บทที่ 181 ตายอย่างไร้ค่า

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 181 ตายอย่างไร้ค่า

บทที่ 181 ตายอย่างไร้ค่า

ท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่าน เจิ้งเทียนเหอนั่งอยู่ข้างศพของลูกน้องด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ตอนนี้ความกลัวของเขาลดลงแล้ว แต่มันถูกแทนที่ด้วยความอัปยศอดสูและความโกรธ

สิบปีแล้วที่เขาอยู่ยงคงกระพันในโลกธุรกิจ ติดต่อกับชนชั้นสูงมามาก และมีความสัมพันธ์นับไม่ถ้วนกับกองกำลังใต้ดิน

อย่างไรก็ตาม วันนี้เขาเกือบตายด้วยน้ำมือของไอ้สารเลวที่ไหนก็ไม่รู้ แถมผู้หญิงที่เขาอยากได้ กลับมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับอีกฝ่าย สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาเกลียดและอิจฉามากขึ้น

อีกฝ่ายคือใคร

ภูมิหลังของมันมาจากไหน?

เขากระตือรือร้นที่จะค้นหา หลังจากนี้เขาจะส่งคนไปสืบแน่นอน

เสียงฝีเท้าที่อยู่ไกลออกไปนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

เพียงไม่กี่อึดใจชายร่างกำยำหกคนในชุดสูทก็รีบเข้ามา เจิ้งเทียนเหอเพียงเหลือบมองพวกที่มาใหม่อย่างเย็นชาและยังคงนั่งนิ่ง

สุดท้ายเจิ้งเทียนเหอก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ก่อนจะชี้ไปที่ศพบนพื้นแล้วเดินออกไป

“หัวหน้า ใครฆ่าฟางหยวน” ชายในชุดสูทคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงถามขึ้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดง เขาไม่สามารถซ่อนความโกรธและความอาฆาตได้เลย

“เป็นฝีมือของชายที่อยู่ข้าง ๆ ซีชิงอิ่ง” เจิ้งเทียนเหอมีใบหน้าเศร้าหมอง “รายงานฉันมา เรื่องที่ฉันให้นายไปตามสืบเรื่องกระเป๋าสีดำนั่น”

ชายในชุดสูทควบคุมอารมณ์ของเขาและพูดว่า “ชายสองคนที่ออกจากโรงน้ำชาปาซานพร้อมกระเป๋าหนังสีดำขับรถตรงไปที่สุสาน ในกระเป๋าหนังสีดำมีศพที่เป็นร่างของชายชรา”

“ผมอาศัยจังหวะตอนที่พวกเขาไม่สนใจ ลองเข้าไปใกล้ศพและตรวจดู ผมพบว่ามีซากงูเขียวอยู่กับศพชายชราคนนั้น ซึ่งทำให้ผมทราบได้ตัวตนของชายชราคนนั้นได้ทันที เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งและฉาวโฉ่ในโลกผู้ฝึกยุทธ์ ต้าเจียงอู!”

“แข็งแกร่งแค่ไหน?”

“ว่ากันว่าอีกเพียงครึ่งก้าว ตาเฒ่าต้าเจียงอูก็จะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ หรือบางทีเขาอาจทะลวงไปอยู่ระดับปรมาจารย์แล้วก็ได้ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าผมและฟางหยวนอย่างเทียบกันไม่ติด” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ต้าเจียงอูถูกฆ่าได้ยังไง?”

“เขาถูกวางยาพิษ และมีเข็มเงินอยู่ในตัว” ฟ่างเก๋อพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่เข็มเงินบนหน้าอกของเจิ้งเทียนเหอและพูดว่า “มันเหมือนกับเข็มเงินบนร่างกายของคุณ”

พิษ?

เข็มเงิน?

