เรื่องที่นางต้องการทำมีมากมายนัก แต่ก็พูดได้ว่ามีเพียงเรื่องเดียวเช่นกัน
ตนเองมีชีวิตอยู่ ให้พี่สาวน้องชายมีชีวิตอยู่ แก้แค้นให้พระบิดา เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่นางต้องทำ ทว่าจะทำเรื่องเหล่านี้กลับจำเป็นต้องทำเพียงเรื่องเดียวให้สำเร็จ
เรื่องนี้นางซ่อนไว้ลึกในใจ มีเพียงบางครั้งสะดุ้งตื่นจากจากฝันยามดึกดื่นอาศัยราตรีปิดซ่อนความคิดที่แล่นผ่านไปนี้ไว้ ถือเสียว่ายังฝันอยู่
เรื่องนี้นางเองยังไม่กล้าคิดจริงจัง เพราะไกลเกินเอื้อมเกินไป เกรงแต่จะคิดมากจนหมกมุ่น ความคิดสติปัญญาสับสนทำลายโอกาสกลับมาใหม่ที่ได้มาไม่ง่าย
ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางต้องการทำที่เฉิงกั๋วกงเอ่ยถึง หมายถึงอะไร?
ไม่ว่าหมายถึงอะไร ล้วนย่อมต้องเดาอะไรบางอย่างได้
เป้าหมายของนางเห็นชัดปานนี้แล้วหรือ?
“ช่วยโลกช่วยประชาชนน่ะ”
เสียงเฉิงกั๋วกงลอยมา
“ให้ตระกูลได้ชื่อเสียงสืบทอดชั่วกาลนาน”
คุณหนูจวินผ่อนลมหายใจ แล้วก็ขำอยู่บ้าง อย่างไรนางก็ไม่ใช่จวินเจินเจิน ยิ่งนานวันยิ่งลืมจุดนี้ จนถึงขั้นที่ผู้อื่นยังไม่ทันสงสัย ตนเองก็สงสัยตนเองก่อนเสียแล้ว
สำหรับจวินเจินเจินแล้ว ย่อมต้องการเชิดชูชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
นางแย้มยิ้ม
“ดีมากแล้ว” นางเอ่ย
เฉิงกั๋วกงคล้ายไม่รู้สึกถึงอาการประหลาดของนาง
“ใช้ชื่อเสียงย่อมได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิม” เขาเอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน “มีชื่อเสียงมากกว่าเดิมก็ทำมากกว่าเดิมได้ ทำมากกว่าเดิมได้ก็ได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิมได้ เป็นเช่นนี้ไม่จบสิ้น นับประสาอะไรเมื่อท่านเป็นหมอ สิ่งที่ทำคือรักษาโรคช่วยคน ต่อให้เพราะข้า ฮ่องเต้จึงไม่ชอบท่าน ท้ายที่สุดก็ยากจะสู้กับความคิดของประชาชน”
พูดมาพูดไป เฉิงกั๋วกงก็ยังคงกังวลว่าตนจะถูกเขาลากไปด้วย ดังนั้นรู้ชัดว่าภูเขามีเสือถึงยังขึ้นไปเผชิญความลำบาก เผชิญมรสุมคลื่นลมครั้งนี้ แล้วก็อาศัยโอกาสเพิ่มชื่อเสียงให้นาง
“ก็ไม่ใช่เจาะจงเพื่อท่านหรอก” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ไม่อาจเลี่ยงได้ ในเมื่อไม่อาจเลี่ยงได้ก็เลือกวิธีที่ได้ประโยชน์ที่สุดเท่านั้น”
เลือกวิธีทีได้ประโยชน์ที่สุดหรือ?
“ถ้าเช่นนั้นท่านกั๋วกงท่านคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“กลับบ้านสิ ข้าไม่ได้กลับหลายสิบปีแล้ว” เฉิงกั๋วกงยิ้มเอ่ย ท่าทางปรารถนา “ในที่สุดก็มีเวลากลับไปดูสักหน่อยได้แล้ว”
พวกเขากำลังคุยคำนี้อยู่ จูจั้นก็เข้ามา
“ในวังส่งคนไปโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “ไทเฮาเรียกเจ้าเข้าวัง”
ไทเฮา?
คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เฉิงกั๋วกงยิ้ม
“พูดถึงก็มา” เขาเอ่ยขึ้น “วางใจเถอะ ไม่สร้างความลำบากให้ท่านหรอก เวลานี้ไทเฮาเรียกพบก็เพื่อแสดงว่าให้ความสำคัญกับท่าน เป็นเกียรติยศที่พระราชทานให้ท่าน”
ในเมื่อในวังส่งคนมาแล้ว คุณหนูจวินก็ไม่สะดวกรั้งอยู่ที่จวนเฉิงกั๋วกงต่ออีกเช่นกัน นางขอตัวกับเฉิงกั๋วกงสามีภรรยา จูจั้นส่งนางตรงกลับโรงหมอจิ่งหลิว
“เกียรติยศของข้ายังต้องให้พวกเขามามอบให้” คุณหนูจวินเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้าประตู
“ที่จริงไม่ใช่ เพียงแต่พวกเขาคิดว่าเป็นเช่นนี้เท่านั้น” จูจั้นเอ่ยแล้วดึงแขนของคุณหนูจวินไว้อีก “ข้าต้องส่งพ่อข้ากลับบ้านเดิม มีเรื่องหนึ่งข้า…”
“มีเรื่องท่านก็พูดสิ จับนู่นจับนี่” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ย
จูจั้นไม่ได้ปล่อยมือออก
“พูดเรื่องจริงจัง อย่าเอาแต่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้สิ” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย
คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ
“พูดสิ” นางเอ่ย ไม่สะบัดแขนออกอีก
“เจ้าเข้าวังไปอย่าได้ทำเรื่องโง่อย่างก่อนหน้านี้” จูจั้นเอ่ย
เรื่องโง่อย่างก่อนหน้านี้ คุณหนูจวินย่อมเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“เรื่องนั่นของข้าจะเรียกว่าเรื่องโง่ได้อย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ
สีหน้าของนางติดจะดื้อรั้นและไม่พอใจ ไม่ได้ทำให้คนเกลียด กลับกันแลดูซุกซน
จูจั้นอดยิ้มไม่ได้ แล้วก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าขำอันใดจึงรีบทำหน้าบึ้ง
“ไม่ประมาณกำลังตน ยังไม่เรียกโง่หรือ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าก็พูดเอง ใจกล้าไร้แผนการคือก้าวไม่ใช่กล้า”
บทสนทนาสองประโยคสั้นๆ นี่หากคนนอกฟังคงมึนงงสับสน แต่เต็มไปด้วยเรื่องที่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ รวมทั้งชาติก่อนชาตินี้
จูจั้นอดไม่ได้มีความสุขอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็โมโหอีกหน
นี่มีสิ่งใดให้มีความสุข หากเป็นไปได้ใครจะยินดีตายไปเช่นนี้ครั้งหนี่ง
เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันมีคนกระแอมทีหนึ่งด้านข้าง
จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนได้สติกลับมา มองไปก็เห็นเฉินชียืนอยู่ตรงหน้ามองพวกเขาอยู่
จูจั้นพลันกระแอมทีหนึ่งปล่อยมือออกด้วย
“พวกท่าน ไม่มีอะไรกันนะ?” เฉินชีสีหน้าพิกลเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร” คุณหนูจวินกับจูจั้นตอบพร้อมเพรียง “มีเรื่องอะไร?”
