ภาคที่ 5 ตอนที่ 17 วาจาเอื้อนเอ่ยคนตะลึง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

รถม้าขับช้าๆ ไปบนถนนยามเช้าครู่ เสียงกีบเท้าม้าสะท้อนก้องดังกุบกับ

“ข้าก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ถึงใจกล้าถอยรวดเร็วเป็นเรื่องดีกับเฉิงกั๋วกงตอนนี้ แต่เกรงว่าถอยทีละก้าวๆ กลับจะบีบตนเองให้จนหนทาง”

หลังพบหน้านี่คือประโยคแรกที่เขาเอ่ย

ไม่เกรงใจไม่มีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เปิดปากเข้าประเด็นก็เป็นประโยคแรกนี้

คุณหนูจวินมองไปหาเขาจากหน้าต่างรถที่เลิกม่านขึ้น

“แต่หากไม่ถอย ก็เป็นทางตัน” นางเอ่ยตอบ

อย่างไรก็ไม่อาจฝืนต่อต้านฮ่องเต้ได้กระมัง เกรงว่าฮ่องเต้ก็กำลังรอเขาทำเช่นนี้ นั่นย่อมยิ่งมีเหตุผลเอาผิด

เขารู้ว่าสิ่งที่นางกังวลคืออะไร นางก็ไม่ปิดบังสิ่งใดกับเขา บทสนทนาระหว่างพวกเขาก็ผ่อนคลายสบายๆ เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว

“ก็ใช่” เขาเอ่ย แล้วเอนกายเข้าใกล้นิดหนึ่งอีกหน “ฝ่าบาทพักนี้นับวันยิ่งตรงไปตรงมาเด็ดขาดขึ้นทุกทีแล้ว”

ตรงไปตรงมา

คำนี้ใช้ได้ดีจริง

ฮ่องเต้จอมเสแสร้งเช่นนี้ในที่สุดก็จะตรงไปตรงมาแล้ว บัลลังก์ยิ่งนั่งยิ่งมั่นคง ขุนนางใหญ่ที่ไม่ใช่พวกเดียวกันล้วนถูกกำจัดแล้ว เขาไม่ต้องกังวลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งดีงามเมตตาอีกต่อไปแล้ว

คุณหนูจวินหัวเราะเย้ยหยันทีหนึ่ง

“แต่ข้ากลับไม่เป็นห่วงเฉิงกั๋วกง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ “ในเมื่อเขาทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เรื่องดีเรื่องไม่ดีเขาย่อมล้วนคิดไว้แล้ว”

คุณหนูจวินพยักหน้า

แม้เฉิงกั๋วกงสิ่งใดก็ไม่ได้พูด ดูไปแล้วอยากกลับบ้านเกิดใช้ชีวิตบั้นปลายเสพสุขอย่างสบายๆ จริง แต่เขาย่อมรู้ว่าวันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเสพสุขสบายๆ ได้จริง

ส่วนเขาวางแผนอะไรไว้ คนทุกคนล้วนมีเรื่องที่ไม่อยากบอกผู้อื่น เขาไม่พูดก็ไม่มีอะไร

“กฎของการเข้าเฝ้าคืออะไร?” หนิงอวิ๋นเจาพลันเอ่ยขึ้น

“ฟังให้มากพูดให้น้อย” คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มเอ่ย

หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วย นั่งตัวตรงเงยสายตามองไปข้างหน้า ตลอดทางไม่พูดเพิ่มอีกก็มาถึงหน้าประตูวัง เขามองคุณหนูจวินลงจากรถตามขันทีผู้มาต้อนรับไปยังวังหลังถึงเดินมาหาหมู่ขุนนางที่ทยอยมา

สตรีคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูวังดึงดูดความสนใจของผู้คนตั้งนานแล้ว ส่วนคุณหนูจวินก็เป็นคนที่ทุกคนล้วนรู้จัก ความสัมพันธ์ของคุณหนูจวินกับหนิงอวิ๋นเจาทุกคนยิ่งรู้

