ตอนที่ 191 สุ่ยเหยากับสุ่ยเหยา

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 191 สุ่ยเหยากับสุ่ยเหยา

ตี้อู๋เปียนให้พวกบอดี้การ์ดแยกย้าย จากนั้นก็เดินกลับพร้อมมู่เถาเยา

ใบหน้าอันหล่อเหลายิ้มเล็กน้อย เขาถาม “ซาลาเปาน้อย เธอมีศิษย์พี่ที่ว่างๆ อยู่หรือเปล่า”

“ไว้สุดสัปดาห์ฉันกลับหมู่บ้านเถาหยวนจะให้เสี่ยวอันเหยี่ยเลือกศิษย์พี่สักคนมาเป็นอาจารย์แล้วกัน”

“งั้นอันเหยี่ยต้องเข้าเป็นศิษย์ของสำนักซย่าโหวไหม”

ถ้าต้องเข้าสำนัก เขาอยากให้ซาลาเปาน้อยเป็นอาจารย์ของหลานชาย แต่ซาลาเปาน้อยก็งานยุ่งเหลือเกิน…

“แล้วแต่พวกคุณ ตอนนี้อาจารย์เล็กของฉันก็สอนคนนอกอยู่ตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

กลุ่มคนที่มาฝึกพิเศษพวกนั้น!

“ได้ งั้นก็ยังไม่ต้องเข้า ไว้เขาโตอีกหน่อยค่อยให้ตัดสินใจเอง”

ดีไม่ดีอันเหยี่ยอาจแค่สนใจเป็นพักๆ

“อืม ตี้อู๋เปียน พวกคุณจะไปหมู่บ้านเถาหยวนเมื่อไร รอกลับพร้อมฉันวันศุกร์เหรอ”

“รอกลับพร้อมเธอ”

เพราะหมอลู่ไม่ออกมาจากป่าเร็วขนาดนั้น ดังนั้นเขาก็ไม่ต้องรีบร้อนกลับไป

“ได้ เที่ยงวันนี้ฉันไม่กลับมากินข้าว ต้องไปกินที่บ้านอาจารย์อาเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ของฉัน พี่สะใภ้ อันนั่ว เสี่ยวอิน ไปกินด้วยกันหมด”

“อืม ไว้คราวหน้าชวนอาจารย์อาเล็กกับพวกศิษย์พี่ใหญ่ของเธอมากินข้าวที่นี่สิ เที่ยงวันศุกร์ก็ได้ กินเสร็จพวกเราก็กลับหมู่บ้านเถาหยวน”

“ได้ เดี๋ยวตอนเที่ยงฉันจะบอกอาจารย์อาเล็กกับศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าไม่ติดอะไรก็เอาตามนี้”

“อืม ซาลาเปาน้อย วันจันทร์หน้าจะสอบแล้วเหรอ”

“ใช่ สองวันนี้ฉันต้องหาเวลาไปดูเสี่ยวหว่านที่เมืองกังตูหน่อย” ไม่รู้ว่าเสี่ยวหว่านเครียดหรือเปล่า

“อืม”

“ฉันจำได้ว่าน้องๆ ที่เป็นญาติคุณก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ด้วยไหม”

“ใช่ แม่กับพี่สาวฉันจะไปให้กำลังใจพวกเขาที่เจียงตูก็ไม่สะดวก ทำได้แค่วิดีโอคอลไป”

“งั้นทำไมสุดสัปดาห์น้าเล็กยังจะไปที่เผ่าอีกล่ะ เขาเป็นอาแท้ๆ เลยนะ!”

“สุ่ยเหยากับสุ่ยเหยาอยากมีอาสะใภ้มาตลอด”

ไม่มีคนตระกูลอวิ๋นคนไหนไม่คิดเรื่องนี้

“…ลูกชายกับลูกสาวชื่อสุ่ยเหยาเหมือนกันเหรอ งั้นเวลาสองพี่น้องอยู่ด้วยกัน เกิดมีคนอยากเรียกคนใดคนหนึ่ง จะรู้ได้ยังไงว่าเรียกใคร”

“ใช้อักษรเหยาคนละตัวกัน ลูกสาวเรียกเหยาเหยา ลูกชายเรียกเสี่ยวเหยาหรือสุ่ยเหยา”

“อ๋อ! เดี๋ยวฉันจะคุยกับน้าเล็กหน่อย หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จค่อยไปที่เผ่าก็ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าอาฉันรู้เรื่องเข้าต้องไม่พอใจแน่”

