บทที่ 163 อย่าทำงานหนักมากเกินไป

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 163 อย่าทำงานหนักมากเกินไป

บทที่ 163 อย่าทำงานหนักมากเกินไป

แต่ลู่เฉินก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง รอจนคุณปู่ใจเย็นลงและพูดขึ้น “ปู่ครับ ยังอยากกินข้าวด้วยกันอยู่ไหม?”

คุณปู่มองเขาอย่างเฉยเมย “กิน”

ทั้งสองคนนั่งลงทานข้าวบนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงของตะเกียบที่ชนเข้ากับถ้วยในบางครั้งเท่านั้นที่ส่งเสียง

คุณปู่กินข้าวเย็นน้อยมาก กินไปไม่กี่อย่างก็วางตะเกียบลง ลู่เฉินเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว “ช่วงนี้ปู่ไม่ค่อยอยากอาหารเหรอครับ?”

ชายชราส่ายหัว “คนเราแก่แล้วก็แบบนี้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ถ้าหลานเป็นห่วงปู่จริง ๆ ก็รีบพาโย่วโย่วมาที่นี่ ความต้องการของปู่ หลานเองก็รู้”

อยากรีบอุ้มเหลนสินะ

ลู่เฉินไม่ได้พูดต่อ นี่มันก็ดูจะเร็วมากเกินไป

หายากที่ผู้เฒ่าลู่จะค่อย ๆ พูดกับหลานชายแบบนี้ เขาจึงไม่ชวนคุยในเรื่องที่หลานชายไม่ชอบ “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องด่วนมาก โย่วโย่วจะต้องถ่ายละครรักในฝัน แฟนเก่าของแกอย่างอวิ๋นเหมี่ยวได้รับบทเป็นกู้ชิงเฉิงที่เป็นนางเอก แกรู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

“ครับ”

“ในเมื่อแกรู้เรื่องนี้ แล้วทำไมไม่ห้ามเธอ?”

ลู่เฉินจิบชาช้า ๆ และพูดขึ้น “เรื่องของอวิ๋นเหมี่ยวมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยง”

ใครบอก เขาใช้เส้นสายเพื่อไม่ให้อวิ๋นเหมี่ยวได้รับบทเป็นกู้ชิงเฉิง แสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก

แต่ผู้เฒ่าลู่กลับไม่เห็นด้วย “วันนี้ที่ปู่เรียกหลานกลับมา เดิมทีก็เพราะอยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดต่อหน้าโย่วโย่วให้เธอเข้าใจ ไม่อยากพวกแกสองคนเกิดความเข้าใจผิดกันเพราะอวิ๋นเหมี่ยว”

“เรื่องของอวิ๋นเหมี่ยว แกเคยคุยกับโย่วโย่วแล้วหรือยัง?”

ริมฝีปากของลู่เฉินค่อย ๆ เปิดออก “ไม่เคย”

ผู้เฒ่าลู่เกือบพูดไม่ออก “เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมแกไม่บอกเธอ หากอวิ๋นเหมี่ยวไม่พอใจโย่วโย่วแล้วทำเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง อย่างน้อยแกก็ต้องบอกโย่วโย่วให้ระวังตัว”

บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง

ผ่านไปสักพักลู่เฉินก็ตอบกลับ “ผมกลัวว่าเธอจะไม่สบายใจ”

ตอนที่รู้ว่าซูโย่วอี๋เคยแต่งงานมาก่อน ในใจของลู่เฉินเอาแต่สนใจเรื่องนั้น และยังหึงหวงซูโย่วอี๋ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยชอบผู้ชายคนอื่นมากขนาดนั้น และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าเธอถูกสามีนอกใจ

ความรู้สึกในตอนนั้นมันซับซ้อนไปหมดทั้งทรมาน อิจฉา เจ็บใจ สงสาร โกรธ…

โดยที่ลู่เฉินไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย

ผู้เฒ่าลู่มองหลานชายที่ก้มหัวลง โดยที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่อยู่ในเงามืด ก็ถอนหายใจออกมา “ความรักของคนหนุ่มสาวสมัยนี้ปู่ไม่เข้าใจหรอก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ปู่รู้ คนที่ตัวเองรักก็ควรที่จะพยายามปกป้องเขาให้ดี”

“ผมเข้าใจแล้วครับคุณปู่”

