บทที่ 164 อยากไปเล่นที่ทุ่งหญ้า

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

ตอนที่ 164 อยากไปเล่นที่ทุ่งหญ้า

ตอนที่ 164 อยากไปเล่นที่ทุ่งหญ้า

พอวางสายไป ซูโย่วอี๋ก็ตื่นขึ้นมากินข้าวเที่ยง พักผ่อนอีกสักพักก็ไปที่บริษัท หลายวันมานี้เธออยู่แต่ที่บ้านและแน่นอนว่าเธอไม่ได้อยากพักผ่อนจริง ๆ เพียงแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนซูหยินเท่านั้น แต่ในเมื่อหยินหยินเองก็ไปทำงานแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ที่บ้านอีกต่อไป

จากประสบการณ์ที่เฉินเฉินและคุณนายเฉินมาสร้างความวุ่นวายตั้งแต่ชั้นบนยันรปภ.ชั้นล่างที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเทนต์ในครั้งนั้น คุณป้าแม่บ้านต่างก็รู้ว่าเธอเป็นแฟนสาวของลู่เฉิน

ดังนั้น ทันทีที่เธอเข้าไปในตึกเทียนฉี ผู้คนจะพากันยิ้มแล้วกล่าวทักทายเธอ “คุณซูสวัสดีค่ะ”

ซูโย่วอี๋พยักหน้าไม่พัก จนถึงห้องทำงานของสุ่ยเวย

สุ่ยเวยเห็นว่าเป็นเธอก็แสดงท่าทีไม่พอใจขึ้น “หายดีแล้วเหรอ?”

ซูโย่วอี๋นั่งลงบนโซฟาอย่างลำบากใจ “อืม ทำให้คุณยุ่งยากเลย ขอโทษนะคะ”

สุ่ยเวยรู้สึกปวดหัว ตอนแรกเธอไม่เห็นด้วยที่จะให้ซูโย่วอี๋ลาพัก แต่เป็นเพราะลู่เฉินออกคำสั่งกับเธอโดยตรง สุ่ยเวยเลยปฏิเสธไม่ได้

ตอนนี้เธอจึงได้พูดความกังวลในใจของตัวเองออกมา “ตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตเต็มไปด้วยคำต่อว่าทั้งคำพูดและลายลักษณ์อักษร แม้ว่าพวกเราจะรู้ดีว่าคุณไม่ได้ใช้ความสัมพันธ์เพื่อให้ได้บทบาทนี้มา แต่ชาวเน็ตเขาไม่รู้ด้วย อีกอย่าง นักแสดงนำหลายคนเริ่มฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาล่วงหน้าแล้ว แม้แต่เจ๋อหยางก็ไปเรียน ถ้าคุณไม่ไปฉันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร”

[ซูโย่วอี๋ หล่อนเป็นใครมาจากไหนกัน นี่เธอยุ่งมากกว่าราชาแห่งวงการภาพยนตร์อย่างคุณฮันอีกเหรอ?]

[คิดว่ามีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้วคิดจะทำอะไรตามใจก็ได้งั้นเหรอ?]

[สวีโหมว เห็นแบบนี้คุณยังทนได้อีกเหรอ?]

[ขอให้รักในฝันเจ๊ง]

[พวกที่อยู่เบื้องบนไม่จำเป็นต้องทำอะไร อย่าให้ซูโย่วอี๋เพียงคนเดียวมาทำลายความพยายามของคนอื่นให้สูญเปล่า]

[ตอนนี้ฉันรู้สึกขยะแขยงมากและไม่รังเกียจคนที่ไม่มีทักษะด้านการแสดงอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย ๆ คนพวกนั้นก็มีทัศนคติดี แต่พวกคนประเภทที่ไม่มีทักษะด้านการแสดงแล้วยังไม่พยายามนี่สิที่น่าขยะแขยงมากที่สุด]

[ฉันทนดูบทบาทของซูโย่วอี๋ไม่ได้ สงสารฮั่วเสวียนของฉันจริง ๆ]

ซูโย่วอี๋นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

แต่ถ้าให้เลือกใหม่ได้อีกครั้ง เธอก็จะขอเลือกทำแบบเดิม

สุ่ยเวยมองหญิงสาวตรงหน้าที่ทำเหมือนว่าเชื่อฟัง แต่จริง ๆ แล้วเหมือนไม่ได้สนใจอะไรเลย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “แน่นอน คำวิจารณ์ของชาวเน็ตไม่ใช่ปัญหา คิดเสียว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ทางอ้อมละกัน”

ขอเพียงแค่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ยอมรับ พวกเขาก็สามารถชี้แจงมันได้ตลอดเวลา

“เพียงแต่ว่าคุณจะยังเล่นละครเรื่องนี้ต่อได้ไหมเท่านั้น อีกอย่าง ผู้กำกับสวีก็ไม่ค่อยพอใจที่คุณแยกตัวออกมาจากคนกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณทำให้ผู้กำกับสวีประทับใจในวันออดิชั่น คุณคงถูกเปลี่ยนตัวเมื่อไรก็ได้”

ซูโย่วอี๋ถามกลับด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ตอนนี้ยังมีการฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ไหมคะ?”