ที่เผ่าไม่มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบนี้ เพราะพวกเขาจัดสรรเข้ามหาวิทยาลัยโดยดูตามความสนใจ

ไม่สนว่าคะแนนจะสูงต่ำอย่างไร ขอแค่มีความสนใจก็เลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ สถาบันศึกษาขั้นสูงของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ก็เลยไม่ติดอันดับโลก

ไม่ใช่เพราะคุณภาพการสอนไม่ดีชื่อเสียงถึงไม่โด่งดัง แต่เป็นเพราะพวกเขาจงใจ ไม่รับนักศึกษาต่างชาติ

ถ้านักศึกษาต่างชาติเยอะขึ้น เรื่องของเผ่าก็จะถูกเผยแพร่ออกไปไม่มากก็น้อย

“ซาลาเปาน้อย ฉันเดาว่าน้าเล็กคงเปลี่ยนวันแล้วล่ะ ทุกครั้งก่อนไปที่เผ่าเขาจะบอกเวลาที่แน่นอนให้อาเธอรู้”

“ตี้อู๋เปียน ที่เผ่าไม่มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบนี้ อาฉันอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกพี่ลูกน้องนายต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“ซาลาเปาน้อย หัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงรู้จักกับป้าสะใภ้ใหญ่ของฉัน ก็อาจรู้เรื่องนี้แล้ว”

มู่เถาเยาหยุดเดิน ทำหน้างงมองตี้อู๋เปียน

เธอไม่รู้ว่าอาของเธอรู้จักใครบ้าง เพราะไม่เคยสืบความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนตระกูลเย่ว์

ตี้อู๋เปียนขำสีหน้าของมู่เถาเยา หัวเราะอยู่สักพักถึงถาม “ซาลาเปาน้อย เธอรู้หรือเปล่าว่าอาของเธอเคยเปิดการแสดงในฮอลล์ดนตรีอันดับหนึ่งของโลกตอนอายุยี่สิบ”

“รู้ ฉันเคยเห็นรูปในเน็ต สวยดุจนางฟ้า งดงามเหนือใคร”

ชมเสด็จแม่ได้อย่างไม่ต้องรู้สึกกดดัน!

ตี้อู๋เปียน “…ป้าสะใภ้ใหญ่ของฉันรู้จักกับอาของเธอที่ฮอลล์ดนตรีแห่งนั้น”

มู่เถาเยามองเขาด้วยดวงตากลมแป๋ว

ตี้อู๋เปียนอดหัวเราะอีกรอบไม่ได้

“ซาลาเปาน้อย ถึงแม้ช่วงหลายปีนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ของฉันจะไม่ค่อยได้ติดต่ออาของเธอ แต่เวลามีเรื่องอะไรก็จะบอกอีกฝ่าย หยกที่ลูกพี่ลูกน้องฉันพกติดตัวก็อาของเธอเป็นคนให้มา”

“ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ”

ดูท่าเธอต้องสนใจแวดวงเพื่อนๆ ของอาหน่อยแล้ว

“นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนตระกูลอวิ๋นถึงไม่เห็นแย้งอะไรเรื่องอาของเธอ ไม่ใช่เพราะอาของเธอเป็นหัวหน้าเผ่าหรอก”

“ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์กันแบบนี้ด้วย”

“ยังมีอีกนะ ป้าสะใภ้ใหญ่ของฉันโตกว่าอาเธอสามปี เรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่ มาจากสถาบันเดียวกัน”

มู่เถาเยาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด

นอกจากสืบเรื่อง ‘เย่ว์จืออิ๋ง’ ของตัวเธอเอง ข้อมูลของคนอื่นๆ ในตระกูลเย่ว์ล้วนมาจากในเน็ต ซึ่งก็เป็นข้อมูลส่วนที่พวกเขายินดีเปิดให้โลกภายนอกรับรู้

ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเธอก็ไม่เคยสืบเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

หลังจากแน่ใจชาติกำเนิดของตัวเองเธอยิ่งไม่มีทางสืบเรื่องคนในครอบครัว

“ตี้อู๋เปียน งั้นอาของฉันสนิทกับป้าสะใภ้ใหญ่ของคุณไหม”

“น่าจะถือว่าสนิทนะ มิตรภาพที่แท้จริงใช่ว่าจะรักษาได้ด้วยการติดต่อกันบ่อยๆ ถึงแม้คนบางคนจะไปเที่ยวไปกินข้าวด้วยกันบ่อย แต่พอแยกกันอยู่คนละที่ ความสัมพันธ์ก็จืดจางลงได้อย่างรวดเร็ว แต่กับคนบางคนถึงแม้จะไม่เจอกันนาน ปกติก็ติดต่อกันน้อย แต่ความสัมพันธ์ไม่เคยจืดจางเลยสักนิด”

