ตอนที่ 18 เจ้ายากหนี
ฉู่จิ่วหลิง
ชื่อนี้ นางอยากให้คนบางคนรู้คนบางคนเรียก ตัวอย่างเช่นพี่สาวกับน้องชาย
แล้วก็มีคนที่คิดไม่ถึงไม่เคยคาดไว้รู้และเรียกออกมา ตัวอย่างเช่นจูจั้น
แต่มีคนผู้หนึ่งที่นางไม่อยากได้ยินชื่อนี้เรียกออกมาจากปากเขาอย่างเด็ดขาด
คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิมไม่หันศีรษะกลับ ฝีเท้าหลังร่างก็หยุดลงด้วย
ไม่มีใครพูดแล้วก็ไม่มีใครขยับ ทั้งโลกพริบตาหยุดชะงัก
สายตาด้านหลังร่างประหนึ่งงูตัวหนึ่งยึดครองบนแผ่นหลังของนาง ไม่ได้เลื้อย มีเพียงความหนาวเย็นยะเยือกแทรกซึมไม่หยุด
ทำอย่างไร?
นางเคยแสร้งเป็นฉู่จิ่วหลิงเพื่อซ่อนจดหมายของอาจารย์ที่ฝังอยู่ไม่ให้ถูกลู่อวิ๋นฉีค้นพบ
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เพื่อไม่ให้เขาคิดว่านางคือฉู่จิ่วหลิง นางควรแสร้งทำอะไร?
นางได้ยินผิดแล้ว ไม่ได้ยินฉู่แซ่นี้ ได้ยินเพียงจิ่วหลิง นี่เป็นชื่อที่นางคุ้นเคย ดังนั้นจึงเข้าใจผิดตอบรับ
พระราชวังนี่นางเคยมาครั้งสองครั้ง ความจำนางดี ดังนั้นต่อให้ไม่มีคนนำทาง นางก็เหมือนเดินบนที่ราบ
เดินบนที่ราบ
ความคิดแล่นผ่าน คุณหนูจวินพลันยกเท้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า
วิ่งออกไป วิ่งออกจากที่นี่ ขอเพียงไปถึงต่อหน้าผู้คนย่อมมีวิธีพูดอธิบายเป็นพันเป็นหมื่นแบบ ไม่อาจตกอยู่ในมือเขาได้เด็ดขาด
หลังร่างไม่มีฝีเท้าไล่ตามมา ด้านหน้าก็ไม่มีคนขวาง ประตูวังอยู่แค่ตรงหน้า มองเห็นองครักษ์ทั้งหลายเดินอยู่แล้ว ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ติดตามทั้งหลายของเหล่าขุนนางนอกประตูวังได้เลือนรางแล้ว
ทว่าครู่ต่อมาหลังร่างพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ด้านหลังลำคอของนางชาวูบ
ครั้งนี้ประมาทแล้วจริงๆ
ความคิดสุดท้ายแล่นผ่าน คุณหนูจวินครางเสียงต่ำทีหนึ่งเบื้องหน้าพลันมืดมิดล้มไปข้างหน้า นางไม่ได้ล้มลงบนพื้น องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านข้าง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นมือหนึ่งรับนางไว้อย่างมั่นคง มือหนึ่งสะบัดผ้าคลุมสีแดงเลือดคลุมคนไว้อุ้มขึ้นมาถอยออกไป
หน้าประตูวังฟื้นกลับมาสงบเงียบ ขันทีที่ผ่านทางมองมาโดยไม่ทันคิด เห็นลู่อวิ๋นฉียืนเอามือไพล่หลังอยู่ในทางเดินแคบ คนทั้งร่างซ่อนอยู่ในเงามืดใต้กำแพงสูง มีเพียงผ้าคลุมสีแดงเลือดสะบัดไหวตามลม ขันทีทั้งหลายพลันตัวสั่นทีหนึ่งรีบหลบสายตาหดศีรษะก้าวเร็วไวเดินผ่านไป
……………………………………….
