ตอนที่ 171 คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 171 คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหน?

ฟางจั๋วหรานยังต้องไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปพักผ่อน

เขาเดินออกมาจากร้านเปาห่าวซือเสี่ยวชือเตี้ยนอย่างไม่เต็มใจ

แต่เมื่อเขาเดินออกไปแค่เพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น หลี่หมิงเฉิงกลับตรงเข้ามาขวางทางเขาไว้

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เด็กหนุ่มบ้านนอก ถึงอย่างนั้นก็ยังหน้าตาดีอยู่บ้าง คิ้วหนา ตาโต รูปร่างสง่าผ่าเผย

ชายหนุ่มรีบโพล่งถามฟางจั๋วหราน “คุณชอบม่ายจื่อเพราะอะไร?”

เพราะฟางจั๋วหรานมีรูปร่างสูงโปร่ง เวลาเขาพูดคุยกับคนอื่นจึงดูเหมือนวางตัวหยิ่งผยอง สายตามองต่ำด้วยความเย็นชา “ผมจะชอบหล่อนเพราะอะไร นั่นเป็นเหตุผลส่วนตัวของผม คงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง”

หลี่หมิงเฉิงไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับจากเขา ยังคงถามต่อไป “คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหนเชียว?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าผมบอกว่าสามชาติสามภพ ไปจนถึงชั่วนิรันดร์ คุณจะเชื่อไหมล่ะ?”

สายตาของหลี่หมิงเฉิงเริ่มฉายแววพ่ายแพ้ “ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าจะชอบหล่อนไปตลอด ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกับหล่อนเลย คุณเป็นลูกผู้ดีมีฐานะร่ำรวย ตราบใดที่คุณเบื่อ จะหาคนใหม่ก็ยังได้ แต่หล่อนทำอย่างนั้นไม่ได้แน่”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานยิ่งเย็นชาลงกว่าเดิม “ผมเข้าใจนะว่าคุณเป็นห่วงเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก แต่คุณไม่ควรเอาทัศนคติแบบนั้นมาตัดสินผม ผมอายุมากกว่าคุณหลายปี คุณควรให้เกียรติผมมากกว่านี้ อีกอย่าง ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องระหว่างผมกับม่ายจื่อ คุณเป็นแค่คนนอก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องส่วนตัวระหว่างเราสองคน”

หลี่หมิงเฉิงยังคงพูดต่อไป “ผมจะเคารพและให้เกียรติคุณก็ต่อเมื่อคุณรักและให้เกียรติม่ายจื่อ ตราบใดที่คุณทำให้หล่อนเสียใจแม้แต่นิดเดียว ผมนี่แหละจะเอาเลือดหัวคุณออกซะ!”

สิ้นสุดการคุกคาม เขาก็ยอมเดินจากไป แต่ความเจ็บปวดในหัวใจกลับทำให้เขาแทบสำลักราวกับจมคลื่นทะเลตาย

เขามาที่เจียงเฉิงก็เพราะหวังว่าตัวเองจะมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างจากหลินม่าย ช่างน่าเศร้าที่เขาตระหนักว่าตัวเองแทบไม่มีทางเอาชนะหัวใจเธอได้เลย

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาคงทำได้แค่ปกป้องความสุขของเธอให้ยังคงอยู่

ร้านของหลินม่ายปิดลงแล้ว

โต้วโต้วขึ้นไปนอนที่ห้องชั้นบนนานแล้ว พนักงานทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

ภายในตัวร้าน หลินม่ายกำลังยกสุราหอมหมื่นลี้ขึ้นจิบช้า ๆ ในขณะที่โจวฉายอวิ๋นคอยชวนคุยอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี ถามถึงคำสารภาพรักของฟางจั๋วหรานอย่างละเอียด

ระหว่างนั้นก็ชะโงกหน้าไปดูสร้อยคอทองคำที่หลินม่ายสวมใส่อยู่ “สร้อยเส้นนี้ดูท่าน้ำหนักคงไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะ คุณหมอฟางคงรักเธอมากจริง ๆ”

