ตอนที่ 170 ตีตนไปก่อนไข้

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 170 ตีตนไปก่อนไข้

ทำไมถึงได้เจอแต่ผู้ชายเจนโลกกันนะทั้งชาติก่อนและในชาตินี้

หญิงสาวต่อสู้กับความยุ่งเหยิงในจิตใจ ถอดสร้อยคอที่เขาให้ออกและคิดว่าควรจะพอกับความสัมพันธ์แค่นี้หรือเปล่า

ฟางจั๋วหรานกลับมาจากร้านไอศกรีม เมื่อเห็นอาการของเธอจึงรีบถามขึ้น “ทำไมถึงถอดสร้อยออกแล้วล่ะ?”

หลินม่ายข่มความรู้สึกทรมานใจแล้วยิ้มฝืน “ฉันคืนให้คุณได้ไหมคะ?”

ชายหนุ่มเริ่มแสดงสีหน้าสับสน “คืนทำไมล่ะ? นี่เป็นตัวแทนความรักของผมนะ ผมตั้งใจซื้อให้คุณ”

“ฉันรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่อยากคบกับคุณแล้ว”

ขณะที่พูดแบบนั้นเธอก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน

ฟางจั๋วหรานรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ รีบถามต่ออย่างร้อนรน “ทำไมถึงกลับคำเสียแล้วล่ะ?”

หญิงสาวยังคงระบายยิ้มขื่น “ฉันไม่แน่ใจว่าเราคู่ควรกันหรือเปล่า กลัวว่าเราจะเสียเวลากันน่ะ”

ฟางจั๋วหรานนั่งลงข้าง ๆ เธอ “มันไม่ใช่เรื่องของความคู่ควรอะไรเลยนะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อกันต่างหาก ผมรู้ว่าคุณเองก็ชอบผม ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เป็นห่วงจนไปบริจาคเลือดเพื่อผมหรอก”

หลินม่ายก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ

ชายหนุ่มเชยคางเธอขึ้นอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ได้โอกาสในการสบตากันจะได้พูดคุยกันอย่างเข้าใจ “เหตุผลที่คุณกลับคำพูดคงไม่ใช่เพราะเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรหรอก คุณบอกเหตุผลจริง ๆ กับผมได้นะ ถ้ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ ผมก็จะยอมรับการตัดสินใจของคุณ ตกลงไหม?”

ขณะที่เขาพูดก็ยื่นไอศกรีมในมือให้เธอ

บางทีไอศกรีมหวาน ๆ เย็น ๆ อาจจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น หลินม่ายจึงเริ่มพูดต่อ

“คุณก็รู้ว่าฉันเคยแต่งงานมาก่อน แล้วมันก็เป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ฉันก็เลยกลัวว่าจะเจอคนเลวแบบนั้นจนต้องเจ็บปวดอีกครั้ง”

“ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีทางทำให้คุณเสียใจ พร้อมดูแลปกป้องความสุขของคุณถ้าเราได้อยู่ด้วยกัน”

หลินม่ายได้ยินเขาพูดคำหวานเช่นนั้นก็รู้สึกรังเกียจ คิดจะเปิดโปงเขาขึ้นมาทันที

เธอถามเขาเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นอธิบายมาหน่อยว่าคืนนั้นทำไมคุณถึงมีผ้าอนามัยอยู่กับตัวได้? ถ้าไม่ได้มีเตรียมไว้สำหรับสาว ๆ คนอื่นตลอดเวลา ให้ทุกคนใช้ได้ตามที่ต้องการ ทำไมผู้ชายโสดแบบคุณถึงต้องมีผ้าอนามัยติดไว้ อธิบายได้หรือเปล่า”

ฟางจั๋วหรานมองท่าทางไม่พอใจของเธอแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ “กลายเป็นว่าคุณไม่อยากคบกับผมแล้วเพราะเรื่องนี้หรอกเหรอ คืนนั้นผมไปขอผ้าอนามัยมาจากอาจารย์ต่างชาติผู้หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาล เพื่อหามันมาให้คุณ ผมก็ไม่ได้รู้สึกเขินที่จะขอยืมมันมาจากคนอื่นหรอกนะ”

คำตอบนั้นของเขาทำเอาหลินม่ายอายจนพูดไม่ออก เธอไม่ทันคิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าไปขอผ้าอนามัยจากคนอื่นมาให้เธอ

“แล้ว…เราไม่ได้คบกัน ทำไมคุณถึงจำรอบเดือนฉันได้ล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานพูดต่ออย่างสงบ “ผมรักคุณมาตลอด หาโอกาสจะบอกคุณมานานแต่ก็ไม่กล้า”

ยิ่งเขาอธิบายเธอก็ยิ่งอายมากกว่าเดิม สรุปว่าเป็นเธอเองที่คิดมากเกินไป ตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว

ชายหนุ่มถามเธอต่อด้วยรอยยิ้ม “ยังรู้สึกกังวลอยู่หรือเปล่า?”

จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็กลัวจะมากเกินไปหน่อย…

หลินม่ายขมวดคิ้วแล้วเริ่มโกหกตาใส “ฉัน…ฉันอยากจะตั้งใจหาเงินก่อนในตอนนี้”

เสียงของฟางจั๋วหรานเต็มไปด้วยความผิดหวัง “งั้นเหรอ…น่าเศร้าจัง”

หลินม่ายใจหาย นี่ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเอาไว้

เธอแกล้งตอบแบบนั้นเพื่อให้เขาง้อเธออีกครั้ง อีกครั้งเดียว เธอจะยอมเขาทันที

แต่เขากลับถอดใจแล้ว เขาเองก็คงต้องการให้เธอเป็นฝ่ายลงให้บ้างอย่างนั้นหรือเปล่านะ?

ฟางจั๋วหรานเหมือนนั่งอยู่ในหัวเธอ ราวกับว่าได้ยินเสียงของความโศกเศร้าที่ดังออกมาจากในใจหลินม่าย เขาเลยเริ่มเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ผมจะกวนใจคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่ทำให้คุณอึดอัดอีก…ถ้าคุณอยากเป็นแฟนกับผม…”

“อยากเป็นค่ะ!” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบหลินม่ายก็รีบตอบตกลงอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแน่วแน่

แต่หลังพูดจบ หญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนถูกหลอก

แต่เธอจะต่อกรอะไรกับศาสตราจารย์อย่างเขาได้ ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้นั้นไปอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มยิ้มตอบ “หรือต่อให้คุณไม่ตกลง ผมก็จะคอยดูแลคุณอยู่ดี”

หลังจากกินไอศกรีมเสร็จแล้วเขาก็สวมสร้อยคอคืนให้เธออีกครั้ง

หลินม่ายเป็นห่วงว่าโต้วโต้วจะรอ เลยอยากจะรีบกลับบ้านแล้ว

ทั้งคู่เดินต่อไปด้วยกันได้นิดหน่อย ชายหนุ่มก็หยุดชะงักมองดูแฟนสาวของเขาภายใต้แสงจันทร์ ตั้งใจมองเธอพร้อมกับความรู้สึกใจเต้น

หลินม่ายก้มหน้าอย่างเขินอาย “มองอะไรคะ…ไปกันเถอะ”

มือหน้าที่ประดับด้วยนิ้วเรียวสวยเชยขางเรียวของหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้น “ขอผมฝากความรักไว้ที่คุณก่อนกลับบ้านสักหน่อย เผื่อว่าคืนนี้คุณจะยังรู้สึกกังวลขึ้นมาอีก”

พูดจบชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ลดใบหน้าลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

แม้ว่าหลินม่ายจะเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน แต่การแต่งงานครั้งนั้นเป็นเพียงการแต่งเพื่อเงินกับผู้ชายไม่เอาไหนแถมยังเจ้าชู้ เธอไม่เคยได้สัมผัสการถูกรักอย่างทะนุถนอมมาก่อน

ถ้าว่ากันแล้วในเรื่องความรักอย่างจริงจัง เธอยังเป็นเหมือนเด็กสาวอ่อนหัด

เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะจูบ หญิงสาวตระหนกในใจ เธอรีบเอื้อมมือตัวเองมาดันหน้าอกแกร่งของเขาให้ห่างออกไป “นั่นมัน…ยังเร็วไป”

แม้ว่าซี่โครงที่หักของฟางจั๋วหรานจะไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

ถึงจะผ่านไปนานหลายวันจนอาการเริ่มดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับหายขาดอยู่ดี

หลินม่ายผลักเขาอย่างแรงทำเอารู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย

นั่นทำให้ชายหนุ่มได้ทีเล่นละคร ลูบที่หน้าอกของตัวเองและขมวดคิ้วราวกับว่ามีอาการบาดเจ็บสาหัส

หลินม่ายตกใจมาก เธอแค่ผลักเขา ไม่ได้แทงด้วยมีด แต่ทำไมอาการถึงดูแย่ขนาดนั้น

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเจ็บขนาดนั้น” เธอมองอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายตัวสูงใหญ่โดนแค่นี้จะไปเจ็บขนาดนั้นได้ยังไงกัน

“วันนั้นที่มีเรื่องที่โรงพยาบาล ตอนที่สู้กับคนร้าย ผมพลาดถูกตีที่หน้าอกจนซี่โครงหัก แล้วเมื่อกี้คุณไปโดนมันเข้าน่ะ”

“อ๊ะ!” หลินม่ายตกใจ “งั้นพวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”