มู่เถาเยาพยักหน้า

ปู่ตี้ย่าตี้ที่กลับเข้าบ้านมานานแล้วเห็นทั้งสองคนยังไม่กลับมาสักทีจึงจูงเจ้าถุงลมน้อยออกมาตามหา

“อู๋เปียน คุยอะไรกับเสี่ยวเยาเยาอยู่ ทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ”

“ย่าครับ ผมกับซาลาเปาน้อยคุยเรื่องสอบเข้ามหา’ลัยกันอยู่ รวมถึงเรื่องที่ป้าสะใภ้ใหญ่รู้จักกับอาของเธอด้วยครับ”

“ชิงเฉวียนรู้จักกับเย่ว์เลี่ยงเหรอ” ย่าตี้ตกใจ

ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “ครับ ป้าสะใภ้ใหญ่ของผมรู้จักกับหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วครับ”

“เย่ว์เลี่ยงรู้จักกับชิงเฉวียนได้ยังไง” ปู่ตี้ก็ตกใจเหมือนกัน

“ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันครับ แต่ตอนเรียนไม่ได้รู้จักกัน ตอนนั้นป้าสะใภ้ใหญ่ของผมวุ่นอยู่กับการถ่ายละคร ไม่ค่อยอยู่มหา’ลัย พอป้าสะใภ้ใหญ่บอกปัดงานหันกลับมาตั้งใจเรียน หัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงที่เพิ่งอายุสิบเก้าก็เก็บหน่วยกิตครบเรียนจบแล้ว ไปเรียนอีกสถาบันหนึ่งแล้วครับ”

มู่เถาเยาทำสีหน้าคาดไม่ถึงเหมือนคนชราทั้งสอง

“ถ้าอย่างนั้น สองคนนี้ไม่ได้รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย แล้วกลายเป็นเพื่อนกันได้ยังไง”

“ทั้งสองคนรู้จักกันตอนที่แสดงในฮอลล์ดนตรีครับ ผมก็ไม่รู้รายละเอียดว่ารู้จักกันได้ยังไง ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้เล่าอย่างละเอียด”

เด็กสาวสองคนที่อายุเท่ากัน อีกทั้งยังเป็นดาวที่เจิดจรัสเหมือนกัน เป็นเพื่อนร่วมสถาบัน จะรู้จักกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ย่าตี้พูดเตือน “อู๋เปียน เสี่ยวเยาเยาต้องรีบไป ไว้รอเลิกเรียนค่อยคุยเถอะ”

เจ้าถุงลมน้อยปล่อยมือคนชราทั้งสอง วิ่งเข้าไปจูงมู่เถาเยา

“พี่สาว ผมหิวแล้ว”

เขาหิว พี่สาวก็ต้องหิวเหมือนกันแน่

ตี้อู๋เปียนอึ้งไปหนึ่งวินาทีถึงนึกได้ว่ามีคนต้องไปเรียน

“ซาลาเปาน้อย กลับไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไปเรียนสาย”

“อืม”

ทุกคนพากันเข้าบ้าน

มู่เถาเยาขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำ

เนื่องจากไม่มีใครสามารถเข้าไปในตำหนักพระจันทร์ก่อนได้เพื่อทำความสะอาด เมื่อคืนเธอกับเหลียงจีเลยต้องค้างที่บ้านตระกูลตี้

เมื่อเธอลงมาอีกครั้ง ตี้อู๋เปียนก็ได้ให้คนห่ออาหารเช้าไว้แล้ว

“ซาลาเปาน้อย เอาไปกินบนรถนะ”

“ได้ เดี๋ยวเหลียงจีจะเอาสัมภาระของฉันกับของตัวเองไปที่ตำหนักพระจันทร์ รบกวนคุณช่วยหาคนสักสองคนไปช่วยทำความสะอาดหน่อย”

ตี้อู๋เปียนพูดด้วยความจนปัญญา “ซาลาเปาน้อย เรื่องแค่นี้ไม่ต้องย้ำอีกรอบหรอก”

มันยิ่งดูห่างเหิน!

“…”

เห็นบอดี้การ์ดอาคุนขับรถมาที่หน้าบ้านแล้ว ตี้อู๋เปียนจำต้องพูด “ขึ้นรถเถอะ”

“อืม”