หนิงอวิ๋นเจาหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นในหูได้ยินเสียงป้าบดังขึ้น
ฮ่องเต้โยนฎีกาในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ ฎีกาที่กองอยู่ถูกแรงมากฟาดล้มทันที เสียงเกรียวกราวดังสะท้อนในตำหนัก
“ข้าไม่เชื่อ!” ฮ่องเต้ตวาด สีหน้าเศร้าโศกโกรธเกรี้ยว ชี้แม่ทัพสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ข้าไม่เชื่อคำที่พวกเจ้าพูด”
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมพูดจริงทุกประโยค” แม่ทัพทั้งสองโขกศีรษะ “หากมีคำโกหกขอให้ฟ้าลงทัณฑ์ห้าอสนีบาตฟาด”
“ฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่าเรื่องนี้ทำให้คนตื่นตะลึงเกินไปแล้ว อดีตฮ่องเต้กับฝ่าบาทไว้วางพระทัยเฉิงกั๋วกงเช่นนี้ ยากจะเชื่อลงจริงๆ แต่พยานและหลักฐานล้วนมี นี่ไม่ใช่กระหม่อมใส่ร้ายด้วยความแค้นส่วนตัวนะพ่ะย่ะค่ะ” หวงเฉิงเอ่ย สีหน้ายังคงโศกเศร้าโกรธเกรี้ยวคุกเข่าลง “ขอฝ่าบาทตรวจสอบให้กระจ่างด้วย”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นเดินไปมา หวาดผวา โกรธเกรี้ยวทั้งยังกระวนกระวาย
“ข้าไม่เชื่อ” พระองค์เพียงเอ่ยซ้ำ “ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าพยานเหล่านี้ ไม่เชื่อหลักฐานเหล่านี้ของพวกเจ้า”
พระองค์ฉับพลันหยุดงฝีเท้า
“ข้าต้องการฟังเฉิงกั๋วกงพูด”
พูดจบพลันโบกพระหัตถ์
“ลู่อวิ๋นฉี เรียกลู่อวิ๋นฉีมา”
ต้องการฟังเฉิงกั๋วกงพูด นอกจากนี้ให้ลู่อวิ๋นฉ๊ไปถาม นั่นย่อมต้องการจับกุมเข้าเมืองหลวงแล้ว
หวงเฉิงค้อมร่างกำลังจะตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา แต่มีคนชิงก่อนอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาหมุนตัวค้อมกาย “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม”
สิ่งที่พูดถึงกับไม่ใช่ฝ่าบาททรงพระปรีชา?
หวงเฉิงตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มหยัน
เป็นอย่างที่คิด อาศัยการประจบยืนอยู่ตรงนี้ ย่อมไม่มีทางพอใจเอ่ยเพียงฝ่าบาททรงพระปรีชา ดูเถอะเริ่มต้องการพูดคำที่ตนเองคิดจะพูดแล้ว
แต่เจ้าหนู ก็รอเจ้าอ้าปากนี่อยู่เลย เจ้าคิดว่าเจ้ากล่อมไม่ให้ฝ่าบาทจัดการเฉิงกั๋วกงได้หรือ? ก็แค่ทำให้ฝ่าบาทรู้ว่าพวกเจ้าอาหลานแซ่หนิงเป็นอสรพิษมุสิกรังเดียวกับเฉิงกั๋วกงอย่างที่คิดเท่านั้น
ฮ่องเต้เห็นชัดยิ่งว่าประหลาดใจอยู่บ้าง สายตาทอดลงจากเบื้องสูงมองไปหาหนิงอวิ๋นเจา
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าให้ใต้เท้าลู่ไปไม่เหมาะ” หนิงอวิ๋นเจาไม่รอฮ่องเต้ตรัสถามก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น สีหน้าจริงจังตรงไปตรงมา “สมควรให้ศาลต้าหลี่ออกหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ห้ามหรือ? หวงเฉิงไม่ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ศาลต้าหลี่ นั่นไยไม่ใช่ต้องการเอาผิด” พระองค์ตรัสพลางส่ายศีรษะ “ข้าเพียงต้องการถามเขาดูก่อน ข้าไม่เชื่อว่าเขามีความผิด”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากฝ่าบาทไม่ต้องการเอาผิดเขาก็มีแต่ให้ศาลต้าหลี่ทำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ให้ใต้เท้าลู่กับองครักษ์เสื้อแพรออกหน้ากลับจะทำให้ประชาชนทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งจะถูกคนเล่าลือว่าใส่ร้าย”
ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยที่สุด
ฮ่องเต้สีพระพักตร์ลังเล
“เฉิงกั๋วกงถูกร้องเรียนว่าคิดกบฏเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก ต้องลือลั่นใต้หล้าแน่ กระหม่อมไม่ต้องการให้ฝ่าบาทมีพระทัยเชื่อมั่น ตั้งพระทัยจะปกป้องเฉิงกั๋วกงแท้ๆ กลับถูกผู้คนคลางแคลง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพลางก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวอีกหน “ฝ่าบาทไม่มีสิ่งใดให้ละอายต่อเฉิงกั๋วกง ก็ดูแค่ว่าเฉิงกั๋วกงกล้าประจันหน้ากับศาลต้าหลี่ในใจไม่มีสิ่งใดให้ละอายหรือไม่”
ใช่แล้ว เรื่องนี้เมื่อประกาศออกไปปุบย่อมต้องฮือฮาทั้งใต้หล้า ต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า เรื่องนี้อย่างไรก็ให้ผู้อื่นออกหน้าเป็นดี
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ใต้เท้าหนิงพูดถูกต้องอย่างที่สุด” พระองค์ตรัส สูดหายใจลึกคำหนึ่ง “ข้าเชื่อเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องไม่มีปิดบังไม่มีซ่อนเร้น นี่ถึงเป็นการเชื่อเขาอย่างแท้จริง”
สายพระเนตรของพระองค์มองไปยังขุนนางคนหนึ่งในท้องพระโรง
“ศาลต้าหลี่รับบัญชา รับคดีหวังชง จางกุ้ยฟ้องเฉิงกั๋วกงจูซานคิดกบฏ”
สีหน้าของขุนนางแม้ไม่น่าดู เห็นชัดยิ่งว่าไม่อยากรับงานโชคร้ายนี่ แต่ก็จนปัญญาค้อมกายขานรับพ่ะย่ะค่ะ
ที่แท้ต้องการให้ศาลาต้าหลี่มาสอบสวนตดี นี่มีประโยชน์อะไรอีกเล่า?