“ใต้เท้าหนิงกับคุณหนูจวินคนนี้ดูแล้วก็ยังคงเหมือนเช่นวันวาน” หวงเฉิงพลันเอ่ย

วันวานหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินคนนี้เป็นคนที่จะเป็นสามีภรรยากันเชียวนะ

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม

“นั่นแน่นอน” เขาเอ่ย “ต้องรู้ว่าสัญญาหมั้นของข้ากับคุณหนูจวินมาจากบุญคุณช่วยชีวิตที่ตระกูลจวินมีต่อตระกูลหนิง สัญญาหมั้นไม่อยู่ บุญคุณช่วยชีวิตทั้งชีวิตยากลืม”

อย่างไรก็ล้วนยากลืม ทำไมยากลืมไม่ใช่เขาพูดไปตามใจรึ

หวงเฉิงยิ้มแล้ว สรุปคือหากเจ้าพูดแทนคุณหนูจวินย่อมมาจากความรู้สึกส่วนตัวไม่ใช่ความถูกต้อง

ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ได้มาสาย ทรงมาถึงตำหนักฉินเจิ้งพร้อมกับเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้ดูไปแล้วกระปรี้กระเปร่าดียิ่งกว่าก่อนหน้านี้ สองตาระยิบระยับ กวาดท่าทางอ่อนโยนถึงขั้นขี้ขลาดอ่อนแออยู่บ้างก่อนหน้านี้ไปทีเดียวจนสิ้น

ปลดอำนาจทหารของเฉิงกั๋วกงไปดูท่าจะแก้ปมในใจของฮ่องเต้แล้วจริงๆ

หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยในใจ เพิ่งยืนเรียบร้อยก็เห็นหวงเฉิงก้าวออกมาก้าวหนึ่ง

“ฝ่าบาท” เขาค้อมกายเอ่ย “กระหม่อมขอโปรดลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานโทษฐานเลี่ยงศึกจนพลาดเกิดอันตราย”

อืม เป็นอย่างที่คิดถอยทีละก้าวกลายเป็นบีบแน่นทีละก้าวๆ หนิงอวิ๋นเจาถือป้ายเตือนความจำสีหน้านิ่งสนิท

“ใต้เท้าหวง เฉิงกั๋วกงลงจากตำแหน่งแล้ว ความผิดก่อนหน้านี้ก็ช่างเถิด” ฮ่องเต้ตรัสอย่างอ่อนโยน “เห็นแก่ที่เขาปกป้องชายแดนให้แคว้นมาสิบปี ใช้ความชอบทดแทนเถอะ”

หวงเฉิงเงยศีรษะ

“ฝ่าบาททรงเมตตา ทว่าต้องดูว่าเป็นความผิดอันใด” เขาเอ่ย “บางสิ่งทดแทนได้ บางสิ่งไม่ได้”

ฮ่องเต้ขานอ้อ

“ตัวอย่างเช่น?” เขาเอ่ยถาม

“คิดกบฏ” หวงเฉิงเอ่ย

คำนี้เอ่ยออกมา กระทั่งหนิงอวิ๋นเจาที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วยังตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน

คิดกบฏ? โทษนี่แรงจริงๆ

พระเนตรของฮ่องเต้วาววับ

“ใต้เท้าหวง” พระองค์ตวาด “วาจาไม่อาจพูดส่งเดชได้!”

หวงเฉิงก้าวมมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“กระหม่อมไม่กล้าพูดส่งเดช” เขาเอ่ยเสียงมั่นคง “ตั้งแต่เฉิงกั๋วกงออกจากแดนเหนือ ทหารทั้งหลายก็ไม่ถูกอำนาจกดดันอีกต่อไป คนไม่น้อยพากันฟ้องการกระทำชั่วร้ายเรื่องเลวทรามของเขา”

“ข้ารู้เรื่องเหล่านี้ ฎีกากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงมากนักเสมอ” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์เอ่ย

