ภาคที่ 5 ตอนที่ 15 ชีวิตล้วนจะเป็นดั่งที่ปรารถนา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

อรุณรุ่งต้นฤดูหนาวในห้องมักจะมืดสลัวอยู่บ้าง

ม่านหนาหนักที่ทิ้งตัวลงมาถูกนางกำนัลสองคนเลิกขึ้น ฮ่องเต้เดินออกมาจากด้านใน

“ฝ่าบาท” ขันทีหลายคนรีบเข้ามา

ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ปิดพระโอษฐ์กระแอมเบาๆ สองที

“ฝ่าบาท เสวยโอสถค่อยเสด็จนะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกเบื้องหลังร่าง

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เลิกประชุมค่อยทานก็ไม่สาย” พระองค์ตรัส ศีรษะไม่หันกลับพระเนตรไม่เหล่มอง ตรงดิ่งเสด็จไปด้านนอก

ขันทีทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง หวาดหวั่นทั้งยังวิตก

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระวรกายสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท ไทเฮาได้ยินว่าฝ่าบาทประชุมจนดึกดื่น กำลังกังวลว่าฝ่าบาทจะเกิดเรื่องอันใดถึงให้พวกเรามาเฝ้าดู”

พวกเขารีบเอ่ย

ฮ่องเต้แย้มสรวลอย่างเป็นมิตร

“โทษข้าเอง ข้าไม่อยากให้เสด็จแม่ทรงกังวล จึงไม่ได้พูด” พระองค์ตรัส “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าตอบไทเฮาก็ไม่ต้องพูด แค่บอกว่าข้าตื่นสาย เป็นความผิดของข้าเอง ครั้งหน้าจะไม่แอบเกียจคร้านอีก”

ขันทีทั้งหลายสีหน้าตื้นตัน

“ฝ่าบาททรมานตนเองเกินไปแล้วจริงๆ” พวกเขาถอนหายใจเอ่ย คำนับอย่างเคารพถอยออกไป

พวกเขาย่อมไม่มีทางไม่บอกองค์ไทเฮาว่าฮ่องเต้ประชวรจริงๆ เรื่องขัดพระบัญชาเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ความผิดแต่เป็นความชอบครั้งใหญ่

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรพวกขันทีเหล่านี้จากไป จากนั้นพระพักตร์พลันบึ้งตึงทันที หันพระเศียรสบถกับด้านข้างทีหนึ่ง

ขันทีน้อยทั้งหลายที่รอรับใช้อยู่สองข้างพากันก้มศีรษะทำเหมือนไม่เห็น

หลังฉีอ๋องสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่เคยกวาดล้างผลัดเปลี่ยนขันทีและนางกำนัลในวัง ดังนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของไทเฮา แต่เรื่องราวย่อมต้องเปลี่ยนไป

อย่างไรไทเฮาย่อมค่อยๆ ชราลง ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฮ่องเต้ตั้งกรมขันทีจับกุมขึ้นใหม่ ขันทีก็ไม่ฟังคำสั่งไทเฮามากขึ้นทุกทีๆ

ฮ่องเต้เดินเข้าตำหนักฉินเจิ้ง บรรดาขุนนางที่รอมานานนักเดินเรียงแถว แวบแรกฮ่องเต้ก็เห็นหนิงอวิ๋นเจา ท่ามกลางหมู่ขุนนางอายุมากกลุ่มหนึ่ง คนรุ่นเยาว์มีบรรยากาศสดใหม่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบนหน้าเขามีความเลื่อมใสต่อฮ่องเต้อย่างไม่ปิดบังสักนิด

ขุนนางขี้ประจบฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่ไม่เคยเห็น แต่พระองค์ไม่คิดว่าหนิงอวิ๋นเจาเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านั้น

คนขี้ประจบเหล่านั้นเลื่อมใสเพียงตำแหน่งฮ่องเต้นี่ของเขา แต่ความเลื่อมใสของหนิงอวิ๋นเจามีต่อเขาคนผู้นี้ ตั้งแต่หลังให้เขามาแทนขุนนางจดบันทึกพระดำรัสชั่วคราวก็ได้สมาคมกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเมือง

ตามหลักแล้วหนิงอวิ๋นเจาควรหลบเลี่ยงหรือหวั่นเกรงปิดปากไม่พูด แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนี้ ยามฮ่องเต้ตรัสถามเขาก็ขบคิดอย่างตั้งใจ เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา

“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทพูดถูกต้อง” เขาเอ่ย

หากตอบเพียงเท่านี้ย่อมไม่แตกต่างอันใดกับขุนนางขี้ประจบคนอื่น แต่หนิงอวิ๋นเจายังจะบอกอย่างตั้งใจด้วยว่าทำไมคิดว่าถูกต้อง

“หากเป็นกระหม่อม กระหม่อมก็จะทำเช่นนี้เช่นกัน” ท้ายที่สุดเขาก็จะยังเอ่ยอีก

ถ้อยคำเช่นนี้มักจะให้ความรู้สึกว่าแทนที่จะบอกว่าชมฮ่องเต้ ยิ่งเหมือนชมตัวเขาเองอยู่บ้าง

แต่ฮ่องเต้ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม เพราะหนิงอวิ๋นเจาเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นของตระกูลหนิง ตั้งแต่เล็กก็เป็นเด็กอัจฉริยะ ชายหนุ่มเช่นนี้ย่อมทะนงในตนเอง

ก็เพราะความทะนงเช่นนี้ทำให้เขาไม่เหมือนกับขุนนางขี้ประจบเหล่านั้น การเห็นด้วยกับฮ่องเต้ของเขาเสมือนหนึ่งวีรบุรุษเข้าใจกันมากกว่า

ชมตนเองก็เหมือนชมผู้อื่น นี่ถึงเป็นการชื่นชมและการเห็นพ้องโดยไม่ต้องสงสัยอย่างแท้จริง

การเห็นพ้องเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ทอดถอนใจยิ่ง พระองค์นั่งบนตำแหน่งนี้ แม้ใครไม่พูด แต่ฮ่องเต้มองอาการดูแคลนของพวกเขาในสายตาขุนนางเหล่านี้ออก

เทียบกับองค์รัชทายาทที่ตั้งแต่เล็กถูกเลี้ยงมาเบื้องพระพักตร์อดีตฮ่องเต้ มีอาจารย์ชื่อดังที่ดีที่สุดสั่งสอนออกมาคนนั้น ในสายตาพวกขุนนางเหล่านี้พระองค์ก็เป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งกระมัง

ทว่าพระองค์ไม่ได้โง่จริง เพียงแสร้งโง่มาหลายสิบปีเท่านั้น

คนเหล่านี้ที่ดูถูกพระองค์ถึงโง่เง่า

ดังนั้นได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่โง่คนหนึ่งท่ามกลางคนโง่กลุ่มนี้จึงทำให้คนอารมณ์ดียิ่งจริงๆ สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านท้องพระโรงแล้วทรงนั่งลง ทอดพระเนตรขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารค้อมกายคำนับร้องทรงพระเจริญ เมื่อทอดพระเนตรเห็นในหมู่ขุนนางที่ยืนอยู่นี่ขาดไปคนหนึ่ง พระทัยยิ่งดีขึ้นอีก

เฉิงกั๋วกงคนผู้นี้เก่งนักจริงๆ ทว่าคนผู้ชื่อเสียงเลื่องลือทั้งเก่งทั้งในมือครองกำลังทหารเข้มแข็งผู้นี้เป็นคนสนิทของอดีตองค์รัชทาทยาท อดีตองค์รัชทายาทสิ้นไปแล้ว แต่ยังมีโอรสพระองค์หนึ่ง นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงก็เป็นมิตรยิ่งกับโอรสพระองค์นี้

ตั้งแต่วันนั้นที่ได้ฟังว่าเฉิงกั๋วกงเข้าไปในวังไหวอ๋อง เยี่ยมเยียนไหวอ๋องด้วยตนเอง พระองค์ก็ฝันเห็นเฉิงกั๋วกงพาไหวอ๋องมาบีบพระองค์ให้สละราชสมบัติจนสะดุ้งตื่นหลายครั้ง

ให้ไหวอ๋องตายเสียเรื่องราวทุกอย่างก็จบได้ แต่วันนี้ไหวอ๋องยังตายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้เฉิงกั๋วกงกลายเป็นคนที่ไม่มีภัยคุกคามคนหนึ่ง