ให้องครักษ์เสื้อแพรสืบสวนหรือให้ศาลต้าหลี่สืบสวน ผลลัพธ์ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง หยุดเท้าที่ก้าวออกไปกำลังจะขวาง
หรือคิดว่าศาลต้าหลี่จะเป็นธรรมกว่าคุกขององครักษ์เสื้อแพรหรือ? เป็นคนอายุน้อยจริงๆ
จัดการทุกสิ่งนี่แล้วฮ่องเต้ก็คล้ายเหน็ดเหนื่อยนักหนา กระทั่งสักประโยคก็ไม่ต้องการตรัสเพิ่ม
“ก่อนหน้าศาลต้าหลี่สอบสวน พวกเจ้าสิ่งใดล้วนไม่ต้องพูด” พระองค์นั่งลงค้ำพระนลาฏ “ข้าไม่เชื่อคำพูดผู้ใดทั้งนั้น”
ตรัสจบก็โบกพระหัตถ์
ขุนนางทั้งหลายค้อมกายคำนับเดินเรียงแถวถอยออกไป แต่ละคนๆ จิตใจไม่สงบ สีหน้าหลากหลายอารมณ์เหม่อลอยจนไม่ได้เห็นฮ่องเต้เงยพระเศียรขึ้นด้านหลังร่างพวกเขา สายตาจับอยู่บนร่างแม่ทัพจางกุ้ยที่กำลังก้มศีรษะถอยออกไป
จางกุ้ยคล้ายสัมผัสได้จึงหันหน้ากลับมาเล็กน้อย เห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้ สีหน้ากลับไม่ได้สั่นกลัวอย่างก่อนหน้านี้ เพียงค้อมร่างนิดหนึ่งทันทีแสดงความเคารพ คล้ายคำนับแล้วก็คล้ายกำลังรับปากอันใด
คนทั้งหมดล้วนถอยออกไปแล้ว ขันทีทั้งหลายปิดประตูตำหนักอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งนาทีนี้ฮ่องเต้ถึงคลายมือที่กุมหน้าผากออก ความเหนื่อยล้าโศกเศร้าโกรธเกรี้ยวเต็มพระพักตร์กวาดทีเดียวหายสิ้น คนเอนกลับไปบนพนักบัลลังก์ ยกเท้าสองสามทีถีบฎีกาที่กระจายเกลื่อนบนโต๊ะลงไป
ในตำหนักเสียงโครมครามดังขึ้น
ขันทีทั้งหลายด้านนอกได้ยินเข้าคิดเพียงว่าฮ่องเต้ยังบันดาลโทสะอยู่ สีหน้าตึงเครียดรีบก้มศีรษะเงียบเสียง
ฮ่องเต้พิงพนักบัลลังก์ สีพระพักตร์กลับเบิกบานใจอย่างยิ่ง
“สิบปี” พระองค์เอ่ยกับตนเอง “เฉิงกั๋วกงควบคุมแดนเหนือสิบกว่าปี ข้าจะทำไม่ได้หรือ?”