ตอนที่ลู่เฉินกำลังกลับ เขาก็เอาถุงห่อผลไม้ใหญ่ ๆ หลายถุงไปด้วย เขาจอดรถในโรงจอดรถที่เป่ยสืออี้ผิน แต่ไม่ได้ลงรถไปในทันทีและนั่งคิดทบทวนอยู่บนรถสักพักจึงได้โทรเรียกให้ซูโย่วอี๋ลงมา

ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว

หลังจากที่ซูโย่วอี๋ขึ้นรถมาก็ถามเขาว่าทำไมไม่ขึ้นไปข้างบน

ลู่เฉินมองเธอและยิ้ม “ซูหยินอยู่ไม่ค่อยสะดวก”

“มีอะไรไม่สะดวก…”

ยังไม่ทันพูดจบลู่เฉินจับคางของเธอและดึงเข้ามาจูบ

มันค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้น

ด้วยการจู่โจมของลู่เฉินที่ค่อย ๆ หนักหน่วงขึ้น ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะถอยหนีไปข้างหลัง เธอค่อย ๆ ขยับหนีไปจนติดเบาะที่นั่งและถอยไปไหนไม่ได้แล้ว

ลู่เฉินลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองไปที่คนที่อยู่ด้านล่างและยกยิ้มมุมปาก

เขากดปุ่มด้านข้าง เบาะที่นั่งถูกปรับให้ลงไปในตำแหน่งต่ำสุด จนไม่ต่างอะไรกับท่านอนเลย

ซูโย่วอี๋รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เธอจึงใช้มือดันอกของลู่เฉินเอาไว้ “คุณจะทำอะไร?”

ดวงตาของลู่เฉินดูคาดเดายาก เขายกมือขึ้นและปลดกระดุมคอสองเม็ดด้วยความต้องการและอดกลั้น “คุณคิดจะทำอะไร?”

“แน่นอนว่าต้องทำอะไรบางอย่าง”

เขาไม่ใช่หลิวเซี่ยฮุ่ย[1]* ที่เวลามีผู้หญิงมาอยู่ในอ้อมแขนแล้วจะยับยั้งตัวเองได้

ลู่เฉินเอนตัวเข้ามา มือเลื้อยเข้าไปในเสื้อผ้าอย่างชำนาญและถอดเสื้อชั้นในของเธอออก

“ลู่เฉิน… คน… โรคจิต”

“รบกวนคุณดูให้ดีด้วย ผมกำลังใช้สิทธิ์ของการเป็นแฟนอย่างเปิดเผยอยู่นะ”

ใบหน้าของซูโย่วอี๋แดงก่ำก่อนจะกัดไปที่ปากของเขาอย่างแรง เป็นเพราะความเขินอายและจนมุมทำให้ในตาของเธอเริ่มมีน้ำตาคลอ

ราวกับตัวเธอกำลังลอยอยู่

มันทั้งสวยงามและบอบบาง

น่าสงสารแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ดวงตาของลู่เฉินนิ่งค้าง “นี่คุณแมวตัวน้อย ซับน้ำตาของคุณซะไม่งั้นผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วนะ”

ซูโย่วอี๋นึกถึงครั้งล่าสุด ยื่งเธอแสดงท่าทีอ่อนแอ ผู้ชายคนนี้ก็ยิ่งอยากแกล้ง ในตอนนี้ถึงเธออยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง น่าเศร้าจริง ๆ “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ได้ เพียงแต่ทำในนี้ไม่ได้”

ถ้าถูกนักข่าวถ่ายรูปไว้ได้พวกเขาสองคนคงจะขายหน้าน่าดู

ลู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นจึงถอยออกและจัดเสื้อผ้าของเธอให้ดี ก่อนที่จะดึงให้เธอลงรถและเข้าไปยังลิฟต์

ซูโย่วอี๋กัดริมฝีปากของเธอและตามเขาไป

เมื่อลิฟต์เปิดออก ลู่เฉินปลดล็อกประตูทันทีด้วยลายนิ้วมือของเขา ทำให้ซูโย่วอี๋ยืนมองตาค้าง “ไม่ใช่ว่าฉันเปลี่ยนรหัสไปแล้วเหรอทำไมคุณถึงยังเปิดได้ล่ะ?”

จนประตูเปิดออก ภายในห้องนี้กับสถานที่ที่เธอพักอยู่แตกต่างกันมาก ซูโย่วอี๋จึงรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่ห้องของเธอ

เธอหันหน้ากลับไปมองที่ลิฟต์ก็พบว่ามันคือเลขชั้น 17 และห้องของเธอกับซูหยินอยู่ชั้นล่างนี่!