ชายหนุ่มกลับโบกมือไปมา “มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ถ้าผมเป็นหนักมาก็คงมาเจอคุณวันนี้ไม่ไหวหรอก”

หลินม่ายเอ่ยอย่างเป็นห่วง “แล้ว…ฉันควรทำไงดี?…ตอนนี้คุณไหวไหม”

ชายหนุ่มยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้ายอมให้ผมฝากความรักไว้ให้คุณ มันต้องดีขึ้นแน่เลย รู้ไหมว่าความสุขเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับคนบาดเจ็บนะ”

หลินม่ายไม่ใช่เด็กใสซื่อ ดังนั้นเธอไม่มีทางที่จะหลงกลลูกไม้ตื้น ๆ แบบนี้ของเขาอยู่แล้ว

แต่เธอก็กลับปล่อยผ่าน ทำเป็นว่าเชื่อในสิ่งที่เขาหลอกอย่างสนิทใจ

หญิงสาวค่อย ๆ หลับตาลงอย่างเขินอาย เหมือนกวางน้อยกำลังรอคอยจูบแรกในชีวิตของตัวเอง

ลมหายใจของชายหนุ่มค่อย ๆ ใกล้เข้ามาอีกครั้ง หลินม่ายใจเต้นรัวด้วยอาการประหม่า

แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน “นี่ ๆ อย่ามาทำอนาจารในที่สาธารณะนะ!”

น่าอายที่มีคนอื่นต้องมาเห็นการแสดงความรักของพวกเขาอย่างใกล้ชิดในตอนนี้ ทั้งคู่มองคนนอกคนนั้นอย่างเขินอาย

รปภ.ที่เข้ามาเตือนน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีได้ เขากำลังจ้องมองมาทางนี้อย่างจริงจัง

ในช่วงปี 1980 การจูบกันในที่สาธารณะยังเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับผู้คน!

ทั้งคู่จึงต้องผละจากกันด้วยความผิดหวังปนเขินอาย

ตลอดทางกลับ ฟางจั๋วหรานยังคงมองหาโอกาสเหมาะ ๆ สำหรับการจูบอยู่เรื่อย ๆ

แต่เพราะเพิ่งถูกเตือนมาเมื่อครู่ เขาจึงคิดว่าเธอคงจะอายกับเรื่องนั้น เลยไม่ได้ลองจูบอีก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะจูบเธออีกอยู่ดี

หลินม่ายถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมวันนี้ถึงได้อยากจะจูบฉันขนาดนั้น รออีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่?”

“ไม่ได้สิ ผมมีคู่แข่งคนสำคัญอยู่ที่บ้านคุณเชียวนะ ผมไม่อยากจะให้คุณกลับบ้านไปเจอเขาก่อน”

หลินม่ายกลอกตา “ถ้าคุณหมายถึงหมิงเฉิง คุณจะไปนับเขาเป็นคู่แข่งคุณได้ยังไงกัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน ถ้าระหว่างฉันกับเขามีอะไรกันจริง คงไม่ต้องรอให้ฉันโดนหลอกไปแต่งงานกับผู้ชายแย่ ๆ คนนั้นหรอก ถึงเขาจะชอบฉันอยู่ แต่ถ้าฉันตกลงคบกับคุณแล้ว ก็ตัดเขาออกไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีข้อสงสัยอะไรในความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาอีก”

เมื่อได้ยินหลินม่ายบอกแบบนั้น ฟางจั๋วหรานก็กลับมามั่นใจอีกครั้ง

ทุกครั้งที่เขาเห็นสายตาที่หลี่หมิงเฉิงมองหลินม่าย มันทำให้เขาอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ แม้เธอจะไม่ได้สนใจเขา แต่คุณหมอหนุ่มก็ยังไม่วางใจ

เขายิ้มและจับมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้

ทั้งสองกลับมาถึงร้านโดยที่กุมมือกันไว้ตลอดทาง เพราะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างทั้งคู่ทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกถึงความรักระหว่างกันได้อย่างไม่ต้องเขินอาย ยิ่งเห็นสร้อยคอของเธอ ยิ่งทำให้ใคร ๆ ต่างรู้ได้ในทันทีว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน

โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็มีความสุขมากจนแทบพูดไม่ออก

ส่วนหลี่หมิงเฉิงก็ดูซึมลงไปตามระเบียบ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อมั่นใจหน่อยนะคะ เกือบทำเรือพี่หมอล่มเพราะเรื่องผ้าอนามัยแล้วไหมล่ะ

พอเรือพี่หมอกลับมาลอยลำได้ก็ครองความเป็นใหญ่ในทะเลเพียงผู้เดียวเลย ลูกเรืออื่นๆ มารับชูชีพได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)