เฉินชีหัวเราะแห้งๆ สองที
“ไม่มีอะไรก็ดี” เขาเอ่ย “หากไม่มีอะไรก็ไปดูคุณหนูจ้าวหน่อยเถอะ พวกเขาจะไปแล้ว”
กองทหารชิงซานยังคงประจำการอยู่ที่ค่ายใหญ่ทางตะวันตกของเมืองหลวง แต่พร้อมกับการถอดตำแหน่งของเฉิงกั๋วกง กองทหารชิงซานที่เดิมทีไม่มีคนสนใจก็ถูกขอให้ออกจากเมืองหลวงกลับไปรับคำสั่งที่แดนเหนือทันทีด้วย
นี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมสมควรไม่อาจคัดค้าน คุณหนูจวินก็ไม่ได้คัดค้าน
“เฉิงกั๋วกงจากไปก็ช่างเถิด กองทหารชิงซานนี่จากไปแล้ว ออกจะน่าเสียดาย” เฉินชีเอ่ย
กองทหารชิงซานแข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังเชื่อฟังคุณหนูจวินอีก ที่จริงหากเป็นองครักษ์จะยิ่งดี แต่กลับได้ยศทหาร เข้าสังกัดกองทัพ กลายเป็นกองทหารของต้าโจว นั่นย่อมไม่ใช่ทหารของใครคนหนึ่ง กระทั่งเฉิงกั๋วกง ถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางปุบก็ไม่อาจสั่งเคลื่อนพวกเขาไปซ้ายขวาได้แล้วเช่นกัน
เท่ากับทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้มอบให้ชิงเหอปั๋วเปล่าๆ แล้ว
“นี่พูดว่าน่าเสียดายได้อย่างไร” คุณหนูจวินส่ายศีรษะ “เป็นองครักษ์ของคนผู้หนึ่งมีผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ได้เท่าไร เป็นผู้พิทักษ์ของแคว้นหนึ่งถึงผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่”
ยามตนเองยากรักษา ใครยังสนผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ ผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่แล้วมีประโยชน์อันใด
เฉินชีกลอกตาทีหนึ่ง ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่เคยเข้าใจว่าสตรีคนนี้คิดอย่างไร แต่ดีที่ทุกครั้งสิ่งที่นางทำล้วนถูกต้อง
คุณหนูจวินไม่อาลัยอาวรณ์กับการจากไปของกองทหารชิงซาน นางไม่อาลัยอาวรณ์ คนเหล่านี้ของกองทหารชิงซานก็ไม่อาลัยอาวรณ์ จ้าวฮั่นชิง เซี่ยหย่งรับคำสั่งจากไปอย่างเด็ดขาดฉับไว
กองทหารชิงซานกับเฉิงกั๋วกงจากไปวันเดียวกัน จากไปอย่างเงียบสงบยิ่ง คนเมืองหลวงแทบไม่รู้ เฉิงกั๋วกงถูกปลดจากตำแหน่ง จูจั้นเปล่า แต่เขาต้องอารักขาบิดามารดากลับภูมิลำเนา ดังนั้นจึงจากไปด้วย
“รู้สึกพริบตาเดียวก็เงียบเหงาอยู่บ้างแล้ว” เฉินชีถอนหายใจเอ่ย
เสียงคำของเขาเพิ่งจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำตึงตึงพร้อมกับเสียงตะโกนของหลิ่วเอ๋อร์ด้านใน
“ผ้าคลุมของคุณหนูเล่า?”
“เมื่อคืนวานวางไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าใครเอาไป?”
เอาล่ะ ที่จริงก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน เฉินชีคิด ซุกมือในเสื้อเดินมาถึงโถงด้านหน้า มองโถงด้านหน้าที่ว่างเปล่าก็ถอนหายใจอีกหน
เปลี่ยนไปสิ จิ่นซิ่วของเขายังไม่กลับมา รับช่วงต่อร้านแลกเงินทีหนึ่งช้าเช่นนี้เชียว
เฉินชีเดินมาถึงนอกประตูก็เห็นพนักงานทั้งหลายเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว ฉับพลันก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาบนถนน
ยามเช้าตรู่คนบนถนนยังไม่มาก คนที่ขี่ม้ามาจึงเห็นชัดยิ่ง
“อ้าว ขุนนางน้อยหนิง” เฉินชีรีบเอ่ยเรียก
หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มควบม้าเข้ามาใกล้
ไม่ได้เห็นหน้าเขาหลายวันแล้ว คุณหนูจวินกลับมาปุบก็พบเขาอีกแล้ว เฉินชียิ้ม
“ขุนนางน้อยหนิง ท่านผ่านทางมาหรือ?” เขาคิดถึงเรื่องที่ฟางจิ่นซิ่วล้อหนิงอวิ๋นเจาก่อนหน้านี้แล้วยิ้มถาม
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว
“ไม่ใช่หรอก” เขาเอ่ย “วันนี้คุณหนูจวินต้องเข้าวัง ข้าจึงตั้งใจร่วมทางกับคุณหนูจวิน อย่างไรพวกเราก็เป็นสหายร่วมภูมิลำเนาที่หยางเฉิงไหม”
นับถือ
เข้าวังยังเอาภูมิลำเนามาอ้างได้ เหตุผลนี่ก็มีแต่ขุนนางน้อยหนิงที่คิดออกมาได้พูดออกมาได้
เฉินชีมองเขาด้วยสีหน้านับถือ