“ลู่เฉิน ชั้นบนนี้ไม่ใช่ของคู่สามีภรรยาเหรอ?”

ลู่เฉินปิดประตูและเข้าไปกอดเธอ “ผมซื้อมันแล้ว”

ก่อนจะดันเธอไปบนผ้าห่มนุ่ม ๆ แต่ซูโย่วอี๋รีบต่อต้านอย่างรวดเร็ว “ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ”

ความกังวลฉายชัดในดวงตาคู่นั้น

ลู่เฉินอยากจะยกยิ้มแต่ก็กลั้นเอาไว้ “งั้นพวกเรามาอาบด้วยกัน?”

ซูโย่วอี๋ส่ายหัวจนสั่นหงึก ๆ

ลู่เฉินกลับรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีเลยอุ้มซูโย่วอี๋เข้าไปในห้องน้ำ

และกว่าพวกเขาจะออกมามันก็ดึกมากแล้ว

ลู่เฉินอุ้มซูโย่วอี๋วางบนผ้าห่มและจูบลงที่หน้าผากของเธอ “นอนหลับให้สบายใจครับ”

ซูโย่วอี๋เหนื่อยล้าจนรู้สึกมึนงงไปหมด “ไม่ได้ ส่งฉันกลับเลย หยินหยินอยู่บ้านคนเดียว”

พูดจบก็พลิกตัวและบ่นพึมพำขึ้น “ฉันยังไม่ได้บอกฝันดีเธอเลย”

จากนั้นเธอก็หลับไป

ลู่เฉินกอดเธอจากด้านหลัง “ฝันดีครับซูโย่วอี๋ ”

หลังจากนั้นเขาก็ใช้โทรศัพท์ส่งข้อความหาซูหยิน

ซูหยินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว [ประธานลู่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย อย่าทำงานหนักมากเกินไป]

วันต่อมากว่าซูโย่วอี๋ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงแล้ว พอได้นอนเต็มอิ่มร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้น

เธอเปิดโทรศัพท์ดูก็พบว่าซูหยินส่งข้อความมาหา [ที่รัก ที่บริษัทมีปัญหา ฉันต้องไปแล้ว เธอไม่ต้องมาคอยตามฉันแล้วนะ ทำธุระเสร็จฉันจะรีบกลับบ้าน มีอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดเลย]

ซูโย่วอี๋กลัวว่าซูหยินจะโกหกเธอ จึงรีบโทรศัพท์หาลู่เฉิน เพื่อให้แน่ใจว่าเธอไปที่บริษัทแล้วจริง ๆ จึงได้วางใจ

ลู่เฉินโบกมือให้คนให้พนักงานออกไปก่อน [ในครัวมีโจ๊กอยู่ คุณกินสักหน่อยนะ]

[ฉันไม่ชอบกินโจ๊ก]

ลู่เฉินลูบ ๆ ที่จมูก [ผมต้มโจ๊กเป็นอย่างเดียว ถ้าคุณชอบกินอะไร ผมจะไปเรียน]

[ในตู้เย็นมีผลไม้อยู่คุณปู่ให้ผมเอามาให้คุณ อย่าลืมเอากลับบ้านไปด้วยล่ะ]

ซูโย่วอี๋ตอบกลับ [เมื่อคืนนี้คุณปู่ไม่ได้ว่าอะไรฉันใช่ไหม]

ลู่เฉินคิดไปคิดมาจึงตัดสินใจพูดไปตามที่ใจคิด [โย่วอี๋ ถ้าตอนแรกผมบอกคุณว่าผมชอบคุณแค่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ผมรักคุณแล้วล่ะ]

การบอกรักผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ซูโย่วอี๋รู้สึกหน้าร้อนผ่าว

[ผมจริงจังกับคุณนะ คุณคือคนที่ผมอยากแต่งงานด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะตอนไหนขอให้คุณเชื่อใจผม ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไรหรือจะทำอะไร ตกลงไหม?]

ทำไมอยู่ดี ๆ เขาถึงพูดแบบนี้ ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจเลย

[คุณเป็นแฟนของฉัน ฉันก็ต้องเชื่อใจคุณอยู่แล้ว]

[อืม งั้นก็รีบไปหาคุณปู่กันเถอะ ช่วงนี้ร่างกายของท่านไม่ค่อยดี]