หล่อนมีวิธีวัดระดับความรักที่ฝ่ายชายมีต่อฝ่ายหญิง โดยสังเกตจากการที่ฝ่ายชายยอมทุ่มเทใช้จ่ายเงินให้กับฝ่ายหญิงมากแค่ไหน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายที่ไม่เคยทุ่มเทใช้จ่ายเงินให้กับผู้หญิง ก็หมายความว่าเขาไม่ได้รักเธอคนนั้นมากพอ

ดูอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนสิ เขาอุตส่าห์หลอกพ่อแม่ของตัวเอง เพื่อเอาเงินทั้งหมดที่ได้ไปส่งเสียให้หลินเพ่ยมีโอกาสได้เล่าเรียน และมีเสื้อผ้าสวย ๆ ไว้สวมใส่

แตกต่างจากหลินม่ายที่แต่งงานเป็นภรรยาของเขา เขากลับไม่เคยให้เงินเธอเลยสักครั้ง ซ้ำร้ายยังมองเธอเป็นแค่เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเงินตรา

เห็นได้ชัดว่าสร้อยคอทองคำเส้นนี้มีน้ำหนักมากพอประมาณ

ถึงแม้ฟางจั๋วหรานจะมีฐานะร่ำรวยอยู่แล้ว แต่การที่เขาร้องขอให้ใครสักคนช่วยซื้อสร้อยคอทองคำเส้นนี้มาจากฮ่องกงเพื่อมอบเป็นของขวัญให้เธอ ก็ถือว่ามีความจริงใจมาก

หลินม่ายได้แต่ยิ้มหวาน

โจวฉายอวิ๋นชี้ไปที่ห้องชั้นบน “กุหลาบในห้องพวกนั้น คุณหมอฟางก็ซื้อให้เธอด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า

โจวฉายอวิ๋นให้คำแนะนำ “อีกหน่อยเธอก็คอยปรามให้เขาเพลา ๆ การซื้อสิ่งของไม่มีประโยชน์พวกนี้ลงเสียบ้าง เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่กับหลักความเป็นจริงนะ”

หลินม่ายพยักหน้ารับอีกครั้ง

โจวฉายอวิ๋นไม่จำเป็นต้องแนะนำเธอด้วยซ้ำ หลังจากนี้หลินม่ายเองก็ไม่คิดจะร้องขอให้ฟางจั๋วหรานซื้อดอกกุหลาบให้อยู่แล้ว

เก็บเงินก้อนนั้นไว้ เอามาเลือกซื้อวัตถุดิบดี ๆ ไว้สำหรับปรุงอาหารอร่อย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ?

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เธอไม่ได้ใส่ใจความโรแมนติกอะไรมากนัก เพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

อีกไม่กี่วันเธอต้องออกเดินทางไปยังกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายแล้ว ดังนั้นเธอต้องเตรียมตัวให้พร้อม

หลังจากดื่มสุราหอมหมื่นลี้จนหมดแล้ว หลินม่ายก็วานให้โจวฉายอวิ๋นช่วยหยิบเอารายได้ทั้งหมดของวันนี้ออกมาให้หน่อย

โจวฉายอวิ๋นส่งเงินจำนวนมากกว่าห้าร้อยหยวนให้เธอ

หลินม่ายลองคิดคำนวณในใจคร่าว ๆ พอนำเงินตรงหน้าบวกกับเงินหนึ่งร้อยหยวนในสมุดบัญชีธนาคาร และเงินชดใช้ค่าเสียหายจากการทุบรถแทรกเตอร์ที่ได้จากหวังเฉียง ยอดรวมก็ยังน้อยกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ซึ่งถือว่าน้อยนิด

วันพรุ่งนี้… ฉันควรยืมเงินหนึ่งพันหรือสองพันจากฟางจั๋วหรานดีไหมนะ?

ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมา เจ้าตัวก็รีบตัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างไร้ความปรานี

พวกเขาสองคนเพิ่งตกลงใจคบหากันได้ไม่นาน แต่เธอกลับขอยืมเงินเขามากมายขนาดนั้น ทำเหมือนเขาเป็นตู้กดเงินเคลื่อนที่ไปได้ เขาไม่มองว่าเธอหน้าเงินแย่หรือ

ช่างเถอะ ระหว่างนี้ลองขายของที่มีอยู่เท่าที่จะทำได้ไปก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยหาทางขยับขยายทีละขั้นตอน

ยุคสมัยนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนสมุดคู่ฝากได้ จะเบิกถอนเงินจากธนาคารอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเธอต้องการไปที่กว่างโจวเพื่อซื้อของ คงทำได้ถอนเงินสดไปจากที่นี่

นั่นหมายความว่าหลินม่ายต้องพกเงินสดจำนวนมากกว่าหนึ่งพันหยวนติดตัวไปด้วยตลอดการเดินทาง

ถ้าเบิกถอนออกมาเป็นธนบัตรใบละสิบหยวน เงินจำนวนพันกว่าคงหนาเตอะเป็นปึกใหญ่

ระหว่างทางมีโจรปล้นชิงทรัพย์กระจายตัวอยู่ทั่วไป ถ้าพกเงินสดติดตัวไปเป็นจำนวนมากแน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูง

โจวฉายอวิ๋นกำลังคิดหาทางด้วยความกังวล ว่าทำอย่างไรหลินม่ายถึงจะพกเงินสดติดตัวไปด้วยได้อย่างปลอดภัย

พอเห็นหลี่หมิงเฉิงก้าวเข้ามาในร้าน เธอก็โบกมือให้เขาพลางพูดว่า “นายออกไปไหนมา มาระดมความคิดเรื่องที่ม่ายจื่อจะไปกว่างโจวกัน”

หลี่หมิงเฉิงคิดหาวิธีที่ดีไม่ออกเหมือนกัน จึงเสนอด้วยความลังเล “เธอพาฉันไปด้วยสิ ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้ชาย เคยจัดการพวกอันธพาลสองคนในคราวเดียวมาแล้ว”

หลินม่ายตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “นายกล้าหาญมากแต่ก็ยังประมาทเลินเล่อ เกิดนายโดนคนร้ายแทงตายขึ้นมา ฉันต้องเป็นธุระจัดการงานศพให้นายอีก”

หลี่หมิงเฉิงรีบก้มหน้างุดด้วยความละอาย

โจวฉายอวิ๋นครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเสนอว่า “เธอว่าวิธีนี้จะได้ผลไหม เราหากระสอบเก่า ๆ มาสักใบ ยัดพวกเสื้อผ้าเก่ากับสิ่งของไร้ค่าเข้าไป แล้วซ่อนเงินไว้ข้างในสุด”

แววตาของหลี่หมิงเฉิงเป็นประกายขึ้นมา “ผมว่าเข้าท่าดีนะ”

“ไม่ได้อยู่ดี!” หลินม่ายไม่เห็นด้วย “อย่าได้ดูถูกนักล้วงกระเป๋า โจร หรือนักต้มตุ๋นทั้งหลายเชียว สายตาของพวกมันเฉียบคมดีนัก แค่เห็นว่าฉันออกเดินทางไปพร้อมกับกระสอบผ้าในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ มีหวังพวกมันมองออกตั้งแต่แรก!”

สีหน้าของโจวฉายอวิ๋นว่างเปล่า “ถ้าอย่างนั้นควรทำยังไงดีล่ะ?”