เจิ้งเทียนเหอแสดงสีหน้าหวาดกลัว

เขาไม่กลัวปรมาจารย์หรอกถ้าเขามีเวลาเตรียมตัว เขามั่นใจว่าเขาสามารถฆ่าคนที่แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ได้ พลังของเงินนั้นวิเศษที่สุดแล้ว เขาสามารถจ้างผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายด้วยเงินจำนวนมาก

แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกที่เก่งเรื่องการใช้ยาพิษแบบขั้นเทพละก็ เรื่องราวมันจะต่างออกไป เพราะถ้าเขาไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้สำเร็จในครั้งเดียว ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงจะไม่จบสิ้น!

“จัดคนเพื่อลอบติดตามซีชิงอิ่ง เราจำเป็นต้องค้นหาตัวตนของชายคนนั้น!”

“ผมจะไปหาข้อมูลในตลาดมืด…เอ๊ะ เดี๋ยวนะ” จู่ ๆ สีหน้าของฟ่างเก๋อก็เปลี่ยนไป จากนั้นจึงรีบถามว่า “เจ้านาย คุณจำรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคนนั้นได้ไหม”

เจิ้งเทียนเหอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะอธิบาย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฟ่างเก๋อก็ดูแย่ลงมาก หลังจากเงียบไปนาน เขาก็หายใจเข้าลึกและพูดอย่างขมขื่นว่า “ผมพอจะเดาได้แล้วว่าเขาเป็นใคร ฟ่างหยวน… ตายอย่างไร้ค่าแล้ว”

“หมายความว่ายังไง มันเป็นใคร?” เจิ้งเทียนเหอถาม

“ผู้ชายที่คุณพูดถึงคงเป็นโจวอี้ เขาเคยปรากฏตัวที่คลับเฮฟเว่น เขาเก่งเรื่องการใช้เข็มเงินและเชี่ยวชาญด้านยา เขาสามารถช่วยคนหรือฆ่าคนก็ได้ด้วยทักษะทางการแพทย์ และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นศิษย์ของสำนักโอสถ!” ฟ่างเก๋อกล่าวด้วยใบหน้าที่มืดมน

“สำนักโอสถ?”

สีหน้าของเจิ้งเทียนเหอดูหม่นหมองจนดูไม่ต่างจากถ่านไม้

เขาเคยได้ยินมาก่อน ผู้แข็งแกร่งหลายคนในโลกผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการได้เตาหลอมสยบวิญญาณ ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ และท้ายที่สุดโจวอี้ก็แย่งชิงเตาหลอมไปได้สำเร็จ

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าซีชิงอิ่งป่วยหนักแต่มีแนวโน้มที่จะหายขาดได้เพราะการรักษาจากโจวอี้

แต่เขาจะยอมรับการสูญเสียอันโง่เขลาแบบนี้เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของสำนักโอสถ?

เจิ้งเทียนเหอไม่เต็มใจให้เป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าคิดที่จะแก้แค้น

เพราะถ้าเขาขอให้ใครสักคนฆ่าโจวอี้ ผลลัพธ์คือเขาจะถูกสำนักโอสถที่ยิ่งใหญ่นั่นตามล่าล้างแค้นไปจนสุดขอบโลก และท้ายที่สุด เขาก็คงถูกฝังไว้กับโจวอี้ในภายหลัง

“ลองสืบดูก่อน ถ้าเป็นเขาจริง ๆ ก็ค่อยว่ากันใหม่…”

ขณะนี้ซีชิงอิ่งกำลังขับรถไปอย่างเงียบ ๆ บนทางหลวง

เธอหันไปมองโจวอี้อยู่หลายครั้ง

“คุณต้องการจะพูดอะไร?” โจวอี้ถามอย่างใจเย็น

“คุณพยายามไม่ฆ่าคนได้ไหม ฉันรู้ว่าทุกคนที่คุณฆ่าเป็นคนไม่ดี แต่มันไม่ดีหรอกที่จะให้มือเปื้อนเลือดมากเกินไป” ซีชิงอิ่งรวบรวมความกล้าหาญและพูดออกไป

