ตอนที่ 169 ผมแค่ชอบคุณ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 169 ผมแค่ชอบคุณ

“คุณมีค่าพอจะปฏิเสธผมอยู่แล้ว แต่คุณไม่ปฏิเสธผมหรอก”

ชายหนุ่มทำลายความรู้สึกขุ่นมัวในใจของหลินม่ายด้วยประโยคเดียว “คุณเองก็ชอบผมเหมือนกัน”

เขามองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาหลินม่ายเขินจนหน้าร้อนขึ้นมา “ก็…มาสารภาพแบบนี้ ฉันก็เลยรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย”

“แล้วตอนนี้รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”

ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นหยิบดอกกุหลาบสีแดงสดช่อหนึ่งขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ “คุณอยากเป็นแฟนกับผมไหม?”

หลินม่ายไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะคุกเข่าลงตรงหน้าเธอขนาดนี้ มันเป็นการให้เกียรติเธออย่างมาก

ความรู้สึกขุ่นเคืองในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้น

มือเรียวรีบรับช่อกุหลาบจากเขามาแล้วพยักหน้ารัว “อื้มมม ตกลงค่ะ เป็นแฟนกันก็ได้ คุณรีบลุกขึ้นเร็ว ลูกผู้ชายมีทองคำอยู่ใต้หัวเข่า* นะ มาคุกเข่าง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง”

ฟางจั๋วหรานรีบตอบ “ผมไม่ได้คุกเข่าง่าย ๆ สักหน่อย คุณเป็นคนสำคัญของผม เป็นความสุขในชีวิตผมไง”

พนักงานเสิร์ฟสาวเข้ามาเสิร์ฟอาหาร เมื่อเปิดประตูมาเห็นภาพนั้นก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนต์อะไร ผู้ชายถึงได้ลงทุนคุกเข่าให้ หล่อนล่ะอยากหาคนอื่นมาคุกเข่าแทนเขาจริง ๆ เขาไม่น่าไปทำอะไรแบบนั้นเลย

หลินม่ายรู้สึกได้ถึงสายตาไม่พอใจที่ส่งมา

ฟางจั๋วหรานมาชอบเธอ แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของคนอื่น ถ้าอยากจะอิจฉาก็เชิญอิจฉาให้อกแตกตายไปเลย

หลังจากที่ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ เธอก็จงใจพูดกับเขาว่า “ดูฉันสิ ไม่ได้ชาติตระกูลดีอะไร หน้าตาก็ธรรมดา การศึกษาก็กลาง ๆ แถมยังมีลูกติดอีก คุณมีโอกาสเลือกคนที่ดีกว่าฉันตั้งมากมาย แต่ทำไมถึงมาเลือกฉันได้ล่ะ”

คุณหมอฟางตอบอย่างจริงจัง “ดีกว่าแล้วยังไง ผมไม่ได้ชอบคนที่ดี ผมแค่ชอบคุณ”

พนักงานเสิร์ฟถึงกับสำลักน้ำลาย มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วรีบจากไป

เธอได้ยินลูกค้าทั้งสองพูดตามมาจากด้านหลัง “ฉันไม่ชอบพนักงานคนนี้เลย หล่อนชักสีหน้าไม่ดีใส่ฉัน คุณขอเปลี่ยนพนักงานได้ไหมคะ”

ชายหนุ่มมองตามไปที่พนักงานคนนั้นและเห็นว่าเป็นอย่างที่หลินม่ายบอกจริง ๆ สีหน้าของหล่อนย่ำแย่มาก ประหนึ่งว่ามีใครติดหนี้แล้วไม่ยอมคืนเงิน

เขาจึงลุกขึ้น “ช่วยบอกผู้จัดการให้ด้วยนะครับว่าเปลี่ยนบริกรให้ผมหน่อย”

ได้ยินแบบนั้นพนักงานสาวก็รีบเรียกรอยยิ้มการค้าออกมาใช้งานทันที “เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันหน้าเสียเพราะปัญหาทางบ้าน ไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณได้มาเห็นอะไรแบบนี้เลย ได้โปรดอย่าแจ้งผู้จัดการเลยนะคะ ฉันจะถูกหักเงินถ้าคุณขอเปลี่ยนคน”

เพราะเดี๋ยวนี้รัฐเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ก็มีนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป ใครที่ทำงานได้ไม่ดีจะถูกหักเงินพิเศษ โดยเฉพาะพนักงานในภาคบริการแบบนี้

ฟางจั๋วหรานไม่ใช่คนที่จะชอบทำอะไรให้ยุ่งยาก เขาจึงยอมนั่งลง “ถึงจะเป็นเรื่องในครอบครัวก็เถอะ แต่ในเวลาทำงาน ช่วยแสดงสีหน้าเป็นมิตรในการให้บริการด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องขอเปลี่ยนบริกรจริง ๆ”