เสือเฒ่าที่ถอดเขี้ยวแล้วย่อมกลายเป็นหนูเฒ่า ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว แม้เข้าประขุมเหน็ดเหนื่อยนัก แต่ชีวิตย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ สองที

“ขุนนางที่รักทั้งหลายรอนานแล้ว” พระองค์ตรัสอย่างตำหนิตนเอง

ขุนนางทั้งหลายค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาท คำหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งครั้งที่สองของเฉิงกั๋วกงส่งมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกจากแถวกราบทูลพร้อมทูนฎีกาฉบับหนึ่ง

ฮ่องเต้ขานรับ มองฎีกา สีพระพักตร์ลังเลอยู่บ้าง

ตามหลักแล้วขุนนางผู้หนึ่งขอลาออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้จะไม่อนุญาต หลังจากนั้นขุนนางผู้นั้นจะส่งหนังสือขึ้นมาอีก หลังเช่นนี้สามครั้ง ฮ่องเต้ถึงพระราชทานอนุญาต เช่นนี้เพียงพอไว้หน้าเจ้าแผ่นดินและขุนนาง

แต่ครั้งนี้…

ฮ่องเต้ไม่ต้องการเล่นเช่นนี้ต่อแล้ว พระองค์ไว้หน้ามาพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทรมานตนเองอีกต่อไป

“อนุญาต” พระองค์ตรัสเรียบๆ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

หวงเฉิงกำลังจะเอ่ยปาก แต่ยังมีคนเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง

เขามองหนิงอวิ๋นเจา โทสะก็คร้านจะมีด้วยแล้ว

แล้วแต่เขาเถอะ ประจบเช่นนี้ เวลานี้เป็นสิ่งน่ายินดีที่ได้เห็น

ดูท่าจะมองผิดแล้ว คิดว่าเจ้าหนูนี่ร่วมทางกับเฉิงกั๋วกงเสียอีก แต่ตอนนี้ดูท่าสุดท้ายคนก็รักตนเองยิ่งกว่า

“น้อมรับบัญชา” หวงเฉิงกับขุนนางคนอื่นค้อมกายคำนับรับคำสั่งเสียงพร้อมเพรียง

……………………………………….

……………………………………….

“สิ่งใดก็ไม่เหลือ” เฉินชีกลับมาจากถนน ถูมือขับไล่ความหนาวพลางเอ่ยขึ้น “นอกจากบรรดาศักดิ์เฉิงกั๋วกง ตำแหน่งขุนนางอื่นไม่เหลือสักอย่าง”

ตามหลักถอดอำนาจทหารไป อย่างน้อยก็ต้องแขวนตำแหน่งเปล่าในกรมกลาโหมหรือในกรมอะไรสักอย่างไว้ แต่ครั้งนี้ราชสำนักลงมือเด็ดขาดอย่างยิ่ง ปลดครั้งเดียวเรียบวุธ นี่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย

“เช่นนี้ย่อมทำให้คนใต้หล้ารู้ว่าการขอลาออกจากตำแหน่งของเฉิงกั๋วกงไม่ใช่การขอลาออกจากตำแหน่งปกติ แต่แบกโทษอยู่” ผู้แลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้วเอ่ย

เฉินชีพยักหน้า

“เล่าลือกันออกไปแล้ว บอกว่าเฉิงกั๋วกงละโมบหวังความชอบสงคราม ละโมบยึดติดอำนาจทหาร หมายจะจุดสงครามสองแคว้นขึ้นอีกครั้ง” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทตอนนี้ถึงไม่อาจไม่ปลดเขา”

“ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าชาวบ้านคงมีแต่ไม่พอใจเฉิงกั๋วกง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย

สำหรับประชาชนแล้วไม่เข้าใจหลักการยิ่งใหญ่อะไร พวกเขารู้แค่ทำสงครามเป็นเรื่องน่ากลัวนัก เพียงอยากใช้ชีวิตสงบสุข ผู้ที่หมายทำลายชีวิตอันสงบสุขเหล่านั้นล้วนเป็นคนเลว

เฉินชียิ้มขมขื่นทีหนึ่ง

“แค่กลัวที่ไหนเล่า” เขาผายมือออก “ไม่พอใจจริงๆ วันนี้หัวถนนท้ายซอย คำตำหนิที่มีต่อเฉิงกั๋วกงมากมายนัก”