ขาที่ยกวางบนโต๊ะของพระองค์เขย่านิดๆ คล้ายตรงหน้ามีหญิงงามอ่อนหวานกำลังดีดพิณครวญเพลงอยู่
“ข้าหาเงินมาได้มากปานนั้น พวกเจ้าคิดว่าทำไมข้ายังจนเช่นนี้? เงิน วางไว้ในนั้นไม่มีประโยชน์ เงินย่อมต้องใช้มาต่อเงิน มีเงิน เรื่องใดๆ ถึงทำง่าย”
พระองค์ตรัสพลางก็ท่าทางคับแค้นอยู่บ้าง ถีบโต๊ะแรงๆ ทีหนึ่ง เกิดเสียงดังกึง
“ข้าอยู่ข้างนอกทำงานตั้งเท่าไร ซื้อใจคนเท่าไร สร้างสายสัมพันธ์กี่ปี บอกว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ คิดว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ คิดว่าแผ่นดินนี้สตรีที่เล่นเล่ห์อยู่ในวังหลังคนหนึ่งอย่างเจ้าแย่งเอามาให้ข้าจริงๆ”
“ไม่มีเงิน ไม่มีคน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคนตายนั่นโรคกำเริบเวลาใด เจ้าคนตายนั่นทุกวันทำอะไร”
“ข้าเข้าเมืองหลวงน้อยนิดนับครั้งได้แต่เข้าออกสถานที่มากมายได้ดั่งใจได้อย่างไร?”
“เฉิงกั๋วกงควบคุมแดนเหนือประหนึ่งถังเหล็ก ข้าออกราชโองการทีเดียวทหารที่แดนเหนือบอกถอยก็ถอยได้อย่างไร?”
“บอกว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ ใต้หล้านี่เป็นข้าตัวไร้ประโยชน์คนนี้แย่งมา พวกเจ้าถึงเป็นตัวไร้ประโยชน์ พวกเจ้าถึงเป็น”
เสียงตึงดังขึ้น โต๊ะพลิกล้มกลิ้ง เสียงดังกลบคำพูดกับตนเองของฮ่องเต้
เมื่อหนิงอวิ๋นเจาก้าวออกจากตำหนักฉินเจิ้งก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้หลังสมอง ไม่ได้ถกเถียงเรื่องนี้กับขุนนางคนอื่นๆ แต่ก้าวเร็วไวเดินไปทางประตูวัง
“คุณหนูจวินออกมาแล้วไหม?” เขาถามองครักษ์คนหนึ่ง
องครักษ์พยักหน้า
“ครึ่งชั่วยามก่อนจากไปแล้วขอรับ” เขาเอ่ยสีหน้านิ่งเฉย
ไปแล้วรึ หนิงอวิ๋นเจามองไปยังที่ไม่ไกลออกไป รถม้าของโรงหมอจิ่วหลิงกับผู้ติดตามไม่เห็นแล้วจริงๆ
เขาไม่ได้รั้งอยู่ แต่ขี่ม้าไปยังโรงหมอจิ่วหลิง แม้ตอนนี้เวลานี้ไปไม่เหมาะสม แต่ไม่มีเวลาสนใจเลือกเวลาเหมาะสมแล้ว
ทว่าเห็นเขามาถามหา เฉินชีกลับตกใจสะดุ้งโหยง
“คุณหนูจวินยังไม่กลับมานะขอรับ” เขาเอ่ย
ยังไม่กลับมา? สีหน้าหนิงอวิ๋นเจาฉับพลันเปลี่ยนไป หัวใจร่วงลงไปทันที
แย่แล้ว
……………………………………….
……………………………………….
แย่แล้ว
คุณหนูจวินค่อยๆ ตื่นขึ้นมา แม้ความคิดยังสับสนอยู่บ้างอีก แต่ความคิดแรกที่แล่นผ่านไปก็ยังคงเป็นแย่แล้ว
หลังจากนั้นนางก็ได้สติตื่นขึ้นมาเต็มตา นี่ถึงพบว่าสิ่งที่เข้าสู่สายตาคือความมืดสลัวไปหมด แต่ร่างกายแขนขาล้วนถูกมัดไว้
ไม่ทันรอนางปรับสภาพกับความมืดสลัว แสงไฟหย่อมหนึ่งก็สว่างขึ้น ส่องดวงหน้าขาวดุจกระเบื้องของลู่อวิ๋นฉี ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ
นางนอนอยู่บนไม้กระดานเตียง เขานั่งยองอยู่ด้านข้างทอดมองลงมาก มือข้างหนึ่งชูคบไฟ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำกริชเล่มหนึ่งไว้
“จิ่วหลิง” เขาเสียงทุ่มต่ำทั้งยังแอบแหบพร่า ในดวงตาแสงไฟเต้นระริก “ทำไมเจ้าซ่อนอยู่ในร่างคนผู้นี้เล่า? ข้าปล่อยเจ้าออกมานะ?”