หลี่หมิงเฉิงเสนอตัวอีกครั้ง “พาผมไปด้วยก็ได้นี่ มีผมไปด้วยทั้งคน ผมยังสลับกันซ่อนเงินกับม่ายจื่อได้”

หลินม่ายยังคงส่ายหน้า “ฉันรับประกันได้เลยว่านายต้องเปลี่ยนที่ซ่อนเงินทุกสองถึงสามนาที”

หลี่หมิงเฉิงเงียบไป ด้วยรู้ดีว่าตัวเองต้องทำแบบนั้นแน่

ท้ายที่สุดคนที่มีความคิดดี ๆ ก็คือหลินม่าย ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน

ขณะนอนอยู่บนเตียงในยามค่ำคืน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกกุหลาบที่โชยไปทั่วห้องกลับทำให้หลินม่ายข่มตานอนไม่หลับ เฝ้าพะวงสงสัยว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับฟางจั๋วหรานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือเปล่า

ต้องดีสิ! ต่อให้เธอต้องอกหักอีกครั้ง ก็ใช่ว่าเธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้ชายเสียที่ไหน?

หลังจากคิดแบบนี้แล้ว ในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับสนิท

ทางด้านฟางจั๋วหรานนั้นมีความสุขมากจนข่มตานอนไม่หลับ เขาไม่คาดคิดเลยว่าการสารภาพรักในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ

เขานึกว่าตัวเองต้องกลับมาพร้อมกับความล้มเหลวเสียแล้ว

สภาพจิตใจที่แช่มชื่นทำให้คนพลอยกระปรี้กระเปร่าไปด้วย วันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานไปกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายตามปกติ

ทันทีที่เดินผ่านเข้าประตูร้านมา เขาสอดส่ายตามองหาเธอก่อนเป็นอันดับแรก พอเห็นว่าเธอไม่ได้สวมสร้อยคอ จึงถามว่า “ทำไมคุณไม่สวมสร้อยที่ผมให้ไว้แทนใจล่ะ?”

หลินม่ายเหลือบมองเขา “สร้อยคอทองคำเป็นของมีค่านะคะ ถ้าสวมใส่ไว้ตลอดเวลา เกรงจะเป็นการล่อเป้าให้คนเข้ามาปล้นเอาได้”

จริงอย่างที่เธอว่า

ฟางจั๋วหรานเอื้อมไปรับเสี่ยวหลงเปามาจากมือเธอ พลางพูดขึ้นว่า “อีกสองวัน ผมต้องเดินทางไปกว่างโจวเพื่อเข้าร่วมประชุมเชิงวิชาการ ไว้ผมค่อยซื้อสร้อยข้อมือคริสตัลให้ ต่อให้คุณสวมตลอดเวลาก็คงไม่มีใครกล้าขโมยแน่”

โจวฉายอวิ๋นกำลังตักโจ๊กให้ลูกค้าคนหนึ่ง พอได้ยินแบบนั้นก็รีบโพล่งขึ้นทันที “บังเอิญอะไรอย่างนี้ อีกสองวันม่ายจื่อเองก็จะไปกว่างโจวเหมือนกัน ทำไมพวกคุณไม่รวดเดินทางไปพร้อมกันเลยล่ะ”

ฟางจั๋วหรานหันไปถามหลินม่าย “คุณจะไปกว่างโจวทำไม?”

เดิมทีหลินม่ายไม่ต้องการบอกเขา แต่โจวฉายอวิ๋นพูดออกไปแบบนั้นแล้ว ต่อให้พยายามปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

ดังนั้นเธอจึงโน้มตัวไปกระซิบข้างหูเขา “ฉันจะไปกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายค่ะ”

ฟางจั๋วหรานมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ไปคนเดียวเนี่ยนะ?”

“คุณเองก็จะไปกับฉันไม่ใช่หรือคะ?”

ฟางจั๋วหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถามว่า “คุณให้ผมไปด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ไปด้วยกันสิคะ!”

พอฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่คิดจะห้ามปรามเธออีกต่อไป

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

สงสารเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนอยู่เหมือนกันนะคะ ถึงสู้พี่หมอไม่ได้ก็จะคอยซัพม่ายจื่ออยู่เงียบๆ

บังเอิญจริงที่พี่หมอไปกว่างโจวด้วย งั้นก็ไปด้วยกันเลย ไม่งั้นก็เถียงกันไม่จบว่าจะขนเงินไปยังไงไม่ให้โดนปล้นอยู่นั่นแหละ

ไหหม่า(海馬)