ตอนที่ 142

The simple life of the emperor

เสียงดนตรีของเทียนหลางกลายเป็นข่าวใหญ่ในวงการดนตรีอย่างรวดเร็วเนื่องจากเมื่อคืนนี้ได้มีคนอัดเสียงเอาไว้และนำไปโพสในบอร์ดของคนเล่นดนตรี ทันทีที่โพสนั้นถูกโพสออกไปก็ถูกพูดถึงทันที ด้วยทำนองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนและเสียงเพลงอันเป็นที่ไพเราะจนสั่นสะท้านจึงทำให้ถูกพูดถึงอย่างเร็ว

แต่ตัวของเทียนหลางนั้นกลับไม่ได้สนใจมันมากนัก เช้าวันต่อมาเทียนหลางตื่นขึ้นด้วยเสียงปลุกจากมือถือ
เมื่อดูก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยเขาจึงกดรับด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ฮัลโหล ใครครับ ?”
เสียงหวานใสดังออกมาจากปลายสายอย่างรวดเร็ว
[ ฉันอยู่ปี 3 ชื่อถงเว่ย เป็นรุ่นพี่ที่คณะประวัติศาสตร์ของคุณ พอดีว่าวันนี้มีประชุมคณะนะ ]
“ประชุมคณะ ? เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ ?”
[ เดี๋ยวเมื่อคุณมาถึงก็จะทราบเองค่ะ ]
“งั้นเหรอครับ”
เทียนหลางลูบคางเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลงกลับไป หลังจากนั้นเทียนหลางก็ลุกออกไปอาบน้ำและแต่งตัวด้วยชุดสบายๆเพื่อไปมหาลัย วันนี้เขาไม่มีเรียนจึงคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องใส่ชุดนักศึกษาไปให้มันยุ่งยาก
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเทียนหลางก็ไปทำอาหารเช้าให้กับเฟิงหยวน ก่อนจะออกจากบ้านไป
ไม่นานนักเทียนหลางก็มาถึงมหาลัยก่อนจะเดินไปที่ตึกคณะประวัติศาสตร์และตรงไปที่ห้องประชุมตามที่รุ่นพี่พึ่งจะบอกมา
เมื่อเข้ามาในห้องเทียนหลางก็พบกับอาจารย์สองสามคนที่ไม่คุ้นเคยกับอาจารย์ลั่วหยาที่คุ้นเคย จากนั้นก็มีนักศึกษาที่เคยเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้างจำนวนหนึ่ง กับตู่เชิง
เทียนหลางจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆกับตู่เชิงพร้อมกับถามเขาเกี่ยวกับการประชุมในวันนี้ ตู่เชิงจึงอธิบายเกี่ยวกับการประชุมให้เขาฟังคร่าวๆว่า
เป็นการประชุมเพื่อจัดตั้งคณะสำรวจประจำปีเพื่อไปสำรวจยังสถานที่ต่างๆในต่างประเทศ แน่นอนว่านี่เป็นกิจกรรมของคณะซึ่งทางมหาลัยเห็นชอบและออกงบให้กึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งจะได้มาจากการรวบรวมของนักศึกษาที่ร่วมการสำรวจในครั้งนี้
และทางคณะก็ไม่บังคับด้วยว่านักศึกษาทุกคนจะต้องเข้าร่วม แต่หากเข้าร่วมพวกเขาก็ได้รับประสบการณ์ที่ยากจะหาได้ในอนาคต
เทียนหลางที่ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆก็พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามกับตู่เชิงว่า
“แล้วคราวนี้จะไปที่ไหนกันงั้นเหรอ ?”
ตู่เชิงส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า
“พวกเขายังไม่ประกาศรอนักศึกษาทั้งหมดในคณะมาพร้อมกันก่อน”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะถามกลับไปอีกว่า
“ว่าแต่นายเรียนบริหารไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ในการประชุมคณะนี้ได้หล่ะ ?”
ตู่เชิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดอย่างภูมิใจว่า
“ฉันให้อาจารย์ลั่วเซ็นอนุญาตให้ฉันเรียนควบสองคณะได้นะ”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“มันทำงั้นได้ด้วยเหรอ ?”
“ได้สิ ถ้านายมีความสนใจเกี่ยวกับคณะนั้นๆมากพอและเกรดของนายนั้นสูงพอ และได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างน้อยสามคนและครอบครัว”
“อย่างงี้นี่เอง”
จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะมีนักศึกษาอีกสองสามคนเดินเข้ามาในห้องและพูดคุยกับอาจารย์ จากนั้นนักศึกษาหน้าตางดงามคนหนึ่งก็หยิบโทรศัพขึ้นมาและโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงโทรศัพของเทียนหลางดังขึ้นก่อนที่เขาจะกดรับและพบว่าเป็นเบอร์แปลกที่โทรมาในตอนเช้า เขากดรับทันที ก่อนที่เทียนหลางจะได้พูดอะไรฝั่งตรงข้ามก็ถามมาก่อนเลยว่า
[ คุณมาถึงหรือยัง ? ]
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปอย่างสบายๆว่า
“ผมมาถึงแล้ว นั่งอยู่ด้านหลังของคุณ”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็โบกมือเล็กน้อยให้กับถงเว่ย เมื่อเธอได้เห็นแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยและหันไปพูดคุยกับอาจารย์ต่อโดยไม่ได้สนใจอะไรเขามากนัก
ทันทีที่ตู่เชิงได้เห็นพฤติกรรมนี้เขาก็หันมาแซวเทียนหลางทันที
“แม้นายจะไม่ได้มาเรียน แต่ก็ยังจะสามารถรู้จักเทพธิดาถงเว่ยอีกนะ”
“เทพธิดาถงเว่ย ?”
เทียนหลางถามด้วยความสนใจเล็กน้อย
“ใช่ เธอคนนั้นคือเทพธิดาถงเว่ย เป็นดาวของมหาลัยเราตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาด้วยลุคที่งดงามและเย็นชาของเธอ ทำให้ได้รับฉายาว่าเทพธิดาน้ำแข็ง นอกจากเธอแล้วยังมีอีกสองคนที่ถูกเรียกเทพธิดาซึ่งนายก็น่าจะรู้จักด้วย”
“ฉันรู้จักด้วย ?”
เทียนหลางพูดออกมาอย่างงุนงง
“ใครงั้นเหรอ ?”
“ก็หลินเสวี่ย กับรุ่นพี่ซูหลินไงเล่า”
“อ๋อ”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นอาจารย์คนหนึ่งก็พูดขึ้น
“เอาละในเมื่อมาครบกันทุกคนแล้ว ฉันจะอธิบายเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ให้ฟัง”
ทันทีที่อาจารย์คนนั้นพูดจบอาจารย์อีกคนหนึ่งก็อธิบายเกี่ยวกับการตั้งคณะสำรวจซึ่งเนื้อหาก็คล้ายคลึงกับที่ตู่เชิงได้อธิบายให้กับเทียนหลางได้ฟังก่อนหน้านี้
หลังจากพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยก็มาถึงขั้นตอนการสมัครเข้าคณะสำรวจซึ่งแน่นอนว่าเทียนหลางต้องสมัครอยู่แล้วเพราะเขานั้นว่างเสียเหลือเกิน