“จบไปแล้ว แต่ถ้าคุณอยากเรียนฉันจะหาครูผู้เชี่ยวชาญมาให้”

ซูโย่วอี๋คิดไปคิดมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ”

เธอกลับไปในเกมสวมบทบาทในระบบน่าจะไวกว่า อีกอย่างยังมีปัจจัยของเวลาที่แตกต่างกันอยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ใช้เวลาไม่นาน

เธอจะได้เรียนรู้กระบวนท่าและกำลังภายในที่แท้จริงจากตระกูลฮั่ว

สุ่ยเวยไม่ได้พูดอะไรมาก “ต่อไปคุณคงจะไม่ขอลาพักบ่อย ๆ ใช่ไหม”

ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างเกร็ง ๆ “ไม่แล้วค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรคุณสั่งมาได้เลย”

“มีสองเรื่อง เรื่องแรกบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าจะมีการบันทึก ‘มิตรภาพสูงสุด’ เพลงเดี่ยวของคุณ เพราะงั้นไม่ต้องรอแล้ว วันนี้ตอนบ่ายฉันได้ติดต่อกับสตูดิโอบันทึกเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าบันทึกได้ไม่ดี คุณก็ไม่ต้องกลับบ้าน”

“อีกเรื่องหนึ่ง ละครรักในฝันจะมีการถ่ายรูปนักแสดงนำในวันพฤหัสบดี ห้ามลืมเด็ดขาด”

ซูโย่วอี๋เห็นท่าทางจริงจังของสุ่ยเวยจึงรีบรับปาก “แน่นอนค่ะ ฉันจะทำงานให้สมบูรณ์แบบให้ได้”

หลังวางแผนการทำงานเสร็จ สุ่ยเวยพาเธอไปยังห้องบันทึกเสียงที่ชั้นแปด เดิมทีในนั้นมีเด็กฝึกหลายคนที่กำลังเข้าร่วมการทดสอบประจำสัปดาห์ แต่ผู้ดูแลรีบให้พวกเธอออกจากห้องบันทึกเสียงในทันที

ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “พี่เวย พวกเธอมาก่อนนะ แล้วฉันพึ่งตัดสินใจบันทึกเสียงเมื่อกี้นี้…”

สุ่ยเวยเข้าใจสิ่งที่เธอพูดจึงมองไปยังผู้ดูแลและพูดขึ้น “ฉันติดต่อกับเหล่าจ้าวไว้ก่อนแล้วว่าห้องบันทึกเสียงห้องนี้ไม่มีคนใช้ในตอนบ่าย ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”

ผู้ดูแลลูบหัวของตัวเอง “ไม่เป็นไร พวกคุณใช้ก่อนเลย น่าจะเพราะเหล่าจ้าวคงลืมไปแล้ว”

พูดจบก็พาเหล่าเด็กฝึกที่ดูอายุน้อยออกไป

แต่สุ่ยเวยไม่ได้ว่าอะไร “คุณเข้าไปซ้อมก่อน ทีมงานบันทึกเสียงใกล้จะมาแล้ว”

หลังจากพนักงานช่วยเธอเตรียมพร้อมและทดสอบอุปกรณ์แล้วก็ออกไป ในห้องบันทึกเสียงมีเพียงเธอเท่านั้น

สุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมาและมองไปรอบ ๆ [อย่าบอกนะว่านี่เป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดของที่นี่ มันดูแย่กว่าของในระบบไปนิดหนึ่งนะ]

“เจ้าจิ้งจอกเน่า ทำไมฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เวลาที่นายออกมามันน้อยลงไปเรื่อย ๆ เลยนะ”

แม้ว่าตอนนี้เธอจะตัวติดกับซูหยินทั้งวัน แต่เมื่อก่อนตอนถ่ายทำรายการวาไรตี้ เธอและเฉินซีซีอยู่ด้วยกันเสมอ เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็ออกมาดูโทรทัศน์บ่อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

[ซู่จู่ นี่คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ?]

ซูโย่วอี๋นิ่งไป “ฉันต้องรู้อะไร?”

