บทที่ 182 พี่ชายของฉันสั่งไว้

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 182 พี่ชายของฉันสั่งไว้

บทที่ 182 พี่ชายของฉันสั่งไว้

จี้หมิงเจิ้นกำลังดูนิตยสารทหารในห้องรักษาความปลอดภัยที่ประตูทิศใต้ของช็องเซลิเซ่ลานติงวิลล่า เขาเกษียณจากกองทัพมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับทหารอยู่ทุกวัน

“หัวหน้า มีบางอย่างเกิดขึ้น” เหลียงเสี่ยวปู้ผลักประตูเข้ามาและชี้ไปที่รถสีดำสองคันที่อยู่นอกไม้กั้นรถ

“เกิดอะไรขึ้น?” จี้หมิงเจิ้นวางนิตยสารลงทันที

“รถสองคันที่อยู่ข้างนอกไม่ใช่ของเจ้าของวิลล่า และไม่ได้ลงทะเบียนกับเรา แต่พวกเขาจะไปเยี่ยมคุณโจว”

“ถ้างั้นให้พวกเขากรอกป้ายทะเบียนและข้อมูลแขกผู้มาเยี่ยม”

“แต่ผมรู้สึกว่าคนพวกนั้นมีปัญหา” เหลียงเสี่ยวปู้ลังเล

มีปัญหา?

จี้หมิงเจิ้นชะโงกหัวออกไปดูก็เห็นเพียงชายหนุ่มสวมชุดลำลอง

แต่เขารู้ว่าเหลียงเสี่ยวปู้เคยเป็นยอดฝีมือของกองกำลังพิเศษ และสายตาของอีกฝ่ายเฉียบแหลมมาก

“ฉันจะไปดูเอง” จี้หมิงเจิ้นออกไปทันที

การแสดงออกของชายคนนั้นดูสงบนิ่ง แต่มีแววตาที่ดุร้าย กลิ่นอายอันตรายแผ่ออกมาราวกับเคยผ่านสถานการณ์เป็นตายมามากมาย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ระยะห่างระหว่างเท้า การวางแขน รูปร่าง และท่าทางของเขานั้นเป็นท่าทางที่ไร้ช่องโหว่

จี้หมิงเจิ้นคำนวณอย่างเงียบ ๆ ว่าถ้าเขาโจมตีอีกฝ่ายตอนนี้ เขาจะไม่ทางทะลวงการป้องกันของอีกฝ่ายได้เลย

“ที่นี่เรามีข้อบังคับ หากคุณต้องการไปเยี่ยมคุณโจว คุณต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อนที่เราจะให้คุณเข้าไปได้ ดังนั้นโปรดติดต่อคุณโจวก่อนเพื่อขออนุญาต” จี้หมิงเจิ้นพูดเสียงทุ้ม

“น่าสนใจ!” ชายหนุ่มคนนั้นมองจี้หมิงเจิ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า คิดไม่ถึงเลยว่าพื้นที่วิลล่าเล็ก ๆ นี้จะซ่อนพระพุทธรูปยักษ์ไว้หลายองค์ หมาป่าหลากสีที่แบกเครื่องหมายกากบาทไว้นี่มันเจ๋งมาก”

จี้หมิงเจิ้นหรี่ตาลง และร่างกายก็พร้อมที่จะต่อสู้ทันที

เขาแสดงสีหน้าเย็นชาและเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

เมื่อเขาอยู่ในกองกำลังพิเศษ เขาได้รับฉายาว่าหมาป่าหลากสี คำว่า “แบกเครื่องหมายกากบาท” ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงนั้นเป็นงานสุดท้ายที่เขาทำก่อนที่จะเกษียณ เขาถูกข้าศึกโจมตีที่แผ่นหลังและฝากรอยแผลเป็นรูปกากบาทไว้ในเทือกเขากุ้ยโจวยูนนาน และเกือบจะเสียชีวิตไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นความลับ

ชายหนุ่มตรงหน้าเขาคนนี้คือใคร? อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร?

ชายหนุ่มหยิบใบรับรองออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วเขย่ามันต่อหน้าจี้หมิงเจิ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล!”

“ปล่อยเขาเข้าไป!” หัวใจของจี้หมิงเจิ้นเต้นระทึกเหมือนฟ้าร้อง พลางตะโกนบอกเหลียงเสี่ยวปู้ทันที

จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ที่ประตู เฝ้าดูชายหนุ่มคนนี้ขึ้นรถไป และรถสองคันก็เข้าไปภายในบริเวณวิลล่า

“หัวหน้า เขาเอาใบรับรองอะไรให้คุณดู?” เหลียงเสี่ยวปู้ถาม

“คณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลง” จี้หมิงเจิ้นตอบ

“พวกเขาต้องการให้คุณโจวทำอะไร?” เหลียงเสี่ยวปู้ดูกังวล

เขาและจี้หมิงเจิ้นเคยเป็นทหารหน่วยบรบพิเศษ พวกเขาทั้งสองรู้เรื่องคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงมาไม่มากก็น้อย ซึ่งนั่นเป็นองค์กรกึ่งทางการ พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลัง คนส่วนใหญ่ที่พวกเขากำหนดเป้าหมายจะจบชีวิตลงอย่างเลวร้าย

สีหน้าของจี้หมิงเจิ้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

ครึ่งนาทีต่อมา เขาก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัย หลังจากที่เหลียงเสี่ยวปู้ตามเขาเข้าไป เขาก็ปิดและล็อกประตูจากข้างในแล้วถามว่า “คิดยังไงกับโจวอี้”

“โจวอี้เป็นคนดี” เหลียงเสี่ยวปู้ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“เข้าใจแล้ว”