“ไม่ ฝ่าบาท คำกล่าวโทษก่อนหน้านี้มาจากสำนักผู้ตรวจการไม่ก็ขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งหลายของเมืองในแดนเหนือ” หวงเฉิงเอ่ย “แต่ครั้งนี้ผู้ที่ร้องเรียนเปิดโปงล้วนเป็นทหารทั้งหลายของแดนเหนือ”

เขาก้าวเท้ามั่นคงมาข้างหน้าหนึ่งก้าว

“ก่อนหน้านี้กระหม่อมไม่เคยกราบทูล ประการแรกด้วยไม่เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงจะเหิมเกริมถึงขั้นนี้ ประการที่สองฝ่าบาทพระราชทานรางวัลความชอบยิ่งใหญ่ให้เฉิงกั๋วกง ดังนั้นกระหม่อมจึงลอบตรวจสอบมาตลอด คิดไม่ถึงยิ่งค้นยิ่งมาก ส่วนพฤติกรรมของเฉิงกั๋วกงก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน แทบจะยุแยงให้สองแคว้นขัดแย้ง กระหม่อมไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป”

ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์หึ่งๆ ดังขึ้น

“เฉิงกั๋วกงพฤติกรรมกำเริบเสิบสาน ข้าเข้าใจจุดนี้ เขาโอหังยึดครองความชอบกดขี่ทหาร ข้าก็เข้าใจได้” ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะตรัส “แต่คิดกบฏนี่…”

พระองค์ส่ายศีรษะ

“เฉิงกั๋วกงเป็นแม่ทัพที่อดีตฮ่องเต้ไว้วางพระทัย คุณธรรมสูงส่งชื่อเสียงเลื่องลือ เรื่องเช่นนี้ข้าไม่เชื่อ”

หวงเฉิงไม่รีบไม่ร้อนสีหน้านิ่งสงบเฉกเช่นน้ำเสียง

“กระหม่อมรู้ว่าพูดปากเปล่าไม่น่าเชื่อ” เขาเอ่ย “กระหม่อมมีพยานและหลักฐาน”

พยานและหลักฐาน?

ฮ่องเต้นั่งพระวรกายตรง

“พาเข้ามา” พระองค์ตรัส

บรรดาขันทีรับบัญชาประกาศเรียก ขุนนางทั้งหลายหันศีรษะมองไป เห็นนอกท้องพระโรงมีคนสองคนเดินเข้ามา

พวกเขาสวมชุดขุนนางของแม่ทัพ รูปร่างกำยำ แต่เหมือนขุนนางที่เพิ่งเข้าวังเผชิญหน้าเจ้าแผ่นดินเป็นครั้งแรกทุกคนก้มศีรษะตัวสั่นระริก ไม่รอเดินมาถึงด้านหน้าใกล้ๆ ก็คุกเข่าลงร้องทรงพระเจริญหมื่นปีเสียงดัง

“เงยหน้าขึ้นมา” ฮ่องเต้ตรัส

แม่ทัพทั้งสองเงยหน้าขึ้น ขุนนางทั้งหลายที่นั่นล้วนสีหน้าประหลาดใจ สีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาก็เคร่งเครียดขึ้นเช่นกัน

“คิดว่าทุกคนคงรู้จัก” หวงเฉิงเอ่ย “สองคนนี้คือรองแม่ทัพสองคนที่เฉิงกั๋วกงวางใจที่สุด หวังชง จางกุ้ย พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้าติดตามเฉิงกั๋วกงมากี่ปีแล้ว?”

แม่ทัพทั้งสองคนค้อมกาย

“กระหม่อมติดตามเฉิงกั๋วกงมายี่สิบสามปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาตอบเสียงพร้อมเพรียง

ไม่ต้องให้หวงเฉิงถาม ขุนนางทั้งหลายที่นั่นก็ล้วนรู้จัก รู้จักเฉิงกั๋วกงย่อมรู้เช่นกันว่าเฉิงกั๋วกงมีแม่ทัพคนสนิทสองนาย ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองอำนาจก็ติดตามอยู่ข้างกาย ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง เพราะทิ้งสองคนนี้ประจำการที่แดนเหนือถึงวางใจ

คำให้การของแม่ทัพคนอื่นไม่น่าเชื่อ คำพูดของสองคนนี้ย่อมไม่เหมือนกัน

นี่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว หรือจะคิดกบฏจริงๆ? ไม่เช่นนั้นใครจะเกลี้ยกล่อมสองคนนี้ให้ร้องเรียนเฉิงกั๋วกงได้?