เจ้าสุนัขจิ้งจอกกระแอมสองครั้ง [ตามอายุของระบบ ถ้าเทียบตามอายุของคนอย่างพวกคุณ ตอนนี้ฉันอายุราว ๆ 56 ปี แต่ละวันคุณเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่า ฉันจะออกมาได้ยังไงไหว]

ซูโย่วอี๋หน้าแดงก่ำ [หมายถึงวันไหนกัน อีกอย่างนะ ตอนที่ซูหยินอยู่นายก็ออกมาได้นี่]

สุนัขจิ้งจอกร้องขึ้น [ยังจะพูดอีก พวกคุณอยู่ด้วยกันยิ่งหนักเลย แค่จะฟังฉันยังไม่อยากฟังเลย]

บ่นไปสองสามคำก็มีคนเข้ามา ซูโย่วอี๋จึงเริ่มร้องเพลงอย่างจริงจัง

ซูโย่วอี๋แสดงได้ดีมากตลอดทั้งช่วงบ่าย ด้วยทักษะและระดับความยากของเพลงที่ไม่ได้ยากมากมายอะไร การบันทึกเสียงจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ประมาณสี่ทุ่มก็บันทึกเสียงเรียบร้อย เหมยเหมยรอเธอจนเสร็จและไปส่งเธอที่บ้าน

ในขณะเดียวกัน ลู่เฉินต้องไปทำงานต่างเมืองหนึ่งอาทิตย์ เขาเลยเดินทางไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว

ส่วนซูหยินตามกู่อวี๋เฉิงไปเมืองใกล้ ๆ เพื่อทำงาน น่าจะไม่ได้กลับมาสักสองสามวัน

พอดีกับที่เธอสามารถเข้าเล่นเกมในระบบได้

หลังจากกลับมาถึงเป่ยสืออี้ผิน ซูโย่วอี๋อาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังนอนอยู่บนเตียง เริ่มเข้าสู่พื้นที่ระบบจากจิตใต้สำนึก

[ยินดีต้อนรับซู่จู่เข้าสู่เกมสวมบทบาท ‘รักในฝัน’ ขออนุญาตสอบถาม ต้องการสวมบทบาทต่อจากตอนที่แล้วหรือไม่?]

ตอนที่แล้วที่จบไปซูโย่วอี๋กำลังขี่ม้า แต่ครั้งนี้เธอมีหน้าที่ใหม่ แน่นอนว่าไม่สามารถเล่นบทบาทตอนนั้นต่อไปได้

เธอกด [ไม่]

หลังจากนั้นก็มองหาตอนที่ฮั่วเสวียนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในคลังของตอนต่าง ๆ และพบว่าฮั่วเสวียนเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เริ่มฝึกฝนการยืนท่าหม่าปู้กับพ่อตอนอายุสามขวบ รวมถึงเทคนิคขั้นพื้นฐานของกระบวนท่าด้วย แต่เนื้อเรื่องพวกนี้ช้าเกินไปสำหรับซูโย่วอี๋

เธอควรจะเลือกตอนที่อายุโตขึ้นมาอีกหน่อย…

สุนัขจิ้งจอกเลิกคิ้วขึ้น [ฉันว่าคุณแค่อยากไปเล่นในทุ่งหญ้าที่ชายแดนล่ะสิ]

ซูโย่วอี๋ปากแข็ง “ซะที่ไหนกัน”

จริง ๆ ก็ใช่ เธอไม่อยากสวมบทบาทตอนที่ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลฮั่ว ตระกูลนี้ให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ รักษาเกียรติของวงศ์ตระกูลเอาไว้ เรื่องพวกนี้มันโหดร้ายและเห็นแก่ตัวมากเกินไปสำหรับซูโย่วอี๋

เธอชอบเขตชายแดนที่เคารพในความแข็งแกร่ง ผู้คนเปิดเผยตรงไปตรงมา บรรยากาศเป็นกันเอง!

ในที่สุดซูโย่วอี๋ก็เลือกตอนที่อายุเจ็ดขวบ ฮั่วเสวียนมาอยู่ชายแดนตอนหกขวบ หลังจากเรียนขี่ม้ายิงธนูไปครึ่งปีก็เริ่มเรียนการต่อสู้ อายุเจ็ดขวบกำลังดีเพราะเป็นช่วงที่พอต่อสู้ได้และก็ไม่ได้เก่งมากนัก

เธอไปแล้วก็คงไม่ลำบากมาก

หลังเลือกเสร็จ ระบบก็ส่งเสียงแจ้งเตือน

[กำลังเข้าสู่เกม]