จี้หมิงเจิ้นหายใจเข้าลึก ก่อนจะกดต่อสายหาโจวอี้ พูดคุยอยู่สองสามคำแล้ววางสาย

ที่ร้าน KFC ใกล้ ๆ กันนั้น โจวอี้เพิ่งซื้อปีกไก่ให้ลูกสาว ทันใดนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากจี้หมิงเจิ้น และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว

เขารู้จักคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลง

การที่อีกฝ่ายมาเยี่ยมเยียนกันเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เขาไปฆ่าพวกนิกายดอกบัวขาว

“ไม่ว่ายังไงคนเหล่านี้ก็เป็นแค่ทหาร ในฐานะศิษย์ของสำนักโอสถ ถ้าพวกมันหาเรื่องฉันอย่างน่าไม่อาย ฉันจะเตะมันให้กลิ้งเป็นลูกบอลเลย!” โจวอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาลูกสาวออกจากร้าน KFC

หลังจากกลับมาถึงวิลล่า เขาก็เห็นจี้หมิงเจิ้นและเหลียงเสี่ยวปู้

เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพวกเขา โจวอี้จึงยิ้มให้พวกเขาและส่ายหัว จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปข้างใน

ในขณะเดียวกัน ถังหว่านยืนอยู่ที่ประตูชั้นหนึ่ง เธอมองดูสถานการณ์ในลานบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

ถงหู่ซึ่งสูงเกือบสองเมตรยืนอยู่เพียงลำพังบนบันไดด้านนอก และกำลังเผชิญหน้ากับคนหกคนที่อยู่ในสนาม ชายชราผมสีเงินซึ่งเป็นผู้นำยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ถังหว่านกลับรู้สึกกังวล

“ฉันไม่เคยเห็นนายมาก่อน ไม่เคยเห็นข้อมูลของนายเลย นี่ทำให้ฉันแปลกใจมากนะ นายไม่แนะนำตัวเองหน่อยเหรอ น้องชาย” เหลียงชิงไห่ยิ้มให้ถงหู่

ถงหู่เงียบ แต่พร้อมที่จะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

รอยยิ้มของเหลียงชิงไห่ค่อย ๆ หุบลง เขาหันไปมองเจียงเชาและพูดอย่างใจเย็นว่า “ไปลองใช้กำลังกับเขาหน่อยซิ แค่ทดสอบก็พอ อย่าทำร้ายเขา”

“ครับ!”

เจียงเชายิ้มและก้าวไปข้างหน้าทันที

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในระดับกึ่งปรมาจารย์ เขาไม่รู้สึกกดดันเลยที่จะจัดการกับอีกฝ่ายที่ดูเด็กขนาดนี้

“พวกคุณคิดจะทำอะไรกัน!” ใบหน้าของถังหว่านเปลี่ยนไป เธอรีบวิ่งออกมาเอาตัวบังถงหู่ไว้ “พวกคุณมาเยี่ยมโจวอี้กันแบบนี้น่ะเหรอ!”

“คุณถัง อย่าเข้าใจผิด เราแค่ต้องการรู้ข้อมูลของเขาโดยให้ใครสักคนทดสอบความแข็งแกร่งของเขา คุณแค่มองว่ามันเป็นเพียงการประมือทั่วไปสำหรับพวกเราชาวผู้ฝึกยุทธ์ก็ได้” เหลียงชิงไห่ยิ้ม

“ผู้ฝึกยุทธ์บ้าบออะไรกัน? ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร แต่ถ้าคุณกล้าใช้ความรุนแรงในบ้านของฉัน ฉันจะโทรหาตำรวจทันที!”

เหลียงไห่ชิงมองไปที่ถงหู่ด้วยรอยยิ้มและถามว่า “นายคิดยังไงล่ะ”

ถงหู่มองตาของถังหว่านอย่างอบอุ่น ก่อนจะเดินอ้อมถังหว่านไปและพูดอย่างใจเย็นว่า “พี่ชายของฉันบอกว่าใครก็ตามที่บุกรุกที่นี่จำเป็นต้องชดใช้ พวกนายอยากลองของกันมากสินะ?”

“ฮ่า! เป็นเด็กเป็นเล็กแต่กล้าพูดจาใหญ่โต!” เจียงเชาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะชี้ไปที่ถงหู่และพูดอย่างท้าทายว่า “มาสิ ให้ฉันดูหน่อยว่านายจะให้ฉันชดใช้ยังไง”

“ถงหู่ อย่า…” ถังหว่านร้องห้ามอย่างกระวนกระวาย

ฟุ่บ…

จู่ ๆ ร่างของถงหู่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเจียงเชาที่ยืนห่างออกไปหกเมตร กำปั้นที่ดูเหมือนจะเชื่องช้านั้นกลับทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบหลีกได้ และก่อนที่เจียงเชาจะทันได้อุทาน กำปั้นนั้นก็กระแทกจมูกไปเต็มแรง

เจียงเชารู้สึกได้ทันทีว่ากระดูกจมูกของเขาหัก เขาต้องการที่จะหนี แต่เมื่อเขาเพิ่งจะถอยห่างออกไปเพียงครึ่งเมตร เอวของเขาพลันเจ็บแปลบรุนแรง แรงปะทะที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ทั้งร่างของเขาลอยละลิ่วไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุม

“ความแข็งแกร่งขนาดนี้ ให้ฉันพูดจาใหญ่โตได้รึยังล่ะ?” หลังจากพูดจบ ถงหู่ก็ไม่แยแสอีกฝ่าย เขาส่ายหัวและหันกลับไปหาถังหว่านทันที