สายตาของหนิงอวิ๋นเจากวาดผ่านหวงเฉิง ในใจส่ายศีรษะ

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามเรื่องนี้ ดูท่าครั้งนี้ไม่เพียงจะแย่งชิงอำนาจทหารของเฉิงกั๋วกง แต่จะเอาชีวิตของเขาแล้ว

บีบจนสิ้นหนทางจริงๆ แล้ว

นี่เร็วเกินไปแล้ว ยังคิดว่าจะถ่วงไปได้อีกช่วงหนึ่งเสียอีก

ความคิดแล่นผ่าน ในใจก็อดไม่ได้กระตุกวูบหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวินข้างในวัง…จะยังอยู่ดีไหม?

……………………………………….

……………………………………….

คุณหนูจวินตอนนี้อยู่ในตำหนักชิวจิ่ง

นางยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง แล้วก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งอันใด

นางกำลังหยุดเท้ามองรอบด้าน

ที่นี่ห่างจากตำหนักไทเฮาไม่ไกล ที่นางมาที่นี่ก็เพราะไทเฮาให้นางมารักษาอาการป่วยให้สนมคนหนึ่ง

อาการป่วยของสนมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แล้วนางก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้ง เพียงแต่ตอนที่นางกำนัลของพระสนมมาส่งนางเดินมาถึงครึ่งทางฉับพลันก็เอ่ยว่ามีธุระ

“คุณหนูจวินท่านออกจากวังเองนะเจ้าคะ” นางเอ่ยประโยคหนึ่งก็ทิ้งนางไว้กลางทางแล้วจากไป

ตนเองออกจากวังไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่เรื่องนี้แปลกพิกลอยู่บ้าง

นางกำนัลคนนี้ถูกคนสั่งให้จงใจกลั่นแกล้งนางหรือ?

เป้าหมายเล่า?

ให้นางเดินส่งเดชเพราะไม่รู้จักทางในวัง หลังจากนั้นตำหนิใส่ร้ายนางว่าชนกับผู้สูงศักดิ์อะไรเข้ารึ?

หากคิดหมายเรื่องนี้อยู่ ถ้าเช่นนั้นพวกนางก็คงต้องผิดหวังแล้ว

ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งนางใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่เล็ก ต่อให้ไม่มีนางกำนัลขันทีนำทาง นางหลับตาก็เดินออกไปได้

ในใจนางความคิดวนเวียน เท้าก็เดินผ่านทางแคบอ้อมผ่านตำหนักหลังแล้วหลังเล่าไม่หยุด ประตูวังเห็นอยู่ไกลๆอย่างรวดเร็วยิ่ง ขอเพียงเดินออกจากทางแคบเส้นนี้เท่านั้น

นางเร่งฝีเท้าเดินเข้าใกล้ประตูระหว่างพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นใน ยกเท้าอย่างชำนาญ ไม่ก้าวข้ามไปคราวเดียว แต่แตะเท้าแผ่วเบา เหยียบผ่านบันไดขั้นหนึ่งถึงแตะเท้าลงอีกครั้ง

“ฉู่จิ่วหลิง”

เวลานี้เองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

คุณหนูจวินขานรับอย่างไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็ขนหัวลุกเหงื่อแตกทั้งร่าง

นางรู้ว่านี่เป้าหมายคืออะไรแล้ว!

มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นทีละก้าวๆ ดังมาจากด้านหลังร่างพร้อมกับเสียงเข้มต่ำของบุรุษ

“เจ้ากลับมาแล้ว”