เขาพูดพลางมองคุณหนูจวินด้านข้างทีหนึ่ง

“ล้วนบอกว่าที่จริงเฉิงกั๋วกงไม่ได้ร้ายกาจปานนั้น ที่ต้านการโจมตีของชาวจินได้ล้วนเป็นคุณงามความชอบของคุณหนูจวินแล้วมีเต๋อเซิ่งชางลงแรงออกเงิน ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไร”

เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจริงๆ นี่เพิ่งขอลาออกจากตำแหน่ง สถานการณ์ก็ฉับพลันดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน

“ข้าจะไปจวนกั๋วกงดูสักหน่อย” นางเอ่ย “ดูซิว่าท่านกั๋วกงมีแผนการอย่างไร”

เมื่อคุณหนูจวินมาถึงจวนกั๋วกง เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาก็กำลังจัดเก็บสัมภาระเดินทาง พวกเขาจะจากเมืองหลวงกลับไปยังบ้านเก่าของเฉิงกั๋วกง จูจั้นบอกนางแล้ว แต่เห็นภาพนี้ ความรู้สึกของนางก็ยังคงสับสนยิ่งนัก

จะจากไปเช่นนี้หรือ?

จะจบเช่นนี้หรือ?

“นี่ไม่ใช่อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้วหรือ?” เฉิงกั๋วกงมองมาพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ข้างนอกที่คุณหนูจวินนำมา “ตอนที่ข้าตัดสินใจจะประกาศความดีความชอบของเจ้าต่อสาธารณะก็ล่วงรู้ถึงวันนี้แล้ว”

แบ่งความชอบไป ย่อมต้องกลายเป็นจุดอ่อนให้สงสัยในความชอบ

เพียงแต่เขาจะไม่ทำสิ่งใดแล้วหรือ? จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ?

“ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว สิ่งที่น่าสงสัยคือข้าคนนี้เท่านั้น แต่ความชอบยังอยู่” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้นาง “นอกจากนี้ยังจะยิ่งเพิ่มพูน”

คุณหนูจวินก็มองตนเองบ้าง

“ความชอบเหล่านี้ล้วนจะรวมมาอยู่ที่ตัวข้าทั้งหมด” นางเอ่ย

“ใช่แล้ว นี่ยังคงเป็นเรื่องดี” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ

นี่นับเป็นเรื่องดีด้วยหรือ?

คุณหนูจวินยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง

นี่ก็เพื่อลดทอนชื่อเสียงของเฉิงกั่กวง ย้ายความสนใจของประชาชนทั้งหลาย นอกจากนี้ให้ประชาชนทั้งหลายยิ่งเชื่อว่าเฉิงกั๋วกงเล่นเล่ห์เอาความชอบ

“นี่สำหรับคุณหนูจวินแล้วเป็นเรื่องดี เจ้าต้องการชื่อเสียงเหล่านี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ยิ่งมากยิ่งดี”

ใช้แล้ว นางต้องการชื่อเสียง ชื่อเสียงที่เพียงพอให้หนึ่งเรียกร้อยขานรับได้

แต่ชื่อเสียงนี่กลับหั่นตรงนั้นมาเพิ่มตรงนี้…

“อย่างไรก็ดีกว่ากำจัดพวกเราทั้งสองคนนะ” เฉิงกั๋วกงยิ้มเอ่ย

นั่นก็ใช่ คุณหนูจวินยิ้มขมขื่น

“แต่ฝ่าบาทก็คงไม่ให้ข้าเพิ่มนานนัก” นางเอ่ยขึ้น

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

“สำหรับเรื่องที่เจ้าต้องการทำ น่าจะพอ” เขาตอบ

คุณหนูจวินตะลึงเล็กน้อย

เรื่องที่นางต้องการทำ? เฉิงกั๋วกงรู้อะไร?

จูจั้นบอกว่าไม่มีทางบอกเรื่องที่นางคือฉู่จิ่วหลิงกับผู้ใด รวมถึงบิดามารดา

ถ้าเช่นนั้นคำนี้ของเฉิงกั๋วกงหมายความว่าอย่างไร?