พนักงานสาวพยักหน้าตอบแล้วโค้งคำนับในทันที “ฉันจะบริการคุณลูกค้าด้วยรอยยิ้มค่ะ” หลังจากนั้นก็เดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม แต่ในหัวใจอยากจะกรีดร้องออกมา

หลินม่ายไม่ได้สนใจพนักงานคนนั้นอีก ขอให้ทำงานต่ออย่างทรมานใจไปเถอะ ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน

หลังจากมื้อค่ำแสนอร่อย ทั้งคู่ก็เตรียมจะกลับ

หลินม่ายไม่ค่อยอยากจะทิ้งกุหลาบทั้งหมดนั่นไปเลย ตั้งแต่ชาติที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับดอกกุหลาบ เธออยากจะขนทั้งหมดนี่กลับไปที่บ้านเสียจริง ๆ

ฟางจั๋วหรานเห็นท่าทางเสียดายของเธอ เลยขอให้พนักงานสองคนช่วยกันเอาดอกไม้ทั้งหมดไปส่งที่ร้านของหลินม่าย

ทั้งสองเดินทางกลับจากโรงแรม

พวกเขามองหน้ากันแล้วก็ยิ้มหวานเป็นพัก ๆ รอบตัวตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก คนโสดที่เข้ามาเห็นบรรยากาศแบบนี้คงจะทนกลิ่นความรักไม่ไหวจนต้องหลบไปแน่ ๆ

หลินม่ายถือช่อกุหลาบแดงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนข้างที่ว่างอยู่ก็ปล่อยแนบลำตัว

เธอลอบมองมือของฟางจั๋วหรานอยู่หลายครั้ง อยากจะเอื้อมไปจับมือเขา แต่ก็ไม่กล้า

ราวกับชายหนุ่มไปนั่งอยู่ในสมองของเธอ เมื่อรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่เขาก็สอดมือเข้ามาประสานกับมือเรียวของเธอเอาไว้

แม้จะเขินอายจนอยากจะเอามือออก แต่เขาก็ยิ่งกระชับนิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม

จนในที่สุดหลินม่ายก็หยุดขัดขืนแล้วปล่อยให้เขากุมมือตัวเองไปแบบนั้น

อุณหภูมิจากมือทั้งสองที่แลกเปลี่ยนกันทำให้เกิดความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

เฉินเฟิงกับเหลียนเฉียวพร้อมด้วยพี่น้องอีกสองสามคนกำลังเดินอยู่ที่ถนนแถวนี้พอดี

เหลียนเฉียวเห็นชายหญิงกำลังเดินจับมือกันก็ชี้ให้เฉินเฟิงมองตามด้วยท่าทางไม่ได้จริงจังนัก “ผู้หญิงคนนั้น เธอมีแฟนแล้วนี่”

ในยุคนี้แทบไม่มีชายหญิงเดินจับมือกันในที่สาธารณะเลยถ้าไม่ได้เป็นแฟนกัน

เฉินเฟิงรู้สึกปวดใจอย่างน่าประหลาด แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

เหลียนเฉียวลอบยิ้มอย่างมีความสุข

แฟนหนุ่มของผู้หญิงคนนั้นดูดีมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะมาสนใจคนสีเทา ๆ อย่างเฉินเฟิง

คู่รักหมาด ๆ เดินเคียงข้างกันมาจนถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ ริมถนน พวกเขานั่งลงข้างกันที่ม้านั่งตัวหนึ่งริมทาง

ชายหนุ่มหยิบกล่องเครื่องประดับสีแดงหุ้มด้วยกำมะหยี่ออกมาส่งให้หญิงสาว

หลินม่ายประหลาดใจที่ได้เห็นมัน

ยังมีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้นอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ?

เธอรับกล่องใบนั้นมาเปิดออก ภายในเป็นสร้อยคอที่มีจี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉกส่องประกายสีทองอยู่ใต้ไฟข้างทาง

เธอถามอย่างไม่เชื่อสายตา “ทองเหรอ”

เครื่องประดับที่ทำจากทองมีราคาแพงระยับในยุคนี้

แฟนหนุ่มหมาด ๆ ของเธอถามกลับ “ไม่อย่างนั้นจะหาอะไรที่มีมูลค่าพอสำหรับคนรักของผมได้อีกล่ะ”

หลังจากคิดอยู่ซักพักเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “วันนี้เป็นวันที่เราเป็นแฟนกันวันแรก ผมเลยให้ของขวัญเป็นสร้อยคอ ส่วนแหวนผมจะรอซื้อให้คุณตอนขอหมั้น”

เขาหยิบสร้อยทองเส้นนั้นขึ้นมา “มาเร็ว ให้ผมใส่ให้นะ”