โจวอี้เงียบ

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการฆ่าคนเป็นสิ่งไม่ดี? แต่เมื่อมีคนต้องการฆ่าเขา เขาก็ไม่คิดที่จะใจอ่อน

ตัวอย่างเช่นวันนี้ การไว้ชีวิตเจิ้งเทียนเหอในครั้งนี้ หากอีกฝ่ายตอบโต้ในภายหลัง มันคงจะลำบากมาก

เขาไม่กลัวปัญหา แต่เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะแตะต้องคนที่เขาห่วงใย โดยเฉพาะลูกสาวของเขา

“ผมจะพยายาม” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งโจวอี้ก็ตอบรับ

ซีชิงอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก เธอไม่รู้เรื่องโลกผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกยุทธ์มากนัก แต่คำตอบรับของโจวอี้ซึ่งไม่ใช่การรับประกันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก

สี่โมงครึ่ง

โจวอี้ไปรับลูกสาวของเขาที่โรงเรียน แต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปรับเธอ เขาได้เข้าไปที่ห้องของเฉินเยว่ฉินเพื่อรักษาเธอด้วยการฝังเข็ม

“พ่อคะ หนูอยากกินแฮมเบอร์เกอร์!” เวลานี้ถังเหมียวเหมี่ยวอยู่ในอ้อมแขนของโจวอี้

“งั้นเราไปซื้อกันเลย! เราต้องซื้อหลายชิ้นหน่อย เอากลับไปให้พี่เสี่ยวถังและพี่เสี่ยวรุ่ยของลูกด้วย” โจวอี้ยิ้ม

“อื้ม อื้ม” ถังเหมียวเหมี่ยวพยักหน้าอย่างมีความสุข

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “พ่อจ๋า พี่เสี่ยวถังกับพี่เสี่ยวรุ่ยจะอยู่กับพวกเราตลอดไปเลยไหม”

“ใช่! ลูกต้องการแบบนั้นไหมล่ะ”

“อยาก! เพื่อนของหนูหลายคนมีพี่น้องกันเยอะแยะเลย หนูก็อยากได้เหมือนกัน!” ถังเหมียวเหมี่ยวพูดอย่างไร้เดียงสา

“ถ้างั้นให้พ่อกับแม่มีน้องให้ลูกอีกสักคนดีไหม?”

“ไม่เอา แบบนั้นหนูไม่อยากได้!”

“ทำไม?”

“ก็ถ้าหนูมีน้องชายหรือน้องสาว พ่อกับแม่จะไม่รักหนูอีกต่อไปแล้วน่ะสิ! เพื่อนร่วมชั้นของหนูเคยบ่นว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะไม่สนใจถ้ามีน้องชายหรือน้องสาวคนเล็กเพิ่มเข้ามา”

“…”

โจวอี้ตกตะลึง

เขารู้สึกว่าเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อนึกถึงตัวเองตอนอายุ 4-5 ขวบ เขารู้อะไรเกี่ยวกับ “การแบ่งปันความรัก” บ้าง? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านโจวเมี่ยวนั้นเป็นเรื่องปกติที่ครอบครัวหนึ่งจะมีลูกสองหรือสามคน และบางครอบครัวอาจมีลูกสี่หรือห้าคนด้วยซ้ำ

แต่บางทีครอบครัวของถงหู่อาจเป็นข้อยกเว้น?

เมื่อถังหว่านกลับมาจากเมืองภาพยนตร์ เธอก็ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นครั้งแรก เธอซื้ออาหารสดมามากมาย และซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก ๆ ทั้งสาม

และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้านและทำอาหารเสร็จไปได้เพียงครึ่งเดียว ผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึงก็มาถึง

ประมาณห้าหรือหกปีที่แล้ว เธอเคยใช้เวลาสองสามเดือนสั้น ๆ ด้วยกันกับคนคนนี้

และตอนนี้อีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม