บทที่ 183 สีหน้าที่เปลี่ยนไป
บทที่ 183 สีหน้าที่เปลี่ยนไป
เหลียงชิงไห่รู้สึกอึ้งไปทันทีที่เห็นว่าเจียงเชาถูกชกและยังถูกถีบจนกระเด็นกลับมาอย่างง่ายดาย
เจียงเชาคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับกึ่งปรมาจารย์เชียวนะ!
ถึงแม้ว่าเจียงเชาจะเพิ่งทะลวงระดับมาได้ไม่นาน แต่เขาก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนี้
คนอื่น ๆ ที่มากับเขาก็ตกตะลึงเช่นกัน ราวกับว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เด็กหนุ่มคนนั้น… ความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวเกินไปไหม?
เจียงเชาพยายามที่จะลุกขึ้นจากพื้น แต่เนื่องจากจมูกของเขาบาดเจ็บเป็นอย่างมาก เขาจึงร้องอุทานออกมา ก่อนเดินกระเผลกไปหาเหลียงชิงไห่ด้วยความอับอาย
น่าอัปยศ!
ช่างน่าสังเวช!
เขาพุ่งไปหาอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจ แต่ผลลัพธ์กลับกลายว่าเป็นเขาถูกจัดการอย่างง่ายดายด้วยหมัดเดียวและยังโดนเตะกลับมาอีก แก้มของเขาร้อนฉ่าเพราะความอับอาย เวลานี้เขาอยากจะขุดรูเพื่อหาที่ซ่อนตัวเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าหนุ่ม นายเป็นใครกัน?” เมื่อได้สติ เหลียงชิงไห่ก็จ้องไปที่ถงหู่
“ภูเขาชางหลาง ถงหู่”
ถงหู่?
เหลียงชิงไห่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ แต่เขารู้จักภูเขาชางหลาง และรู้ว่ามีหมู่บ้านที่ชื่อโจวเมี่ยวอยู่ที่นั่น โจวอี้ที่เขามาหาวันนี้ก็เป็นคนที่มาจากหมู่บ้านโจวเมี่ยวเช่นกัน
“ระดับการบ่มเพาะของนายตอนนี้ก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้วใช่ไหม?” เหลียงชิงไห่ถาม
“เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม ตาเฒ่า!?” ถงหู่จ้องมองด้วยความโกรธ
“นี่นาย…”
“นาย? นายอะไร! ไม่มีใครเคยบอกหรือไงฮะตาแก่ ว่าการถามถึงระดับยุทธ์ของคนอื่นมันเท่ากับการท้าทาย! รู้ไหม ถ้าฉันบอกระดับของตัวเองเมื่อไหร่ ฉันจะฆ่าพวกแกทั้งหมดทันทีเลย!” ถงหู่ตะโกนใส่
ใบหน้าของเหลียงชิงไห่แปรเปลี่ยนไปทันที เขาอยากร้องไห้ให้กับตัวเอง
มีกฎบางอย่างที่ไม่ได้เขียนไว้ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ คุณไม่ควรถามเกี่ยวกับระดับยุทธ์ของผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล มิฉะนั้น อีกฝ่ายจะถือว่าคุณเป็นศัตรูและยังถือว่าเป็นการยั่วยุ
เขาแค่ตกใจที่ถงหู่ยังเด็กและมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว เขาจึงเผลอถามออกไป
“ขออภัยอย่างยิ่ง!”
เหลียงชิงไห่ประสานมือของเขาและโค้งกายเล็กน้อย
เวลานี้เสียงเย็น ๆ ก็ดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
“ว่ากันว่าคนรุ่นเก่าย่อมรู้ความมากกว่าคนรุ่นใหม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป คนรุ่นเก่าบางคนก็โง่เง่าอย่างคาดไม่ถึง ถ้าแค่ขอโทษแล้วสามารถชดเชยความสูญเสียทางจิตวิญญาณของน้องชายฉันไปได้ ฉันก็ขอเอาเข็มแทงคุณสักที แล้วค่อยกล่าวขอโทษคุณทีหลังเหมือนกันได้หรือเปล่า?”
โจวอี้ก้าวเข้ามาในลานบ้าน มือหนึ่งอุ้มลูกสาว ส่วนอีกมือหนึ่งถือถุงชอปปิง
“โจวอี้…”
“พี่ใหญ่…”
ถังหว่านและถงหู่พูดขึ้นพร้อมกัน
โจวอี้ยิ้มเล็กน้อย เขาเลี่ยงฝูงชนและเดินมาที่ถังหว่าน ก่อนจะยื่นลูกสาวให้พลางโน้มตัวไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบว่า “พาลูกสาวของคุณเข้าไปก่อน ผมจะทำธุระข้างนอก จำไว้ บอกเสี่ยวถังและเสี่ยวรุ่ยว่าอย่าแอบมองอีก”
“อืม!”
ถังหว่านต้องการบอกโจวอี้ว่าอย่าต่อสู้เลยนะ แต่เมื่อคิดว่าโจวอี้ยังคงโกรธเธออยู่ เธอจึงบังคับตัวเองให้หันกลับมาและเดินเข้าไปในห้องโถงของวิลล่าอย่างว่าง่าย
โจวอี้ยิ้มและชกที่หน้าอกของถงหู่เบา ๆ “ทำไมนายถึงมาที่นี่กะทันหันนักล่ะ ถ้านายอยากรู้อะไร ก็แค่โทรหาฉันก็ได้”
“พี่สาวหลันเสวียนบอกว่าตอนนี้พี่อาจมีปัญหา ฉันมาที่นี่เพื่อปกป้องพี่ไง” ถงหู่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“เธอได้รับบาดเจ็บ ผมให้ยาทั้งหมดกับเธอแล้ว”
“ร้ายแรงไหม”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงไม่ถึงตายหรอก จริงไหม?”
โจวอี้พยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปมองคนทั้งหกที่อยู่ตรงข้าม ในที่สุดสายตาของเขาก็สบเข้ากับเหลียงชิงไห่ “ดูแล้วคุณคงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงในกลุ่มคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงใช่ไหม คุณต้องการอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงมาหาผม?”
เหลียงชิงไห่เพิ่งได้ยินบทสนทนาระหว่างโจวอี้และถงหู่ ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่าโจวอี้และหลันเสวียนรู้จักกัน และคาดเดาได้ว่าโศกนาฏกรรมของนิกายดอกบัวขาวอาจเกี่ยวข้องกับโจวอี้
“แซ่ของฉันคือเหลียง เหลียงชิงไห่ ฉันเป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลง”
ประธาน?
โจวอี้ตกตะลึง จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “คณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงสินะ คุณมีอำนาจใหญ่ในนั้นเหรอ?”
“ใช่!”
“อา อา ผู้เฒ่าเหลียง ผมไม่รู้จักตัวตนของคุณมาก่อนหรอก ก่อนหน้านี้ผมก็เลยโกรธคุณมากไปหน่อย ขออภัยด้วยจริง ๆ ที่พูดจาล่วงเกินคุณไป อย่าถือสาคนหนุ่มอย่างผมกับน้องชายเลยนะ” โจวอี้เปลี่ยนสีหน้าของเขาทันทีและเปลี่ยนมุมมองของเขาไปถึง 180 องศา
“…” มุมปากของเหลียงชิงไห่กระตุก
“มา มา มา ในเมื่อผู้เฒ่าเหลียงพาคณะมาเยี่ยมเยียนกันขนาดนี้ ผมก็ขอต้อนรับพวกคุณอย่างเต็มที่ก็แล้วกัน ทุกคนทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านได้เลย ที่นี่ไม่มีอะไรมากมาย เรามีแค่อาหารดี ๆ ไวน์ดี ๆ ซึ่งเพียงพอสำหรับทุกคนแน่นอน” โจวอี้ยิ้ม
เหลียงไห่ชิงยิ้มเล็กน้อย เขาคิดว่าศิษย์สำนักโอสถคนนี้น่าสนใจมาก
“พวกนายรออยู่ข้างนอก!” เหลียงชิงไห่ออกคำสั่งขณะเดินตามโจวอี้และถงหู่เข้าไปในห้องโถงของวิลล่า
หลังจากเข้าไปในห้องโถง โจวอี้ก็ตะโกนว่า “เสี่ยวหว่าน ชงชาให้แขกผู้มีเกียรติของเราหน่อย มีชาดี ๆ อยู่ในลิ้นชักห้องหนังสือของผม”
ถังหว่านได้ยินชัดเจน แม้ว่าเธอจะสับสนเล็กน้อย แต่เธอก็ปล่อยให้ถังเสี่ยวถังดูแลลูกสาวของเธอไปก่อน
ห้องนั่งเล่นที่ชั้น 1
โจวอี้เชิญให้เหลียงชิงไห่นั่งลง จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้เฒ่าเหลียง ยังโกรธอยู่ไหม ถ้ายังไม่หายโกรธ หลังจากนี้ผมขอดื่มให้เพื่อเป็นการขอขมาก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้โกรธ”
เหลียงชิงไห่ยิ้มเล็กน้อย เขาชำเลืองมองถงหู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังโจวอี้ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าน้องชายของนายจะทรงพลังขนาดนี้ แม้แต่คนของฉันที่อยู่ในระดับกึ่งปรมาจารย์ก็ยังถูกเขาเอาชนะได้ง่าย ๆ”
“ฮะ?”
โจวอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาหันไปมองถงหู่ ด้วยความรู้สึกงงงวย “นายสามารถเอาชนะกึ่งปรมาจารย์ได้แล้วเหรอ?”
“ผมได้ทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว” ถงหู่พูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ
“บ้าไปแล้ว นายเพิ่งได้รับโอสถ ‘หนึ่งก้าวสู่นภา’ มาเองไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ ตอนที่ผมอายุ 16 ปี ผมก็บรรลุขั้นกึ่งปรมาจารย์แล้ว แต่แม่ของผมไม่ให้ผมบอกพี่ ตอนนี้ผมบรรลุระดับปรมาจารย์เรียบร้อย เพราะงั้นก็เลยบอกพี่ได้” ถงหู่ยกมือขึ้นเกาหลังศีรษะ เขายิ้มอย่างไร้เดียงสา
“…”
โจวอี้พูดไม่ออก เขาเองยังอยู่ในระดับกึ่งปรมาจารย์อยู่เลย ใครจะไปคิดว่าถงหู่เด็กโง่คนนี้จะทะลวงระดับได้ก่อนเขาซะอีก?
เมื่อก่อนเขามักจะคิดว่าเขามีพลังมากกว่าถงหู่ แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนจะเป็นคนโง่แทนซะแล้ว
ทันใดนั้น! เขาก็จำสิ่งที่อาจารย์ของเขาเคยบอกทางโทรศัพท์ได้
หมู่บ้านโจวเมี่ยว ลึกลับมาก!
ถ้าแม้แต่ถงหู่ก็เป็นปรมาจารย์แล้ว ในบรรดาชาวบ้านร้อยสิบคนในหมู่บ้านโจวเมี่ยวมีใครบ้างที่ไม่ใช่ปรมาจารย์?
โจวอี้ส่ายหัว เขามองไปที่เหลียงชิงไห่อีกครั้ง ก่อนจะยิ้มและถามว่า “ผู้เฒ่าเหลียง คุณมาหาผม ด้วยเรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”
“เรื่องนิกายดอกบัวขาว” เหลียงชิงไห่มองไปที่โจวอี้อย่างมีความหมายและพูดว่า “หลันเสวียน ทำลายนิกายดอกบัวขาว และฆ่าสาวกที่นั่นมากเกินไป ฉันต้องหาสาเหตุให้ได้”
“ใช่ ผมรู้จักหลันเสวียน” โจวอี้ยิ้ม
“แล้วการทำลายนิกายดอกบัวขาวของหลันเสวียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายไหม”
“เกี่ยวอะไรกับผม?” โจวอี้แสร้งทำเป็นโง่เขลา “อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่าแค่ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลันเสวียน เธอก็จะตามไปฆ่าล้างนิกายดอกบัวขาวให้ผม? ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ผิดแล้วล่ะ เพราะผมไม่รู้ว่ามีนิกายดอกบัวขาวในโลกของผู้ฝึกยุทธ์”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าหลันเสวียนได้รับบาดเจ็บ? เพิ่งบอกให้ถงหู่ส่งยาไปให้ไม่ใช่เหรอ?”
“ผมรู้ว่าเธอไปที่เผิงเฉิงทางตอนเหนือของมณฑลเจียงซู ผมรู้ว่าเธอเข้าไปในโลกตงเทียน! ผมส่งยาไปให้จริง ๆ แหละ เพราะผมแค่อยากให้ยารักษาเธอทันทีที่เธอออกมาจากโลกตงเทียน แต่เมื่อผมไปที่นั่น ผมไม่เห็นเธอเลย แต่กลับได้ช่วยเหลือคนอื่นแทน” โจวอี้ยิ้มอย่างขมขื่น
“ช่วยเหลือใคร?”
“เฉิงฮ่าว เพื่อนของผม” โจวอี้ชี้ไปที่รถ Knight XV ซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถ “Knight XV ในสนามนั้นเท่ห์มากเลยใช่ไหมล่ะ? เฉิงฮ่าวเป็นคนมอบรถคันนั้นให้ผม”
“เขาไม่ได้บอกนายเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
“เขาบอกผมแค่ว่าเขาไปที่นั่นเพื่อไปหาเพื่อน แต่เมื่อเขาไปถึง เขาไม่ได้เจอเพื่อน แต่กลับพบศัตรูเก่าที่ตัดมือของเขาไป พูดได้คำเดียวว่าผู้ชายคนนั้นโชคร้ายมาก” โจวอี้แสร้งส่ายหัวและถอนหายใจ