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะแค่มากินข้าวกับคุณนี่”

ตอนนั้นชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวายในใจ เขากำลังจะสารภาพความในใจและไม่แน่ใจว่าเธอจะตอบรับหรือไม่

ท่าทางสงบนิ่งของเขาเป็นเพียงการแสดง เพราะในหัวกำลังปั่นป่วนไปหมด เขามองตรงไปที่หญิงสาวแล้วเริ่มเอ่ย “คุณอยากเป็นแฟนผมไหม?”

เป็นประโยคสั้น ๆ แต่กลับพูดออกมาได้อย่างยากเย็น

แต่สุดท้ายเขาก็ได้เอ่ยออกไปแล้ว ต้องทำใจยอมรับ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรต่อจากนี้

แม้ว่าหลินม่ายจะรู้สึกหวิว ๆ ในใจ แต่เธอก็ยังสับสนอยู่ว่าต้องทำอย่างไรต่อ

หญิงสาวมองเขาด้วยความงุนงง เริ่มสงสัยว่านี่ตัวเองฝันอยู่หรือเปล่า

ฝ่ามือหนาของฟางจั๋วหรานชื้นเหงื่อ แต่เขายังคงยิ้มอย่างสงบและถามอีกครั้ง “เรามาคบกันไหม คุณอยากเป็นแฟนผมหรือเปล่า?”

หลินม่ายดื่มชาเก๊กฮวยอย่างเร็ว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกคลื่นพายุโถมซัด

แต่ลืมไปเสียสนิทว่าช่วงนี้อากาศร้อน ชาในแก้วเลยยังไม่ทันได้คายความร้อนดี ชาเก๊กฮวยที่กระดกเข้าไปคำใหญ่ขนาดนั้นจึงลวกลิ้นเสียพอง

หญิงสาวกลัวว่าจะแสดงอาการเสียมารยาทออกมาก็เลยจำใจกลืนน้ำร้อนทั้งหมดในปากลงไปอย่างรวดเร็ว ความร้อนของมันทำให้เธอรู้สึกถึงการเดินทางจากลำคอไปถึงท้องได้เลยทีเดียว

เสียงในหัวของหลินม่ายกำลังลิงโลดกับสิ่งที่ได้ยิน ในที่สุดเขาก็สารภาพรักกับฉันแล้ว !

หญิงสาวอยากจะรีบตอบตกลงในทันที แต่กลัวเขาจะมองว่าเธอไม่สงวนท่าทีเอาเสียเลย

ในชาติที่แล้วเธอเคยอ่านในนิตยสารว่าผู้ชายจะไม่ชอบผู้หญิงที่ได้มาง่ายเกินไป

หลินม่ายเชื่อในสิ่งอ่านเจอตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะเธอเคยเป็นภรรยาที่ยอมอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทุกอย่าง แล้วผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยใจดีกับเธอแม้แต่น้อย

ชาตินี้หลินม่ายไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว ต้องค่อย ๆ ทำทุกอย่างให้ดี

หญิงสาวลังเลอยู่นานและเริ่มพูดออกมาด้วยท่าทางอ่อนใจในที่สุด “ฉันว่า…มันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร ฐานะเราค่อนข้างต่างกัน”

“แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน”

ฟางจั๋วหรานรอคำตอบจากเธออยู่นาน แม้สิ่งที่ได้ยินจะทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้ตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน

การพูดแบบนั้นก็แสดงว่าเธอเองก็มีใจให้เขา แต่ว่ามีเรื่องอื่นให้กังวลใจอยู่

แบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหาแล้วสำหรับเขา

หลินม่ายขมวดคิ้วสงสัย “การศึกษาเราก็ไม่เท่ากัน แบบนี้จะเป็นปัญหาถ้าต้องอยู่ด้วยกันหรือเปล่า?”

“งั้นเหรอ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเราจะต้องเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดีมากจนใคร ๆ ต้องอิจฉาแน่”

“ฉัน…ฉันมีลูกแล้วนะ”

หลังจบประโยคนั้น หญิงสาวก็มองที่ชายหนุ่มอย่างประหม่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะอยากสานสัมพันธ์กับแม่ลูกติด

“ไม่เป็นไรนี่ ผมชอบเด็ก”

ฟางจั๋วหรานจ้องมองมาที่หลินม่ายด้วยสีหน้าจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ เขาเอ่ยถามเธอขึ้นเบา ๆ ว่า “ยังมีอะไรที่คุณกังวลอีกไหม?”

หลินม่ายนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า

ริมฝีปากสวยที่ประดับบนหน้าหล่อเหลาขยับยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคุณตกลงใช่ไหม?”

หลินม่ายรีบพูดออกไปทันควัน “ฉัน…ฉันคิดว่าจะขอคิดดูก่อนได้ไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ “ได้เลย ผมรอได้ มีเวลาให้คุณคิดได้เต็มที่”

“หนึ่งนาทีพอไหม” หญิงสาวมองอย่างเหลือเชื่อ

ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใครให้เวลาคิดสำหรับการสารภาพรักเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

“ฮืมม นานไปไหมนะ” เขาเอ่ยพึมพำ “สัก..ห้าสิบวิพอ”

นี่ไม่ใช่การถามให้ตัดสินใจแล้ว นี่มันมัดมือชกกันชัด ๆ

หลินม่ายยิ้มเยาะ “อาจารย์ฟาง ถ้าฉันปฏิเสธคุณล่ะ จะเป็นอะไรไหมคะ”

ฟางจั๋วหรานกลับตอบอย่างมั่นใจ “คุณตกลงอยู่แล้ว”

หลินม่ายชะงักไป

แม้มันจะจริงอย่างที่เขาว่า แต่การตอบแบบนั้นมันเท่ากับว่าเธอไม่ได้มีผลอะไรกับหัวใจของเขาเท่าไรหรือเปล่านะ?

ถ้าตกลงคบกันไปแล้วเธอจะยังมีคุณค่าสำหรับเขาอยู่หรือเปล่านะ?

เธอปรารถนาจะเป็นผู้หญิงที่ถูกเขาหวงแหนอยู่เสมอแม้ว่าจะคบกันไปนานแค่ไหน

หลินม่ายเริ่มพูดอย่างจริงจัง “คุณจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้หรอก ถึงฉันจะดูเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย แต่ฉันก็มีร้านที่กินที่อยู่ มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ได้มีหนี้ หรือครอบครัวป่วยหนักให้ต้องดูแล หรือถึงแม้ว่าจะมีภาระอะไร ฉันก็คิดว่าคนอย่างฉันจะจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ เพราะงั้นฉันเองก็มีภาษีพอที่จะปฏิเสธคนเพรียบพร้อมอย่างคุณ”

เมื่อเข้าเรื่องนี้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยืดหลังขึ้นตรง

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมอมาโหดมาก เล่นใหญ่มาก จะปฏิเสธลงยังไงล่ะเนี่ย

เรือพี่หมอทิ้งห่างเรือทุกลำแล้วล่ะค่ะ เรือลำอื่นต้องติดเครื่องยนต์พลังนิวเคลียร์อย่างเดียวแล้วถ้าอยากจะตามให้ทัน

ไหหม่า(海馬)