หลินม่ายหันหลังให้เขาสวมสร้อยให้อย่างมีความสุข

ฟางจั๋วหรานบรรจงสวมสร้อยคอให้แฟนสาว แสงจากไฟข้างทางที่อยู่เหนือหัวทั้งคู่ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นไฝสีแดงเข้มกลางหลังคอของเธอ ก็อดไม่ได้ที่ชะงักด้วยความตกใจ

จำได้ว่าเขาเคยอ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง

มีบทความที่เขียนเกี่ยวกับตำนานไฝสีชาดที่อยู่ตรงกลางหลังคอ

มีความเชื่อโบราณกล่าวว่า คนที่มีไฝสีชาดคือคนที่เกิดมาเพื่อตามหารักแท้จากอดีตชาติของตัวเอง

เขาแอบคิดว่าตัวเองจะเป็นคนรักที่เธอตามหาอยู่หรือเปล่านะ ไม่อย่างนั้นคุณปู่คุณย่าก็คงไม่ได้รู้จักเธอ แล้วพามารู้จักกับเขาอีกที

ท่ามกลางความบังเอิญและผู้คนมากมายบนโลกนี้ โชคชะตานำพาให้เธอและเขาได้มาพบกัน

หลินม่ายแตะที่สร้อยคอแล้วเอ่ยถามขึ้น “คุณไม่ได้ซื้อมันในจีนเหรอ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเจียงเฉิงแน่ ๆ “

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“จะไปหาสร้อยทองที่งานประณีตขนาดนี้ในเจียงเฉิงได้ยังไง ส่วนใหญ่จะเป็นงานคุณภาพไม่ดีขนาดนี้”

ฟางจั๋วหรานเลยอวดมันขึ้นมา “ถ้าจำไม่ผิด น่าจะได้มาจากฮ่องกง”

ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่ตามหาสร้อยเส้นนี้ เขาคงได้ฤกษ์สารภาพรักกับเธอไปนานแล้ว ไม่ต้องรอมาจนถึงวันนี้หรอก

อยู่ ๆ ก็มีเสียงคนขายไอศกรีมดังขึ้น

ในคืนที่แสนพิเศษ ก็ยิ่งเปี่ยมสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อมีไอศกรีมเพิ่มเข้ามา

คู่หนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยกำลังผ่านไปผ่านมาที่ถนน และไอศกรีมของพวกเขาก็อร่อยขึ้นเป็นพิเศษ

“ผมว่าจะซื้อไอศกรีมซักสองแท่ง” ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเจ้าของร่างบางกำลังใช้มือพัดไปมาอยู่ที่หน้าของตัวเอง เขายืนขึ้นกำลังจะก้าวไปข้างหน้าแล้วหยุดหันมาถามเธอ “วันนี้เป็นวันนั้นของเดือนหรือเปล่า?”

ใบหน้าของหลินม่ายขึ้นสีทันทีเธอเริ่มเขินและรีบพูดขึ้นมา “เปล่านี่”

ชายหนุ่มปากกระตุกเล็กน้อย “ผมก็คิดว่าไม่ใช่ ผมว่าผมจำวันได้ แต่ลองถามเพื่อความแน่ใจ”

หลังจากนั้นเจ้าของร่างสูงก็ตรงไปที่ร้านของไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

เธอเคยเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง และไม่ได้เป็นสาวอายุสิบเจ็ดอ่อนต่อโลกจริง ๆ ดังนั้นจึงไม่ได้มองเรื่องนี้ไปอย่างผิวเผิน

ครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาล ประจำเดือนของเธอมาอย่างกะทันหัน และฟางจั๋วหรานเป็นคนเอาผ้าอนามัยมาให้

เขาสามารถเอาผ้าอนามัยมาให้เธอในตอนกลางดึกได้อย่างรวดเร็วราวกับว่ามีมันพกติดเอาไว้เอง

เขามีผ้าอนามัยไว้ทำไมกัน

หลินม่ายตกตะลึงในใจ นี่เธอเจอผู้ชายเจนโลกเข้าแล้วหรือเปล่า?

………………………………………………………………………………………………………………………….

*男儿膝下有黄金 ลูกผู้ชายมีทองคำใต้หัวเข่า เป็นสุภาษิตหมายถึงให้ผู้ชายไว้ศักดิ์ศรี ไม่คุกเข่าให้ใครง่าย ๆ นอกจากบุคคลสำคัญในชีวิต

สารจากผู้แปล

อ่อกกกก แค่กๆๆ สำลักความรักค่ะ บทจะขอเป็นแฟนกันก็หวานตัดขาเลยนะคะ

เรือพี่เฉินล่มไปแล้ว ลูกเรือพี่เฉินสละเรือมารับชูชีพได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)